JJNY : วีระยุทธเขียนโมเดลญี่ปุ่นสู้สหรัฐฯ│ปลัดอำเภอหางดง ยื่นลาออก│พืชไร่พืชสวนกุมขมับราคาดิ่ง│ไทยอากาศร้อนโดยทั่วไป

วีระยุทธ เขียนโมเดลญี่ปุ่น เดินเกมสู้สหรัฐฯ เล่ายิบ 3 แนวรบยุทธศาสตร์ รับกำแพงภาษี
https://www.matichon.co.th/politics/news_5149254
.
.
วีระยุทธ เขียนโมเดลญี่ปุ่น สู้สหรัฐฯ เปิด 3 แนวรบ ยุทธ์ศาสตร์ซามูไร รับมือกำแพงภาษีทรัมป์  
.
เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เผยแพร่บทความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง “เมื่อซามูไรเปิดแนวรบ 3 ด้าน – ยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นสู้อเมริกา” วิเคราะห์การเดินเกมรอบด้านของญี่ปุ่น รับมือเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยมีเนื้อหาดังนี้
.
แน่นอนว่า การเจรจากับสหรัฐอเมริกา ความเร็วไม่ใช่ตัวกำหนดความสำเร็จ เพราะ “จังหวะเวลา” สำคัญที่สุด
.
ถึงกระนั้น การประกาศทางการระบุวันชัดเจนว่าเราจะไปเจรจา แต่สุดท้ายกลับต้อง “เลื่อน” ย่อมเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ดีนักกับภาคธุรกิจและสังคม เพราะเป้าหมายสำคัญในช่วงเวลานี้คือการลดความไม่แน่นอนและความกังวล
.
แต่ในเมื่อมีเวลาอีกสักพักในการเตรียมตัว อยากชวนดูยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น ประเทศแรกที่ได้เจรจากับสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการครับ
ในการจัดการกับนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ ญี่ปุ่นเปิดแนวรบ 3 ด้านไปพร้อมกัน คือ ในขณะที่ทีมรัฐมนตรีเดินหน้าเจรจาทางตรง ภาคเอกชนญี่ปุ่นก็ขยับปรับฐานการผลิต ส่วนตัวนายกอิชิบะก็เปิดทางแสวงหาพันธมิตรใหม่- เปิดใจรับพันธมิตรเก่าไปพร้อมกัน
เปิดไพ่ของอเมริกา เพิ่มไพ่ในมือ และเพิ่มมิตรข้างตัว
.
แนวรบที่ 1 : ทีมรัฐมนตรีเดินหน้าเจรจา เปิดไพ่อเมริกา
.
ญี่ปุ่นได้เจรจาเร็วกว่าประเทศอื่น เพราะสหรัฐฯ เองก็ให้น้ำหนักในฐานะคู่ค้าที่มีมูลค่าค้าขายระหว่างกันกว่า 300,000 ล้านเหรียญต่อปี
ในการสื่อสารกับสาธารณะ ส่วนที่เป็น “ไพ่เด็ด” ย่อมต้องเก็บไว้ไม่เปิดเผย แต่ในฐานะรัฐบาลประชาธิปไตย ก็ต้องบอกเล่า “ยุทธศาสตร์” กับสังคมให้เกิดความมั่นใจด้วย
.
หนึ่งในแนวทางเจรจาที่รัฐบาลญี่ปุ่นบอกเล่าประชาชนคือ ในขณะที่สหรัฐฯ พยายาม “มัดรวม” 3 เรื่องใหญ่ๆ อย่างการนำเข้าสินค้า อัตราแลกเปลี่ยน และงบประมาณการทหาร ให้เป็นเรื่องเดียวกัน
.
รัฐบาลญี่ปุ่นยืนยันว่า ต้องการแยกโต๊ะเจรจาทั้ง 3 เรื่องออกจากกัน คุยเรื่องการส่งออกนำเข้าวงหนึ่ง ลงรายละเอียดเรื่องภาษีแยกรายสินค้า แต่ละตัวเปิดได้แค่ไหน หาแนวทางปรับสมดุล
.
แต่เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน (เงินเยนควรอ่อนลงหรือแข็งขึ้น) ขอเจรจาอีกวง ด้วยทีมเจรจาอีกชุดหนึ่งแยกจากการค้า เช่นเดียวกับเรื่องการทหารและงบประมาณด้านความมั่นคงที่ขอคุยต่างหากอีกทีม
.
เพราะญี่ปุ่นประเมินว่า การคุยแยกเรื่องจะทำให้การแสวงหา “จุดร่วม” (common grounds) ระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ เกิดขึ้นง่ายกว่าการมัดทุกเรื่องรวมกัน
การเจรจารอบแรกเมื่อวันพุธที่ 16 เมษายน ญี่ปุ่นมี “ทีมเจรจา” ทั้งหมดรวม 37 คน จากกระทรวงการคลัง อุตสาหกรรม พาณิชย์ และการต่างประเทศ
แต่หลังเจรจารอบแรกผ่านไป พอจับสัญญาณทีมสหรัฐฯ ได้แล้วว่าเรื่องไหนคือ “ไพ่สำคัญ” สำหรับการต่อรองรอบถัดไป ญี่ปุ่นจึงเพิ่มสมาชิกทีมเจรจาอีก 10 คนจากกระทรวงคมนาคมและกระทรวงเกษตร เพื่อเติมรายละเอียดที่สหรัฐฯ ให้น้ำหนักเป็นพิเศษ 2 เรื่อง
.
เรื่องแรกคือ มาตรฐานการนำเข้ารถยนต์ ที่ปกติรถยนต์จากอเมริกาต้องใช้เวลาหลายเดือนในการขอใบอนุญาตนำเข้าของญี่ปุ่น เป็น Non-tariff barrier ที่ใช้มานาน จะต่อรองปรับลดกันอย่างไร เป็นวาระใหญ่รอบถัดไป แต่กำหนดผู้แทนเจรจาไว้ชัดเจนแล้ว เพื่อหาข้อสรุปที่ฝ่ายต่างๆ ในประเทศยอมรับได้ ก่อนไปเจรจารอบสอง
.
อีกเรื่องคือ การนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ เพิ่มเติม โดยปัจจุบันญี่ปุ่นมีโควต้านำเข้าข้าวจากต่างประเทศ แบบไม่ต้องเสียภาษีขาเข้าอยู่แล้ว 770,000 ตัน ถึงแม้ในจำนวนนี้จะเป็นข้าวจากสหรัฐฯ ถึง 45% แต่สหรัฐฯ ก็ยังต้องการเพิ่มอีก
.
ข้าวเป็นเรื่องอ่อนไหวที่โยงกับฐานเสียงทางการเมืองของรัฐบาล ความอยู่รอดของชาวนา และวัฒนธรรมคนญี่ปุ่น
.
เรื่องนี้รัฐบาลจึงต้องประสานกับหลายฝ่าย โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรแห่งชาติ หรือ JA ที่เป็นเครือข่ายชาวนาทั่วประเทศ
.
แต่ข้อดีของสถานการณ์นี้คือ ญี่ปุ่นเองกำลังประสบปัญหาราคาข้าวในประเทศถีบตัวสูงมาก โดยราคาข้าวปีนี้แพงขึ้นกว่าปีก่อนกว่า 2 เท่าตัว เพราะผลผลิตที่น้อยลงสวนทางกับดีมานด์ทั้งจากภายในและจากนักท่องเที่ยว
.
ทั้งนี้ การปรับตัวสามารถทำแบบ “ประนีประนอม” สไตล์ญี่ปุ่นได้ เช่น ห้าง Aeon ผู้ค้าปลีกรายใหญ่เริ่มปรับแพ็คเกจขายข้าวใหม่ โดยเอาข้าวนำเข้าจากสหรัฐฯ มาผสมข้าวญี่ปุ่นในถุงเดียวกัน เพื่อลดราคาขายปลีกต่อถุงลง
.
การนำเข้าข้าวจากสหรัฐฯ จึงสามารถเป็นทางออกแบบ Win-Win สำหรับภาคเกษตรญี่ปุ่นได้ในระยะสองสามปีนี้
.
แนวรบที่ 2 : ภาคเอกชนขยับปรับฐานการผลิต
.
นอกจากภาครัฐแล้ว ภาคธุรกิจญี่ปุ่นเองก็ขยับตัวเป็นแนวรบอีกทาง
.
เพราะนอกจากประเด็นดุลการค้าแล้ว ทรัมป์ก็ให้ความสำคัญกับการเพิ่มการลงทุนในประเทศและการจ้างงานคนอเมริกันในภาคอุตสาหกรรม
บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจึงปรับซัพพลายเชนรับมือสงครามการค้าไปด้วย เช่น ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้า (Honda) ก่อนหน้านี้มีการผลิตรถยนต์อยู่แล้ว 1 ล้านคันในสหรัฐฯ และนำเข้าจากต่างประเทศมาขายอีก 400,000 คัน
.
เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของญี่ปุ่นและรักษายอดขายในตลาดสหรัฐฯ ฮอนด้าจึงประกาศย้ายฐานการผลิตรถบางรุ่นจากเม็กซิโกและแคนาดา ไปยังสหรัฐฯ แทน เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตในสหรัฐฯ ขึ้น 30% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เป็นตัวเลขที่จะเพิ่มน้ำหนักการต่อรองให้ฮอนด้าและญี่ปุ่น
.
ปัญหาที่พ่วงมากับกำแพงภาษีคือ อย่างไรเสีย การย้ายฐานผลิตก็ทำไม่ได้ทันทีและทำไม่ได้กับทุกชิ้นส่วน ผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายประเภทจึงมีภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแน่ๆ
.
โตโยต้า (Toyota) นับว่าใจป้ำ ประกาศพร้อมจ่าย “ต้นทุนส่วนเพิ่ม” ให้กับซัพพลายเออร์ที่ต้องนำเข้าชิ้นส่วนจากเม็กซิโกเข้ามาประกอบในสหรัฐฯ เพื่อประคองราคาขายรถยนต์ให้อยู่ในระดับเดิม เพราะไม่อยากเสียส่วนแบ่งการตลาดไป
.
แต่ในกลุ่มที่ต้องย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากญี่ปุ่นเอง รัฐบาลญี่ปุ่นก็เตรียมมาตรการช่วยเหลือซัพพลายเออร์อะไหล่ ที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัท SMEs ไว้แล้ว เช่น นิสสัน (Nissan) เดิมใช้ฟุกุโอกะเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ หากต้องลดกำลังการผลิตในฟุกุโอกะลง รัฐบาลจะเข้ามาช่วยเยียวยาและสนับสนุน SMEs ในฟุกุโอกะ เพราะสถานการณ์การเงินของนิสสันไม่แข็งแรงเหมือนโตโยต้า
ทำงานประสานกันแข็งขันระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนในยามเผชิญศึกสงคราม
.
แนวรบที่ 3 : แสวงหาพันธมิตรใหม่ เปิดใจพันธมิตรเก่า
.
นอกจากการเจรจาทางตรง และการขยับตัวของภาคเอกชนแล้ว ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียเป็นอีกแนวรบหนึ่งที่ญี่ปุ่นเริ่มเดินเกม
ภาพแปลกตาเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ “สามเสือเอเชียตะวันออก” อย่างญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ จับมือกันเดินหน้ายกระดับเขตการค้าเสรี หรือ FTA เพื่อเพิ่มการค้าขายระหว่างกัน
.
ปกติแล้ว สามเสือนี้คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องนะครับ อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างใหญ่ แถมมีประวัติศาสตร์สู้รบกันมานาน
แต่นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ ทำให้ผู้นำสามประเทศนี้ยอมเปิดโต๊ะเจรจาทางเศรษฐกิจกันจริงจังเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันอย่างการเติมเต็มซัพพลายเชนสินค้าไฮเทค ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และยุโรป
.
ไม่หยุดแค่เอเชียตะวันออก เพราะนายกฯ อิชิบะ ของญี่ปุ่น เตรียมเดินทางไปหารือกับเวียดนามและฟิลิปปินส์ด้วยตนเองในสัปดาห์หน้า กระชับความสัมพันธ์กับมิตรสหายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้อีกทาง
.
ทางข้างหน้าคงปั่นป่วนอีกหลายรอบ แต่ญี่ปุ่นไม่อยู่เฉย เดินหน้าเปิดไพ่อเมริกา เพิ่มไพ่ในมือตัวเอง และเพิ่มมิตรสหายข้างตัวไว้แล้ว
Don’t waste a crisis.
.
อย่าปล่อยให้วิกฤตผ่านไปอย่างสูญเปล่า ถือโอกาสนี้ร่วมมือร่วมแรงกันปรับเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตกันครับ
.
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02bY8mZaEJd3m1GW32FadsQDZNdUbdk9sVdhnsXVsWrKu4L9PDdT4rs63YL1VeEC8ol&id=61553732966651
.

.
แชร์ว่อนโซเชียล! ปลัดอำเภอหางดง ยื่นหนังสือลาออก เหตุบื่อหน่ายในระบบราชการ-ความอยุติธรรม
https://www.matichon.co.th/social/news_5149253
.
แชร์ว่อนโซเชียล! ปลัดอำเภอหางดง ยื่นหนังสือลาออก เหตุบื่อหน่ายในระบบราชการ-ความอยุติธรรม 
.
เมื่อวันที่ 22 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพ หนังสือลาออกจากราชการของ นายพีรพันธุ์ สิงห์ทองชัย ปลัดอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการระบุสาเหตุขอลาออก เนื่องจากเบื่อหน่ายระบบราชการ และความอยุติธรรรม
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในหนังสือฉบับดังกล่าว ระบุว่า
.
หนังสือขอลาออกจากราชการ เขียนที่ ที่ทำการปกครองอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 21 เดือนเมษายน พ.ศ.2568 เรื่อง ขอลาออกจากราชการ เรียน อธิบดีกรมการปกครอง ด้วยข้าพเจ้าชื่อ นายพีรพันธุ์  ได้เริ่มรับราชการเมื่อวันที่ 1 เดือนมิถุนายน พ.ศ.2528 ขณะนี้ดำรงตำแหน่ง “ปลัดอำเภอ” (เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการพิเศษ) ปฏิบัติหน้าที่ หัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนและบัตร ที่ทำการปกครองอำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ กรมการปกครอง กระทรวงหมาดไทย ได้รับเงินเดือนระดับ 8
.
มีความประสงค์ขอลาออกจากราชการ เนื่องจากเบื่อหน่ายในระบบราชการและความอยุติธรรม
จึงเรียนมาเพื่อขอลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568
.
อย่างไรก็ตาม ทางช่องสาม พยายามติดต่อไปยัง ปลัดอำเภอพีรพันธุ์ แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้
.
แต่จากการสอบถามข้อมูลบุคคลที่อยู่ที่อำเภอให้ข้อมูลว่า เพิ่งทราบเรื่องราวดังกล่าวในโซเชียล ซึ่งตามหลักการแล้วจะต้องยื่นผ่านผู้บังคับบัญชาเป็นลำดับชั้นไป ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด แต่เท่าที่ทราบมีรายงานว่าทางอำเภอยังไม่เห็นหนังสือลาออกฉบับนี้
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่