เราสงสัยค่ะ เนื่องด้วยว่าพึ่งเป็นคริสเตียนได้ 2 ปี เราไปรับเชื่อพระเจ้ามานานแล้วค่ะ ในช่วงแรกเราร้อนรนและอธิฐานถึงพระองค์บ่อยมาก แล้วก็เจอปาฏิหาริย์บ่อยมากเช่นกัน เป็นอย่างนี้อยู่เกือบเดือน ไปโบถส์เป็นประจำทุกวันอาทิตย์ ระยะหลังๆมาตัวเองก็ไม่ค่อยได้ไปโบถส์แล้วค่ะ จากหายเป็นอาทิตย์ ก็เริ่มห่างหายเป็นเดือน จนเกือบปีแล้วที่ตอนนี้ไม่ได้ไปนมัสการพระองค์
และจากแต่ก่อนที่อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอก็กลายเป็นว่าอธิษฐานบ้างไม่อธิษฐานบ้างจนสุดท้ายก็ไม่อธิษฐานเลยเป็นในที่สุด อยากรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไกล้ชิดพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอได้คะ เหตุการณ์แบบนี้เรียกว่าอะไร ถูกพระเจ้าทดสอบ? หรือถูกมารซาตานล่อลวงให้เราออกห่างจากพระองค์? เราเกิดคำถามพวกนี้บ่อยค่ะ ว่าทำไมแรกๆเราร้อนรนมากที่อยากจะรู้จักพระองค์ ทำไมหลังๆมามันถึงเป็นแบบนี้ และเราสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไรบ้างคะ เดิมทีไม่ได้เป็นคริสต์แต่เกิด เราพึ่งเปลี่ยนมารับเชื่อพระองค์ตอนม.6 ด้วยความที่ไม่ได้เป็นคริสต์แต่เกิด หลายครั้งต้องพูดตรงๆว่าก็เผลอสับสนบ่อยมากค่ะ เช่น แรกๆเชื่อพระเจ้า หลังๆเดี๋ยวก็สงสัย สรุปพระเจ้ามีจริงไหม? ที่อธิฐานทุกวันเราคุยกับใคร? จะได้รับความรอดจริงๆหรอ แต่เราเป็นพุทธแต่เกิดนะ? แล้วยังต้องตกนรกไหม?
หรือยังมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่ อะไรทำนองนี้หน่ะค่ะ บางครั้งมันก็เกิกคำถามขึ้นเป็นช่วงๆในใจของเราเอง
จะไม่ให้สงสัยเลยก็ไม่ได้ เพราะเป็นมนุษย์ บางครั้งอาจจะเผลอคิดท้าทายพระเจ้าไปบ้างหลายครั้งค่ะ เหตุการของเราที่ทำให้รับเชื่อพระเจ้านะ (ใช้วิจารณญาณนะคะหากไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องมาว่ากันก็พอ) เหตุการณ์เกิดจากตอนเราอยู่ม.6 เดิมทีเป็นพุทธค่ะ ตอนช่วงม.1-2 เราปฏิบัติเป็นอย่างดีอาจจะไม่ได้เคร่งมาก แต่ในตอนนั้นก็ถือว่าจริงจังมากเลยสำหรับเด็กม.2อย่างเรา เราปฏิบัติทุกอย่างทั้งทำทาน ถือศีล เจริญกรรมฐาน นั่งสมาธิ ถือศีล5 สวดมนต์แผ่เมตตาทุกวัน ในบางช่วงก็จะมีกินเจด้วยค่ะ ตอนนั้นชีวิตสงบสุขมากแล้วก็รู้สึกเข้าถึงพระธรรมเข้าถึงสัจธรรมหลายๆอย่างค่ะ จนหลังๆมามันเริ่มเจอเรื่องอื่นๆเข้ามาทำให้เด็กอย่างเราในตอนนั้นเริ่มกลัวค่ะ รูป,รส,กลิ่น,เสียง เพื่อนๆนึกออกมั้ยคะ ใช่ค่ะตอนนั้นเราเจอหมดเลย อาจจะเพราะสวดมนต์ทุกวันไหม หรือทำบุญให้เขาตลอดเขาถึงมาให้เรารับรู้อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่แน่นอนเมื่อมันเป็นแบบนี้เราเองก็กลัว ถึงเราจะชอบทำบุญแต่เราก็ขี้กลัวค่ะ ตอนนั้นเลยตัดสินใจอยากจะยุติทุกอย่างลงค่ะไอสิ่งที่เจอมาทั้งหมด ขอทิ้งไว้ จะไม่ขอปฏิบัติหรือรับรู้อะไรต่ออีกเลย เพราะยิ่งปฏิบัติต่อยิ่งเจอค่ะ
ทีนี้ตอนนั้นเราก็เลยเลิกเลยอาจจะเพราะวัยรุ่นด้วยเรารู้สึกพอปฏิบัติธรรมหน่ะจิตใจก็สงบขึ้น มันเป็นสิ่งที่ดีนะ ทำให้ได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ก็ปล่อยวางมากขึ้นให้อภัยได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพราะว่าเราเองก็เป็นวัยรุ่น ไอสิ่งที่เคยปฏิบัติมาหน่ะ ไม่ต่างอะไรจากการจำกัดเสรีภาพของเราเลยค่ะ บอกก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาจะด้อยค่านะคะ เพียงแต่เราอาจจะเรียบเรียงคำไม่ค่อยถูก ต้องขอโทษไว้ด้วยค่ะ ในเมื่อเราใช้คำว่ามันเหมือนเป็นการจำกัดเสรีภาพของเราก็ตามนั้นแหละค่ะ แน่นอนทำดีมันทำยาก ทำชั่วมันทำง่าย พอเลิกปฏิบัติเราเลยคิดว่าได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้วมีความสุขกว่าเยอะเลย อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดมาก กังวลนั่นกังวลนี่ มันสบายใจมากกว่าเดิม ก็ตามประสาวัยรุ่นค่ะ สุดท้ายก็ไม่พ้นติดเพื่อน ติดสังคม ติดแสงสีเสียง จนตัดสินใจเลิกนับถือศาสนามา 3 ปี นับแต่ตอนนั้น จนกระทั่งม. 6 ตอนนั้นเรานอนไถตต.อยู่แต่เริ่มสังเกตว่ามีคลิปเกี่ยวกับพิธีกรรมในศาสนาคริสต์ขึ้นมาเยอะมากและบ่อยกว่าปกติ ตอนนั้นเลยเกิดความสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมขึ้นเยอะจัง พอเห็นบ่อยขึ้นเราเลยตัดสินใจไปหาอ่านประวัติพระเยซูดูค่ะ อ่านแบบละเอียดเลย จากนั้นก็เริ่มเห็นคลิปมากขึ้น ตอนนั้นน่าจะเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่างของนิกายออร์ธอด๊อกค่ะ เราเห็นแล้วรู้สึกมีมนต์ขลังดีเราเลยเริ่มศึกษาเรื่อยๆ จนตัดสินใจได้ดูคลิปนึงเป็นคลิปของอ.ท่านนึงในตต. ท่านสอนเกี่ยวกับการเชิญพระเจ้าเข้ามาเป็นนายในชีวิตเราค่ะ ด้วยความที่ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้นับถืออะไรอยู่แล้ว อีกอย่างก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดในคืนนั้น เลยตัดสินใจกล่าวเชิญพระองค์เข้ามาเป็นจอมเจ้านายในชีวิต เมื่ออธิษฐานเสร็จเราเองก็นอนหลับไป
และในเช้าวันต่อมาเราก็ได้มาหาในพันทิปว่าเราอยากรู้จักพระเจ้า เราอยากรู้ว่าพระองค์คือใครต้องทำอย่างไรจึงจะได้รู้จักพระองค์ เราอยากเข้าศาสนาคริสต์ ตอนนั้นคิดแบบนี้เลยค่ะ จึงตัดสินใจค้นหาคริสต์จักรใกล้ฉัน ตอนนั้นก็มีไกล้อยู่สองที่ ในเย็นวันจันทร์เมื่อเลิกเรียนเราเลยตัดสินใจว่าจะไปโบถส์แรกก่อนที่ตั้งอยู่หน้ารร.แต่พอไปแล้วโบถส์ดันปิดค่ะ เราเลยเดินไปอีกหลายโลเลยซึ่งเป็นโบถส์สถานที่ที่สองค่ะ เมื่อมาถึงเราก็พบว่าอ.ประจำโบถส์ท่านไม่อยู่เช่นกัน พอดีท่านติดไปสอนตามรร.อื่น เราเลยบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร งั้นพน.เดี๋ยวเรามากันใหม่ พอวันอังคารพวกเราเลิกเรียนก็ตัดสินใจไปแค่โบถส์สถานที่ที่สองแล้วค่ะ ต่อจากนี้ขอเรียกว่าโบถส์ไมตรีจิตนะคะ เมื่อเราเลิกเรียนเราก็เดินมาโบถส์ตามเดิมค่ะ โบถส์ไม่ได้ปิดแต่อ.ประจำโบถส์ท่านไม่อยู่ค่ะ เราเลยได้เจอกับอ.อีกท่านหนึ่งแทน จึงได้เข้าไปพูดคุยและบอกเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมารวมถึงเรื่องที่เราฝันถึงพระเจ้าด้วยค่ะแต่เราก็คุยกันแค่ประปรายค่ะเนื่องจากว่าในวันนั้นอ.ท่านมีธุระเช่นกันเลยคุยกันได้พอเล่าความฝันให้ฟังคร่าวๆค่ะ จากนั้นอ.ท่านจึงนัดว่าพน.อ.ประจำโบถส์ท่านอยู่ ให้ลองมาพน.ตอนหลังเลิกเรียนดูนะ เราเลยตอบตกลงไป เมื่อถึงวันพุทธเลิกเรียนเราก็เดินมาโบถส์ตามเดิม แต่รอบนี้เราเจออ.ประจำโบถส์ค่ะ และเจออ.อีกท่านด้วย ท่านก็ยิ้มแย้มและได้เชิญเราเข้าไปนั่งคุยกัน ถามถึงที่มาว่าอะไรทำให้อยากมาโบถส์ เราจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง แล้วก็บอกว่าหนูอยากเข้าศาสนาคริสต์ค่ะ อยากรู้จักพระเจ้ามากเลยค่ะ เมื่อคืนหนูก็ฝันเห็นผู้ชายคนนึงเป็นความฝันที่มัวๆเบลอๆ เรามองเห็นหน้าท่านไม่ชัดนะ แต่เห็นว่าเป็นผู้ชายที่มีผิวสีแดงๆเหลืองๆเหมือนคนโบราณ ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ท่านผมหยักศกยาวประบ่าค่ะ บนศรีษะของท่านสวมมงกุฏหนามอยู่ ท่านไม่ใส่รองเท้า ท่านใส่ชุดโบราณเป็นชุดสีขาวพาดบ่าเป็นชุดเก่าๆเลยค่ะ เป็นชุดยาวปกคลุมถึงเท้าเลย และตัวท่านก็ได้ผายมือไปตามวงกลมต่างๆในแต่ละวงและได้พูดกับเราว่า "หากสงสัยอะไรท่านจะชี้นำแนวทางให้ หากอยากรู้อะไรท่านจะบอก หากอยากเจอกัลยาณิมิตรที่ดีท่านก็จะให้ได้เจอ ทุกสิ่งทุกอย่างในฝันเราก็ตีความได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากรู้ ที่เราสงสัยในคำถาม ที่ได้มาเจอพี่น้องที่โบถส์ ที่ให้คำแนะนำดีๆแก่เรา เป็นเพราะท่านจัดสรรค์ให้ได้มาเจอ และท่านก็ได้บอกอีกในความฝันว่า เส้นทางในการเริ่มต้นนั้นไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่าย ในขณะที่ท่านพูดท่านก็ผายมือให้ดูเหตุการ์ในแต่ละวงให้ดูเหมือนผายมือไปอธิบายให้ฟังไปด้วยค่ะ เหมือนท่านชี้ให้ดูในแต่ละเรื่องราวที่ท่านอยากจะบอกแก่เรา
ในฝันทั้งหมดที่เล่ามาก็เป็นที่มาของคำกล่าวล่วงหน้าของพระองค์ตามที่พระองค์ได้บอกเลยว่าหากสงสัยอะไรเราจะชี้นำแนวทางให้ เราจึงถามทุกเรื่องเลยที่สงสัยกับอ.ทั้งสองท่านค่ะ จึงได้กระจ่างและเข้าใจทุกอย่างแล้ว เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ตามในฝันเลยค่ะ เป๊ะๆเลย เราเลยเล่าให้อ.ฟังว่าตอนนี้หนูเข้าใจแล้วนะ มันเป็นจริงอย่างที่พระเจ้าบอกเลย อย่างที่ท่านในพูดในฝัน แต่ในวันนั้นเองก็ยังไม่รับเชื่อพระเจ้านะคะ เราขออ.ไปทบทวนตัวเองก่อน ขอคิดดูหลายๆอย่างว่าพร้อมที่จะรู้จักพระเจ้าแบบจริงๆแล้วใช่มั้ย คิดไปคิดมา ในที่สุดในวันที่ 3 ธ.ค 2565 จึงตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าโดยมี ศ.ย เป็นพยานและทำพิธีให้ค่ะ จากนั้นเราก็ได้มาโบถส์มาทำกิจกรรมกับพี่น้องเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ปรกติดีจนกระทั่งหลังๆเราเริ่มไม่อธิษฐานเริ่มตีตัวห่างจากพระเจ้ามากขึ้น และไม่ไปโบถส์เลย ในคืนนั้นเองเราก็ฝันค่ะ ฝันเห็นผช.คนนึงผมยาวประบ่าสวมมงกุฏหนามนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดและนั่งร้องให้อยู่ค่ะ ในฝันท่านไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่อยู่ในความมืดและร้องให้ จากนั้นเราก็ตื่นแต่ในตอนนั้นเราก็ยังไม่อธิษฐานนะ ยังทำตัวแบบเดิม จนเมื่อไม่นานมานี้อันนี้เป็นเหตุการณ์ตรงที่เกิดกับน้องสาวเราโดยตรงเลยค่ะ แม่เล่าให้ฟังว่าในวันพุทธก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มาจากพม่า วันนั้นแม่เล่าให้ฟังว่าน้องเราได้เข้าไปเอาตุ๊กตาในห้องเรา จังหวะที่น้องกำลังจะปิดประตูน้องเห็นผู้ชายคนนึงผมยาวประบ่า สวมมงกุฏหนามอยู่บนหัว ใส่ชุดสีขาวและน้องก็บอกว่าเห็นพระเจ้าโดนแขวนอยู่บนไม้กางเขน และในห้องเราเราจะมีจี้กางเขนเป็นรูปพระเจ้าอยู่บนหมอนค่ะ อยู่บนหัวเตียงเลย ซึ่งก็เป็นจุดเดียวกันกับที่น้องเห็นพระเจ้าโดนแขวนไม้กางเขนอยู่ตรงหัวนอนเราค่ะ น้องบอกว่าเห็นพระเจ้าเป็นตัวคนเลยซึ่งพระองค์โดนแขวนอยู่บนไม้กลางเขน แม่เลยถามว่าตาฝาดรึป่าว น้องบอกว่าไม่ได้ตาฝาด พอลงมาน้องเลยเปิดยูทูปรูปพระเจ้าให้ดูว่าน้องเห็นแบบนี้ จากนั้นในวันศุกร์ก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้น
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เล่าให้ทุกคนฟังเป็นเหตุการณ์ที่เราและคนในครอบครัวเจอมาค่ะ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าการปรากฏตัวของพระองค์หมายความว่าอย่างไร หากพี่น้องคริสเตียนพอจะรู้หรืออยากพูดคุยกัน หรือมีอะไรอยากแนะนำเรา ยินดีนะคะ เชิญชวนพี่น้องช่วยแนะนำและช่วยสอนให้เรากลับมาหาพระเจ้าได้เลยค่ะ เราเองก็พยายามจะกลับมาหลายครั้งแต่ก็ไม่มั่นคงสักที เดะทำเดะไม่ทำ หากจะมีอะไรที่แนะนำและเป็นประโยชน์ก็ยินดีรับไว้เป็นอย่างดีค่ะ สุดท้ายนี้ที่นำมาเล่าให้ฟังก็อยากให้ใช้วิจารณญาณกันนะคะ หากไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ต้องมาว่ากันก็พอ เราเองก็ไม่ได้จะเบียดเบียนหรือพูดจาให้ร้ายศาสนานาใด เพียงแต่ที่นำมาเล่าให้ฟังเป็นเพียงประสบการณ์ในชีวิตที่เจอมาก็เท่านั้น แต่หากทุกคนอยากคุยอยากเสนอแนะก็ยินดีค่ะ มาพูดคุยกันได้นะ
ทำไมเราถึงทอดทิ้งพระเจ้า ไม่มั่นคนในจิตใจสักที?
และจากแต่ก่อนที่อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอก็กลายเป็นว่าอธิษฐานบ้างไม่อธิษฐานบ้างจนสุดท้ายก็ไม่อธิษฐานเลยเป็นในที่สุด อยากรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไกล้ชิดพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอได้คะ เหตุการณ์แบบนี้เรียกว่าอะไร ถูกพระเจ้าทดสอบ? หรือถูกมารซาตานล่อลวงให้เราออกห่างจากพระองค์? เราเกิดคำถามพวกนี้บ่อยค่ะ ว่าทำไมแรกๆเราร้อนรนมากที่อยากจะรู้จักพระองค์ ทำไมหลังๆมามันถึงเป็นแบบนี้ และเราสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างไรบ้างคะ เดิมทีไม่ได้เป็นคริสต์แต่เกิด เราพึ่งเปลี่ยนมารับเชื่อพระองค์ตอนม.6 ด้วยความที่ไม่ได้เป็นคริสต์แต่เกิด หลายครั้งต้องพูดตรงๆว่าก็เผลอสับสนบ่อยมากค่ะ เช่น แรกๆเชื่อพระเจ้า หลังๆเดี๋ยวก็สงสัย สรุปพระเจ้ามีจริงไหม? ที่อธิฐานทุกวันเราคุยกับใคร? จะได้รับความรอดจริงๆหรอ แต่เราเป็นพุทธแต่เกิดนะ? แล้วยังต้องตกนรกไหม?
หรือยังมีเจ้ากรรมนายเวรอยู่ อะไรทำนองนี้หน่ะค่ะ บางครั้งมันก็เกิกคำถามขึ้นเป็นช่วงๆในใจของเราเอง
จะไม่ให้สงสัยเลยก็ไม่ได้ เพราะเป็นมนุษย์ บางครั้งอาจจะเผลอคิดท้าทายพระเจ้าไปบ้างหลายครั้งค่ะ เหตุการของเราที่ทำให้รับเชื่อพระเจ้านะ (ใช้วิจารณญาณนะคะหากไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ต้องมาว่ากันก็พอ) เหตุการณ์เกิดจากตอนเราอยู่ม.6 เดิมทีเป็นพุทธค่ะ ตอนช่วงม.1-2 เราปฏิบัติเป็นอย่างดีอาจจะไม่ได้เคร่งมาก แต่ในตอนนั้นก็ถือว่าจริงจังมากเลยสำหรับเด็กม.2อย่างเรา เราปฏิบัติทุกอย่างทั้งทำทาน ถือศีล เจริญกรรมฐาน นั่งสมาธิ ถือศีล5 สวดมนต์แผ่เมตตาทุกวัน ในบางช่วงก็จะมีกินเจด้วยค่ะ ตอนนั้นชีวิตสงบสุขมากแล้วก็รู้สึกเข้าถึงพระธรรมเข้าถึงสัจธรรมหลายๆอย่างค่ะ จนหลังๆมามันเริ่มเจอเรื่องอื่นๆเข้ามาทำให้เด็กอย่างเราในตอนนั้นเริ่มกลัวค่ะ รูป,รส,กลิ่น,เสียง เพื่อนๆนึกออกมั้ยคะ ใช่ค่ะตอนนั้นเราเจอหมดเลย อาจจะเพราะสวดมนต์ทุกวันไหม หรือทำบุญให้เขาตลอดเขาถึงมาให้เรารับรู้อันนี้ก็ไม่แน่ใจนะคะ แต่แน่นอนเมื่อมันเป็นแบบนี้เราเองก็กลัว ถึงเราจะชอบทำบุญแต่เราก็ขี้กลัวค่ะ ตอนนั้นเลยตัดสินใจอยากจะยุติทุกอย่างลงค่ะไอสิ่งที่เจอมาทั้งหมด ขอทิ้งไว้ จะไม่ขอปฏิบัติหรือรับรู้อะไรต่ออีกเลย เพราะยิ่งปฏิบัติต่อยิ่งเจอค่ะ
ทีนี้ตอนนั้นเราก็เลยเลิกเลยอาจจะเพราะวัยรุ่นด้วยเรารู้สึกพอปฏิบัติธรรมหน่ะจิตใจก็สงบขึ้น มันเป็นสิ่งที่ดีนะ ทำให้ได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ก็ปล่อยวางมากขึ้นให้อภัยได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพราะว่าเราเองก็เป็นวัยรุ่น ไอสิ่งที่เคยปฏิบัติมาหน่ะ ไม่ต่างอะไรจากการจำกัดเสรีภาพของเราเลยค่ะ บอกก่อนว่าไม่ได้มีเจตนาจะด้อยค่านะคะ เพียงแต่เราอาจจะเรียบเรียงคำไม่ค่อยถูก ต้องขอโทษไว้ด้วยค่ะ ในเมื่อเราใช้คำว่ามันเหมือนเป็นการจำกัดเสรีภาพของเราก็ตามนั้นแหละค่ะ แน่นอนทำดีมันทำยาก ทำชั่วมันทำง่าย พอเลิกปฏิบัติเราเลยคิดว่าได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้วมีความสุขกว่าเยอะเลย อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดมาก กังวลนั่นกังวลนี่ มันสบายใจมากกว่าเดิม ก็ตามประสาวัยรุ่นค่ะ สุดท้ายก็ไม่พ้นติดเพื่อน ติดสังคม ติดแสงสีเสียง จนตัดสินใจเลิกนับถือศาสนามา 3 ปี นับแต่ตอนนั้น จนกระทั่งม. 6 ตอนนั้นเรานอนไถตต.อยู่แต่เริ่มสังเกตว่ามีคลิปเกี่ยวกับพิธีกรรมในศาสนาคริสต์ขึ้นมาเยอะมากและบ่อยกว่าปกติ ตอนนั้นเลยเกิดความสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมขึ้นเยอะจัง พอเห็นบ่อยขึ้นเราเลยตัดสินใจไปหาอ่านประวัติพระเยซูดูค่ะ อ่านแบบละเอียดเลย จากนั้นก็เริ่มเห็นคลิปมากขึ้น ตอนนั้นน่าจะเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่างของนิกายออร์ธอด๊อกค่ะ เราเห็นแล้วรู้สึกมีมนต์ขลังดีเราเลยเริ่มศึกษาเรื่อยๆ จนตัดสินใจได้ดูคลิปนึงเป็นคลิปของอ.ท่านนึงในตต. ท่านสอนเกี่ยวกับการเชิญพระเจ้าเข้ามาเป็นนายในชีวิตเราค่ะ ด้วยความที่ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้นับถืออะไรอยู่แล้ว อีกอย่างก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พูดในคืนนั้น เลยตัดสินใจกล่าวเชิญพระองค์เข้ามาเป็นจอมเจ้านายในชีวิต เมื่ออธิษฐานเสร็จเราเองก็นอนหลับไป
และในเช้าวันต่อมาเราก็ได้มาหาในพันทิปว่าเราอยากรู้จักพระเจ้า เราอยากรู้ว่าพระองค์คือใครต้องทำอย่างไรจึงจะได้รู้จักพระองค์ เราอยากเข้าศาสนาคริสต์ ตอนนั้นคิดแบบนี้เลยค่ะ จึงตัดสินใจค้นหาคริสต์จักรใกล้ฉัน ตอนนั้นก็มีไกล้อยู่สองที่ ในเย็นวันจันทร์เมื่อเลิกเรียนเราเลยตัดสินใจว่าจะไปโบถส์แรกก่อนที่ตั้งอยู่หน้ารร.แต่พอไปแล้วโบถส์ดันปิดค่ะ เราเลยเดินไปอีกหลายโลเลยซึ่งเป็นโบถส์สถานที่ที่สองค่ะ เมื่อมาถึงเราก็พบว่าอ.ประจำโบถส์ท่านไม่อยู่เช่นกัน พอดีท่านติดไปสอนตามรร.อื่น เราเลยบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร งั้นพน.เดี๋ยวเรามากันใหม่ พอวันอังคารพวกเราเลิกเรียนก็ตัดสินใจไปแค่โบถส์สถานที่ที่สองแล้วค่ะ ต่อจากนี้ขอเรียกว่าโบถส์ไมตรีจิตนะคะ เมื่อเราเลิกเรียนเราก็เดินมาโบถส์ตามเดิมค่ะ โบถส์ไม่ได้ปิดแต่อ.ประจำโบถส์ท่านไม่อยู่ค่ะ เราเลยได้เจอกับอ.อีกท่านหนึ่งแทน จึงได้เข้าไปพูดคุยและบอกเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมารวมถึงเรื่องที่เราฝันถึงพระเจ้าด้วยค่ะแต่เราก็คุยกันแค่ประปรายค่ะเนื่องจากว่าในวันนั้นอ.ท่านมีธุระเช่นกันเลยคุยกันได้พอเล่าความฝันให้ฟังคร่าวๆค่ะ จากนั้นอ.ท่านจึงนัดว่าพน.อ.ประจำโบถส์ท่านอยู่ ให้ลองมาพน.ตอนหลังเลิกเรียนดูนะ เราเลยตอบตกลงไป เมื่อถึงวันพุทธเลิกเรียนเราก็เดินมาโบถส์ตามเดิม แต่รอบนี้เราเจออ.ประจำโบถส์ค่ะ และเจออ.อีกท่านด้วย ท่านก็ยิ้มแย้มและได้เชิญเราเข้าไปนั่งคุยกัน ถามถึงที่มาว่าอะไรทำให้อยากมาโบถส์ เราจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง แล้วก็บอกว่าหนูอยากเข้าศาสนาคริสต์ค่ะ อยากรู้จักพระเจ้ามากเลยค่ะ เมื่อคืนหนูก็ฝันเห็นผู้ชายคนนึงเป็นความฝันที่มัวๆเบลอๆ เรามองเห็นหน้าท่านไม่ชัดนะ แต่เห็นว่าเป็นผู้ชายที่มีผิวสีแดงๆเหลืองๆเหมือนคนโบราณ ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ท่านผมหยักศกยาวประบ่าค่ะ บนศรีษะของท่านสวมมงกุฏหนามอยู่ ท่านไม่ใส่รองเท้า ท่านใส่ชุดโบราณเป็นชุดสีขาวพาดบ่าเป็นชุดเก่าๆเลยค่ะ เป็นชุดยาวปกคลุมถึงเท้าเลย และตัวท่านก็ได้ผายมือไปตามวงกลมต่างๆในแต่ละวงและได้พูดกับเราว่า "หากสงสัยอะไรท่านจะชี้นำแนวทางให้ หากอยากรู้อะไรท่านจะบอก หากอยากเจอกัลยาณิมิตรที่ดีท่านก็จะให้ได้เจอ ทุกสิ่งทุกอย่างในฝันเราก็ตีความได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราอยากรู้ ที่เราสงสัยในคำถาม ที่ได้มาเจอพี่น้องที่โบถส์ ที่ให้คำแนะนำดีๆแก่เรา เป็นเพราะท่านจัดสรรค์ให้ได้มาเจอ และท่านก็ได้บอกอีกในความฝันว่า เส้นทางในการเริ่มต้นนั้นไม่ได้ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่าย ในขณะที่ท่านพูดท่านก็ผายมือให้ดูเหตุการ์ในแต่ละวงให้ดูเหมือนผายมือไปอธิบายให้ฟังไปด้วยค่ะ เหมือนท่านชี้ให้ดูในแต่ละเรื่องราวที่ท่านอยากจะบอกแก่เรา
ในฝันทั้งหมดที่เล่ามาก็เป็นที่มาของคำกล่าวล่วงหน้าของพระองค์ตามที่พระองค์ได้บอกเลยว่าหากสงสัยอะไรเราจะชี้นำแนวทางให้ เราจึงถามทุกเรื่องเลยที่สงสัยกับอ.ทั้งสองท่านค่ะ จึงได้กระจ่างและเข้าใจทุกอย่างแล้ว เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ตามในฝันเลยค่ะ เป๊ะๆเลย เราเลยเล่าให้อ.ฟังว่าตอนนี้หนูเข้าใจแล้วนะ มันเป็นจริงอย่างที่พระเจ้าบอกเลย อย่างที่ท่านในพูดในฝัน แต่ในวันนั้นเองก็ยังไม่รับเชื่อพระเจ้านะคะ เราขออ.ไปทบทวนตัวเองก่อน ขอคิดดูหลายๆอย่างว่าพร้อมที่จะรู้จักพระเจ้าแบบจริงๆแล้วใช่มั้ย คิดไปคิดมา ในที่สุดในวันที่ 3 ธ.ค 2565 จึงตัดสินใจรับเชื่อพระเจ้าโดยมี ศ.ย เป็นพยานและทำพิธีให้ค่ะ จากนั้นเราก็ได้มาโบถส์มาทำกิจกรรมกับพี่น้องเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ปรกติดีจนกระทั่งหลังๆเราเริ่มไม่อธิษฐานเริ่มตีตัวห่างจากพระเจ้ามากขึ้น และไม่ไปโบถส์เลย ในคืนนั้นเองเราก็ฝันค่ะ ฝันเห็นผช.คนนึงผมยาวประบ่าสวมมงกุฏหนามนั่งอยู่ท่ามกลางความมืดและนั่งร้องให้อยู่ค่ะ ในฝันท่านไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่อยู่ในความมืดและร้องให้ จากนั้นเราก็ตื่นแต่ในตอนนั้นเราก็ยังไม่อธิษฐานนะ ยังทำตัวแบบเดิม จนเมื่อไม่นานมานี้อันนี้เป็นเหตุการณ์ตรงที่เกิดกับน้องสาวเราโดยตรงเลยค่ะ แม่เล่าให้ฟังว่าในวันพุทธก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มาจากพม่า วันนั้นแม่เล่าให้ฟังว่าน้องเราได้เข้าไปเอาตุ๊กตาในห้องเรา จังหวะที่น้องกำลังจะปิดประตูน้องเห็นผู้ชายคนนึงผมยาวประบ่า สวมมงกุฏหนามอยู่บนหัว ใส่ชุดสีขาวและน้องก็บอกว่าเห็นพระเจ้าโดนแขวนอยู่บนไม้กางเขน และในห้องเราเราจะมีจี้กางเขนเป็นรูปพระเจ้าอยู่บนหมอนค่ะ อยู่บนหัวเตียงเลย ซึ่งก็เป็นจุดเดียวกันกับที่น้องเห็นพระเจ้าโดนแขวนไม้กางเขนอยู่ตรงหัวนอนเราค่ะ น้องบอกว่าเห็นพระเจ้าเป็นตัวคนเลยซึ่งพระองค์โดนแขวนอยู่บนไม้กลางเขน แม่เลยถามว่าตาฝาดรึป่าว น้องบอกว่าไม่ได้ตาฝาด พอลงมาน้องเลยเปิดยูทูปรูปพระเจ้าให้ดูว่าน้องเห็นแบบนี้ จากนั้นในวันศุกร์ก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้น
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เล่าให้ทุกคนฟังเป็นเหตุการณ์ที่เราและคนในครอบครัวเจอมาค่ะ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าการปรากฏตัวของพระองค์หมายความว่าอย่างไร หากพี่น้องคริสเตียนพอจะรู้หรืออยากพูดคุยกัน หรือมีอะไรอยากแนะนำเรา ยินดีนะคะ เชิญชวนพี่น้องช่วยแนะนำและช่วยสอนให้เรากลับมาหาพระเจ้าได้เลยค่ะ เราเองก็พยายามจะกลับมาหลายครั้งแต่ก็ไม่มั่นคงสักที เดะทำเดะไม่ทำ หากจะมีอะไรที่แนะนำและเป็นประโยชน์ก็ยินดีรับไว้เป็นอย่างดีค่ะ สุดท้ายนี้ที่นำมาเล่าให้ฟังก็อยากให้ใช้วิจารณญาณกันนะคะ หากไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ต้องมาว่ากันก็พอ เราเองก็ไม่ได้จะเบียดเบียนหรือพูดจาให้ร้ายศาสนานาใด เพียงแต่ที่นำมาเล่าให้ฟังเป็นเพียงประสบการณ์ในชีวิตที่เจอมาก็เท่านั้น แต่หากทุกคนอยากคุยอยากเสนอแนะก็ยินดีค่ะ มาพูดคุยกันได้นะ