ผมขอแสดงความเห็นในฐานะนักเรียนที่จบม.6 ในปีการศึกษานี้ เกี่ยวกับเรื่องการศึกษา
มุมมองผมคิดว่าการศึกษาตอนนี้ยังมีระบบที่ไม่ได้ดีในบางที่ทางด้านเนื้อหา คือไม่ใช่ว่าหลักสูตรไม่ดีนะ แต่ว่ารูปแบบอาจยังไม่ใช่ อย่างวิชาภาษาไทยผมมองว่าควรเป็นเรื่องการวิเคราะห์ การฝึกเขียน การสื่อสารผ่านตัวอักษรในหัวข้อต่างๆ มากกว่าการมานั่งจำชื่อ จำเนื้อเรื่อง ถอดคำประพันธ์ ส่วนวิชาบางอย่างด้วยความเนื้อหาค่อนข้างเยอะเช่นเคมี แล้วโรงเรียนมักมีกิจกรรมบ่อยก็ทำให้การทดลองคือปีการศึกษาหนึ่งทดลองอยู่ครั้งเดียว อย่างมากสามครั้ง เพราะเน้นการสอนเนื้อหาทั้งหมดให้ทัน (บางวิชาหนังสือก็ไม่มีเพราะงบไม่พอ) คือถ้ามองภาพรวมแล้วหลายๆวิชาเราอาจมองว่าสอนตรงตามเนื้อหาก็ถูกแล้ว แต่จริงๆเราควรมีพื้นที่สำหรับการคิด ค้นหา หรือทำอะไรที่ช่วยกระตุ้นทักษะเพื่อหาคำตอบ ไม่ได้เอาแต่จำเพื่อสอบหรือตอบคำถามด้านเดียวตรงๆ
ต่อมาถ้าพูดถึงเรื่องทักษะ ผมว่าการคิดอย่างมีเหตุผลมันดีนะ อย่างเคมีเคยมีครั้งหนึ่งครูได้ให้มาโต้วาทีเรื่องการใช้ถุงพลาสติกกับการลดใช้ ซึ่งมันสามารถโยงถึงเรื่องพอลิเมอร์ได้มันเป็นอะไรที่ดีมาก บางทีเราหาข้อมูลก็ได้รู้เรื่องพวกนี้ด้วย ต่อมาก็ทักษะการเขียนคือส่วนตัวผมว่าผมเขียนห่วยมากเลย ไม่ค่อยมีคนแนะนำหรือคอยตรวจสอบให้ และหนังสือเองก็ไม่ได้อ่านเนื้อหาดีๆเยอะเท่าไหร่ เพราะบนโลกออนไลน์ก็มีมากมายหลายคนแล้วการที่เราไม่ถนัดการอ่านก็ไม่รู้ว่าควรอ่านของใคร เลยอ่านมันหมดแล้วรู้สึกว่าการเขียนที่ดีมันควรเป็นแบบไหน เลยอยากได้หนังสือจริงเพื่ออ้างอิงมากกว่า เลยคิดว่าวิชาภาษาไทยมันอาจตอบโจทย์ได้เพราะมันต่อยอดไปถึงการทำเล่มรายงาน การเขียนเชิงวิชาการ หรืออะไรต่างๆ และอย่างที่สามคือการอ่านและตั้งคำถาม ผมมองว่าการตั้งคำถามคือสิ่งสำคัญแล้วทำไมถึงต้องควบกับการอ่าน คือเรามักจะผ่านการอ่านมาบ่อยไม่ว่าจะเรียน หรือการอ่านเอกสาร หรือข้อกำหนดนโยบายบนแอปต่างๆในอนาคต ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะไม่ใส่ใจแต่มันมีความสำคัญในการชี้แจง การที่เราฝึกอ่านบ่อยๆมันจะช่วยพัฒนาทักษะอื่นได้ และอีกอย่างถ้าเราอ่านและเชื่ออย่างเดียวมันก็ไม่ได้อะไร ถ้าเกิดตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่รู้หรือสงสัยมันจะช่วยให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นกับการหาคำตอบ
เรื่องพวกนี้ก็ไม่ต้องจำเป็นในโรงเรียนก็ได้? สำหรับคนที่คิดแบบนี้คือคุณคิดถูกครับ แต่ถ้ามองในอีกมุมถ้าเกิดมีคนสนใจการเรียนหรือมีความสามารถ แต่ขาดอิสระด้านการค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอินเตอร์เน็ต ภาระหน้าที่ หรือความพร้อมของครอบครัว เพราะใช่ว่าครอบครัวทุกคนจะปลอดภัยสำหรับลูกของเขา อย่างการทำร้ายร่างกายบ้าง ข่มขืน หรือธุรกิจผิดกฎหมาย คือปัญหาพวกนี้ไม่ได้ทำให้เรามีจิตใจที่ดีในการเรียนบนสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ดังนั้นจึงมองว่าโรงเรียนเป็นเหมือนพื้นที่อิสระสำหรับเด็กๆมากกว่าเป็นพื้นที่สำหรับส่งคนเป็นคนทำงานคนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นมีความแตกต่าง หรือส่งคนเข้ามหาลัยเพียงอย่างเดียว เพราะบางคนที่ไม่ได้ต่อมหาลัยแล้วมาเรียนสายสามัญคือเขาเหมือนจบเลยนะ บางทียังค้นหาตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำและก็ไม่ได้เรียนรู้การทำงานรับจ้าง การต้องเจอสภาพแวดล้อมสังคมใหญ่อย่างเตรียมพร้อมเลย สายอาชีพผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องข้อมูล(ขออภัยด้วย)แต่ผมว่าตัวเลือกแบบยืดหยุ่นอาจไม่สู้เท่าสายสามัญ เพราะมันจะมีเรื่องให้เลือกสนใจมากกว่าได้
เหตุผลที่ว่าทำไมต้องเรื่องการศึกษา หลายคนก็คงบอกเป็นที่ตัวเด็กเองไม่สนใจ หรือเด็กขี้เกียจ อันนี้จริงครับสำหรับบางคน แต่บางคนอย่างที่ผมบอกเขาไม่ได้มีความพร้อม หรือครอบครัวที่ดี หากสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดแต่มันก็เป็นสถาบันที่แก้ไขได้ยากมากที่สุดเช่นกันที่จะให้ดีได้100% จึงเป็นสถาบันอย่างการศึกษาที่ควรเป็นสถาบันที่เข้าถึงได้ทุกคน และสร้างการเรียนรู้ที่ดีได้ มันไม่ควรเป็นอะไรที่แบบตัวใครตัวมัน คนนี้ไม่พยายาม ไม่ยอมสู้ปัญหา ปล่อยตัวเพราะรับไม่ได้ คือเข้าใจว่าบางคนเจอปัญหามาหนักแต่ก็ไม่อาจมีที่พึ่งได้ ถ้าสถาบันการศึกษาพึ่งไม่ได้ ตัวเขาเองก็ถูกชักจูงหลงผิดได้ง่าย จึงเกิดเหตุทางด้านความเชื่อผิดๆและส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบันได้
และอีกด้านสำหรับเด็กที่เขามุ่งมั่นแต่เป็นส่วนน้อยที่โอกาสดันเข้าไม่ถึง หรือรู้ตัวช้าไปจนพลาดโอกาสไม่ว่าจะจากคนรอบตัวหรือจากตัวเอง ก็อยากให้มีเรื่องการประเมินในด้านผลงานของเด็กด้วย แต่ไม่ใช่เอาแต่เด็กเรียนดีมีความพร้อมนะ บางคนที่ได้ผลงานดีเพราะมุ่งมั่นด้วย(ทุกคนที่มีผลงานคือต้องมีจุดนี้ด้วย) กล้าลองกล้าทำ และความพร้อมด้านปัจจัย อย่างนักกีฬาโรงเรียนบางครั้งต้องอยู่เย็นซ้อม ถ้าเกิดมีคนสนใจแต่เขาไม่สามารถอยู่เย็นได้ด้วยปัจจัยหลายอย่างมันก็เป็นเหมือนโอกาสที่เขาเข้าไม่ถึง นอกจากกีฬาก็มีอีกอย่างอย่างเช่นดาราศาสตร์ เด็กคอมตัดต่อ ถ่ายภาพ อะไรทำนองนี้ถ้าอยากเรียนรู้นอกเวลา และใช้อุปกรณ์โรงเรียน เราเองก็ต้องใช้พื้นที่เวลาตอนเย็นนี่แหละในการเรียนรู้ แต่บางคนนั่งรถประจำหรือต้องรีบกลับเพราะอาศัยห่างไกล ก็ขาดโอกาส
มันเป็นเรื่องที่เราแก้ไม่ได้ ใช่ครับเราแก้ไม่ได้ถ้าไม่ได้มีอำนาจมากพอ แต่เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างแรงขับเคลื่อนได้ ถึงแม้ว่าเราไม่อาจช่วยเหลืออะไรตรงๆได้ อย่างน้อยการได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขาก็ถือว่าอาจมีผลดีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรืออาจจะไม่แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สูญเปล่าเสมอ ผมเองก็เคยผลักดันตั้งชุมนุมพัฒนาตัวเองหรือคอยให้ความรู้ หรือสอนการบ้านรุ่นน้องภายในโรงเรียน หรือแม้แต่บริจาคหนังสือที่ผมมองว่ามันดีมากให้กับห้องสมุด ผมคิดว่าถ้าหากเราสร้างจุดเล็กๆให้กับใครสักคนได้ไม่แน่ว่าบางทีอนาคตสักแห่งก็อาจมีใครบางคนที่ทำให้มันเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้นได้จริง
การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนเพื่อเรียนต่อหรือรับมาเพียงความรู้ แต่ควรสร้างประสบการณ์และการกระตุ้นความคิดเพื่อเกิดการพัฒนาด้วย
หวังว่าทุกคนจะได้เห็นมุมมองของผมกันนะ สักคนก็ยังดี
สำหรับใครที่อยากแสดงความเห็นหรือแลกเปลี่ยนมุมมอง คือแสดงได้เลยเพราะผมชอบอ่านความเห็นของผู้คนอื่นมากๆ มันช่วยให้เราได้ตกผลึกและคิดถึงด้านอื่นได้
ยาวหน่อยนะครับ ผิดพลาดเรื่องใด หรือพิมพ์ผิดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ
การศึกษาที่ดีควรเป็นอย่างไร
มุมมองผมคิดว่าการศึกษาตอนนี้ยังมีระบบที่ไม่ได้ดีในบางที่ทางด้านเนื้อหา คือไม่ใช่ว่าหลักสูตรไม่ดีนะ แต่ว่ารูปแบบอาจยังไม่ใช่ อย่างวิชาภาษาไทยผมมองว่าควรเป็นเรื่องการวิเคราะห์ การฝึกเขียน การสื่อสารผ่านตัวอักษรในหัวข้อต่างๆ มากกว่าการมานั่งจำชื่อ จำเนื้อเรื่อง ถอดคำประพันธ์ ส่วนวิชาบางอย่างด้วยความเนื้อหาค่อนข้างเยอะเช่นเคมี แล้วโรงเรียนมักมีกิจกรรมบ่อยก็ทำให้การทดลองคือปีการศึกษาหนึ่งทดลองอยู่ครั้งเดียว อย่างมากสามครั้ง เพราะเน้นการสอนเนื้อหาทั้งหมดให้ทัน (บางวิชาหนังสือก็ไม่มีเพราะงบไม่พอ) คือถ้ามองภาพรวมแล้วหลายๆวิชาเราอาจมองว่าสอนตรงตามเนื้อหาก็ถูกแล้ว แต่จริงๆเราควรมีพื้นที่สำหรับการคิด ค้นหา หรือทำอะไรที่ช่วยกระตุ้นทักษะเพื่อหาคำตอบ ไม่ได้เอาแต่จำเพื่อสอบหรือตอบคำถามด้านเดียวตรงๆ
ต่อมาถ้าพูดถึงเรื่องทักษะ ผมว่าการคิดอย่างมีเหตุผลมันดีนะ อย่างเคมีเคยมีครั้งหนึ่งครูได้ให้มาโต้วาทีเรื่องการใช้ถุงพลาสติกกับการลดใช้ ซึ่งมันสามารถโยงถึงเรื่องพอลิเมอร์ได้มันเป็นอะไรที่ดีมาก บางทีเราหาข้อมูลก็ได้รู้เรื่องพวกนี้ด้วย ต่อมาก็ทักษะการเขียนคือส่วนตัวผมว่าผมเขียนห่วยมากเลย ไม่ค่อยมีคนแนะนำหรือคอยตรวจสอบให้ และหนังสือเองก็ไม่ได้อ่านเนื้อหาดีๆเยอะเท่าไหร่ เพราะบนโลกออนไลน์ก็มีมากมายหลายคนแล้วการที่เราไม่ถนัดการอ่านก็ไม่รู้ว่าควรอ่านของใคร เลยอ่านมันหมดแล้วรู้สึกว่าการเขียนที่ดีมันควรเป็นแบบไหน เลยอยากได้หนังสือจริงเพื่ออ้างอิงมากกว่า เลยคิดว่าวิชาภาษาไทยมันอาจตอบโจทย์ได้เพราะมันต่อยอดไปถึงการทำเล่มรายงาน การเขียนเชิงวิชาการ หรืออะไรต่างๆ และอย่างที่สามคือการอ่านและตั้งคำถาม ผมมองว่าการตั้งคำถามคือสิ่งสำคัญแล้วทำไมถึงต้องควบกับการอ่าน คือเรามักจะผ่านการอ่านมาบ่อยไม่ว่าจะเรียน หรือการอ่านเอกสาร หรือข้อกำหนดนโยบายบนแอปต่างๆในอนาคต ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะไม่ใส่ใจแต่มันมีความสำคัญในการชี้แจง การที่เราฝึกอ่านบ่อยๆมันจะช่วยพัฒนาทักษะอื่นได้ และอีกอย่างถ้าเราอ่านและเชื่ออย่างเดียวมันก็ไม่ได้อะไร ถ้าเกิดตั้งคำถามในสิ่งที่ไม่รู้หรือสงสัยมันจะช่วยให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นกับการหาคำตอบ
เรื่องพวกนี้ก็ไม่ต้องจำเป็นในโรงเรียนก็ได้? สำหรับคนที่คิดแบบนี้คือคุณคิดถูกครับ แต่ถ้ามองในอีกมุมถ้าเกิดมีคนสนใจการเรียนหรือมีความสามารถ แต่ขาดอิสระด้านการค้นคว้าศึกษาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอินเตอร์เน็ต ภาระหน้าที่ หรือความพร้อมของครอบครัว เพราะใช่ว่าครอบครัวทุกคนจะปลอดภัยสำหรับลูกของเขา อย่างการทำร้ายร่างกายบ้าง ข่มขืน หรือธุรกิจผิดกฎหมาย คือปัญหาพวกนี้ไม่ได้ทำให้เรามีจิตใจที่ดีในการเรียนบนสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ดังนั้นจึงมองว่าโรงเรียนเป็นเหมือนพื้นที่อิสระสำหรับเด็กๆมากกว่าเป็นพื้นที่สำหรับส่งคนเป็นคนทำงานคนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นมีความแตกต่าง หรือส่งคนเข้ามหาลัยเพียงอย่างเดียว เพราะบางคนที่ไม่ได้ต่อมหาลัยแล้วมาเรียนสายสามัญคือเขาเหมือนจบเลยนะ บางทียังค้นหาตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำและก็ไม่ได้เรียนรู้การทำงานรับจ้าง การต้องเจอสภาพแวดล้อมสังคมใหญ่อย่างเตรียมพร้อมเลย สายอาชีพผมไม่ค่อยแน่ใจเรื่องข้อมูล(ขออภัยด้วย)แต่ผมว่าตัวเลือกแบบยืดหยุ่นอาจไม่สู้เท่าสายสามัญ เพราะมันจะมีเรื่องให้เลือกสนใจมากกว่าได้
เหตุผลที่ว่าทำไมต้องเรื่องการศึกษา หลายคนก็คงบอกเป็นที่ตัวเด็กเองไม่สนใจ หรือเด็กขี้เกียจ อันนี้จริงครับสำหรับบางคน แต่บางคนอย่างที่ผมบอกเขาไม่ได้มีความพร้อม หรือครอบครัวที่ดี หากสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดแต่มันก็เป็นสถาบันที่แก้ไขได้ยากมากที่สุดเช่นกันที่จะให้ดีได้100% จึงเป็นสถาบันอย่างการศึกษาที่ควรเป็นสถาบันที่เข้าถึงได้ทุกคน และสร้างการเรียนรู้ที่ดีได้ มันไม่ควรเป็นอะไรที่แบบตัวใครตัวมัน คนนี้ไม่พยายาม ไม่ยอมสู้ปัญหา ปล่อยตัวเพราะรับไม่ได้ คือเข้าใจว่าบางคนเจอปัญหามาหนักแต่ก็ไม่อาจมีที่พึ่งได้ ถ้าสถาบันการศึกษาพึ่งไม่ได้ ตัวเขาเองก็ถูกชักจูงหลงผิดได้ง่าย จึงเกิดเหตุทางด้านความเชื่อผิดๆและส่งต่อกันมาจนถึงปัจจุบันได้
และอีกด้านสำหรับเด็กที่เขามุ่งมั่นแต่เป็นส่วนน้อยที่โอกาสดันเข้าไม่ถึง หรือรู้ตัวช้าไปจนพลาดโอกาสไม่ว่าจะจากคนรอบตัวหรือจากตัวเอง ก็อยากให้มีเรื่องการประเมินในด้านผลงานของเด็กด้วย แต่ไม่ใช่เอาแต่เด็กเรียนดีมีความพร้อมนะ บางคนที่ได้ผลงานดีเพราะมุ่งมั่นด้วย(ทุกคนที่มีผลงานคือต้องมีจุดนี้ด้วย) กล้าลองกล้าทำ และความพร้อมด้านปัจจัย อย่างนักกีฬาโรงเรียนบางครั้งต้องอยู่เย็นซ้อม ถ้าเกิดมีคนสนใจแต่เขาไม่สามารถอยู่เย็นได้ด้วยปัจจัยหลายอย่างมันก็เป็นเหมือนโอกาสที่เขาเข้าไม่ถึง นอกจากกีฬาก็มีอีกอย่างอย่างเช่นดาราศาสตร์ เด็กคอมตัดต่อ ถ่ายภาพ อะไรทำนองนี้ถ้าอยากเรียนรู้นอกเวลา และใช้อุปกรณ์โรงเรียน เราเองก็ต้องใช้พื้นที่เวลาตอนเย็นนี่แหละในการเรียนรู้ แต่บางคนนั่งรถประจำหรือต้องรีบกลับเพราะอาศัยห่างไกล ก็ขาดโอกาส
มันเป็นเรื่องที่เราแก้ไม่ได้ ใช่ครับเราแก้ไม่ได้ถ้าไม่ได้มีอำนาจมากพอ แต่เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างแรงขับเคลื่อนได้ ถึงแม้ว่าเราไม่อาจช่วยเหลืออะไรตรงๆได้ อย่างน้อยการได้ไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเขาก็ถือว่าอาจมีผลดีอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรืออาจจะไม่แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สูญเปล่าเสมอ ผมเองก็เคยผลักดันตั้งชุมนุมพัฒนาตัวเองหรือคอยให้ความรู้ หรือสอนการบ้านรุ่นน้องภายในโรงเรียน หรือแม้แต่บริจาคหนังสือที่ผมมองว่ามันดีมากให้กับห้องสมุด ผมคิดว่าถ้าหากเราสร้างจุดเล็กๆให้กับใครสักคนได้ไม่แน่ว่าบางทีอนาคตสักแห่งก็อาจมีใครบางคนที่ทำให้มันเปลี่ยนไปทางที่ดีขึ้นได้จริง
การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนเพื่อเรียนต่อหรือรับมาเพียงความรู้ แต่ควรสร้างประสบการณ์และการกระตุ้นความคิดเพื่อเกิดการพัฒนาด้วย
หวังว่าทุกคนจะได้เห็นมุมมองของผมกันนะ สักคนก็ยังดี
สำหรับใครที่อยากแสดงความเห็นหรือแลกเปลี่ยนมุมมอง คือแสดงได้เลยเพราะผมชอบอ่านความเห็นของผู้คนอื่นมากๆ มันช่วยให้เราได้ตกผลึกและคิดถึงด้านอื่นได้
ยาวหน่อยนะครับ ผิดพลาดเรื่องใด หรือพิมพ์ผิดประการใด ขออภัยด้วยนะครับ