JJNY : 5in1 พ่อค้าข้าวจ๊าก ส่งออกฮวบ│ย้ำชัดปชน.ไม่พลิกร่วม│ปชน.ยกเคสทราย สก๊อต│โป๊ปสิ้นพระชนม์│“รัสเซีย-ยูเครน”กลับมารบ

พ่อค้าข้าวจ๊าก ส่งออกฮวบ 30% หวั่น ‘เวียดนาม’ ปาดหน้ายึดที่ 2 โลก
https://www.matichon.co.th/economy/news_5147170
.
.
พ่อค้าข้าวจ๊าก ส่งออกฮวบ 30% หวั่นเวียดนามปาดหน้าชิงที่ 2 ของโลก ผวาแบกต้นทุนขนส่ง หลังทรัมป์เรียกเก็บภาษีขนส่งทางเรือที่ต่อโดยจีน
.
เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่กระทรวงพาณิชย์ นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ส่งออกข้าวไทยช่วงไตรมาสแรก 2568 มีปริมาณ 2.1 ล้านตันข้าวสาร ลดลงประมาณ30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากข้าวขาว 15% ลดลงถึง 53% ผลจากอินเดียกลับมาส่งออกอีกครั้ง รวมถึงประเทศนำเข้าหลักเช่น ฟิลิปปินส์ยังไม่ได้นำเข้า ซึ่งปีก่อนทั้งปีนำเข้าถึง 4 ล้านตัน คาดว่าปีนี้จะเหลือ 1 ล้านตัน และในส่วนนี้ไทยยังต้องแข่งขันกับอินเดียและเวียดนาม ที่มีราคาต่ำกว่าไทยด้วย โดยเฉพาะราคาข้าวอินเดียถูกกว่าไทยกว่า 40 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ให้หลายประเทศสนใจหันไปซื้อแทนไทย อาทิ แอฟริกาใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ทั้งที่ไทยมีปัจจัยหนุนเรื่องราคาตกกว่าปีก่อน อย่างข้าวขาวปีก่อนเฉลี่ย 600 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 400 เหรียญสหรัฐเศษ
.
แม้ราคาข้าวไทยจูงใจประเทศนำเข้าซื้อเพิ่มก็ตาม แต่อินเดียกับเวียดนามก็ส่งออกได้มากกว่าไทย ไทยส่งออกได้ 2.1 ล้านตัน อินเดียส่งออกแล้ว 2.4 ล้านตัน ทั้งปีนี้คาดว่าอินเดียจะส่งได้เกิน 20 ล้านตัน เวียดนามส่งออกแล้ว 2.3 ล้านตัน มีโอกาสสูงที่ปีนี้เวียดนามจะแซงขึ้นเป็นอันดับสองประเทศผู้ส่งออกข้าวโลก แทนไทยที่อาจตกไปเป็นอันดับสาม” นายชูเกียรติกล่าว
.
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ทิศทางส่งออกข้าวไทยในไตรมาส2/2568 โดยรวมยังเงียบและคาดว่าตัวเลขส่งออกใกล้เคียงไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม สมาคมฯยังคงเป้าหมายส่งออกข้าวทั้งปีนี้ไว้ที่ 7.5 ล้านตัน ซึ่งจะทำทวนอีกครั้ง ช่วงกลางปี โดยปัจจัยที่ต้องจับตาและมีผลต่อการส่งออกข้าวจากนี้ ได้แก่ 1. สถานการณ์นโยบายปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ และเงื่อนไขต่างๆที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ 2. ตลาดจีน หลังราคาข้าวขาวไทยลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน เทียบราคาข้าวในจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 500 เหรียญสหรัฐ เริ่มทำให้จีนเพิ่มนำเข้ามากขึ้น ก็จะทดแทนปริมาณข้าวที่ลดลงได้ แต่ไทยยังต้องแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน 3. ตลาดสหรัฐฯ ตอนนี้ตื่นตัวเพิ่มนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทย เพื่อซื้อเป็นสต๊อก ตุนไว้ก่อน หลังทรัมป์เลื่อนเก็บภาษีนำเข้าจากไทยอัตราต่างตอบแทนที่ 36 % ไป 90 วัน ซึ่งตอนนี้ไทยถูกเก็บ 10% จึงเป็นสิ่งจูงใจให้ซื้อเพิ่มไว้ก่อน ซึ่งหลังสงกรานต์จะรู้ว่าสหรัฐเพิ่มสั่งซื้ออีกเท่าไหร่ เพราะต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงสหรัฐภายใน 1 เดือน
.
จากที่พูดคุยผู้ส่งออกไปสหรัฐ บอกได้ว่าผู้นำเข้าตอบถามราคามาตลอด 1-2 สัปดาห์นี้จะชัดเจนว่าสหรัฐนำเข้าเพิ่มอีกเท่าไหร่ ซึ่งปีหนึ่งสหรัฐนำเข้าข้าวหอมจากทั่วโลก 1.3 ล้านตัน ในจำนวนนี้นำเข้าจากไทย 6.3 แสนตัน ซึ่ง 3 เดือนแรกส่งออกไปแล้วกว่า 2 แสนตัน ในราคาเฉลี่ย 1 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน รวมข้าวชนิดอื่นสหรัฐจะนำเข้าจากไทย 8.3 แสนตัน ที่เรากังวลคือหากสหรัฐปรับภาษีนำเข้าข้าวไทยเป็น 20-25 % หรือ 36 % ราคาข้าวหอมจะพุ่งถึง 1.2-1.3 พันเหรียญสหรัฐต่อตัน แข่งขันก็จะยากขึ้น” นายชูเกียรติกล่าว
.
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ผู้ส่งออกไม่ได้กังวลแค่ อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจกาไทยไปสหรัฐเท่านั้น แต่มีประเด็นต้นทุนด้านขนส่งไปสหรัฐ จากกรณีที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าที่ขนส่งทางเรือที่เป็นเรือสร้างในจีนด้วย ที่จะมีผลในเดือนตุลาคมนี้ และกระทบไปทั่วโลก เพราะจีนถือเป็นแหล่งต่อเรือขนส่งรายใหญ่มีสัดส่วนถึง 80%
.
หากมีการบังคับใช้จริงจะมีต้นทุนขนส่งที่เพิ่มขึ้นอีกตันละ 6 เหรียญ ตอนนี้ข้าวหอมมะลิไทยไปสหรัฐ เก็บ 10% ยังขายในราคา 1 พันเหรียญสหรัฐ หากบวกขนส่งก็จะเป็น 1.006 พันเหรียญ หากภาษีนำเข้าเพิ่มอีก ราคาข้าวหอมมะลิไทยจะแพงมาก แข่งขันยาก ซึ่งทรัมป์ 2.0 การค้าและการส่งออกทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมพร้อมรับมือ ทั้งรัฐบาลและเอกชน” ร.ต.ท.เจริญ กล่าว
.

.
วิโรจน์ ชี้ปรับครม. ตัวเร่งทำพรรคร่วมร้าวหนัก ย้ำชัด ปชน.ไม่พลิกร่วมรบ.นี้แน่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5146848

‘วิโรจน์’ มอง หาก ‘ปรับครม.’ จะยิ่งเห็นรอยปริร้าวพรรคร่วมรัฐบาลรุนแรงขึ้น เหตุ มีแต่การเกี๊ยะเซี๊ยะ ไม่ได้เอา ปชช.ไว้ในสมการ ประกาศ สมัยนี้ ‘ปชน.’ ไม่ร่วม ‘รัฐบาลแพทองธาร’ แน่ บอก ไม่รู้ ลือ ‘ภท.’ ถูกผลักเป็นฝ่ายค้าน
.
เมื่อวันที่ 21 เมษายน ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นแต่ความวุ่นวายของนายใหญ่ ซึ่งไม่ได้มีเนื้อหาสาระแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แต่เป็นการปรับเพื่อเอาอกเอาใจ บริหารความพึงพอใจ ของพรรคร่วมรัฐบาล แต่ไม่เอาเป้าหมายที่จะทำให้ประชาชนมีความผาสุกมาเป็นตัวตั้ง
.
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า วินาทีนี้เลยจุดนั้นมาแล้ว ที่จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลกลับมาปรองดอง และสมานฉันท์ในการทำงานร่วมกัน เพราะมีร่องรอยของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นรอยปริร้าวอย่างรุนแรง หากพรรคเพื่อไทยจะกระชับอำนาจในการดึงกระทรวงสำคัญมาอยู่ในมือของตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้รอยร้าวของพรรครวมรัฐบาลขยายตัวในระดับที่รุนแรงมากขึ้น
.
นายวิโรจน์ย้ำว่า การตั้งรัฐบาลชุดนี้ คือการติดกระดุมเม็ดแรกผิด ไม่ได้นำประชาชนมาเป็นสมการ ไม่ได้เอาปัญหาของประชาชนมาเป็นโจทย์ที่จะแก้ แต่นำดีลที่ทำไว้กับผู้มีอำนาจ และกลุ่มทุนศักดินาเป็นตัวตั้ง มองประชาชนเป็นคนที่รอคอยผลประโยชน์ ในลักษณะเศษเนื้อข้างเขียง ดังนั้น การปรับ ครม.ในครั้งนี้ เป็นเหมือนการเกี๊ยะเซี๊ยะ เป็นความพยายามกวนน้ำที่เสียแล้วให้กลับมาพอได้ ไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน
.
ส่วนสูตรที่มีกระแสพรรคภูมิใจไทย จะถูกผลักมาเป็นฝ่ายค้านนั้น นายวิโรจน์ระบุว่า ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลไป แต่สิ่งที่ยืนยันได้คือ สมัยนี้ พรรคประชาชนจะไม่ร่วมรัฐบาล ส่วนการปรับ ครม.ก็เป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรายังไม่เจอมาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งประเทศกำลังเผชิญหน้ากับพลวัตร ที่สถานการณ์ยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และกระทบเศรษฐกิจโดยตรง
.
“เราต้องการภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี อย่างมาก แต่เรายังไม่เห็นตรงนั้น เรายังไม่เห็นส่วนกลางภาวะผู้นำของแพทองธาร ชินวัตร ตอนนี้เราเห็นแต่การสาละวนเกี๊ยะเซี๊ยะผลประโยชน์ ต่อรองผลประโยชน์ร่วมกัน นี่จึงเป็นดีลปีศาจไม่ใช่ดีลเพื่อประชาชน” นายวิโรจน์กล่าว
.
นายวิโรจน์ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าในการถอดถอนประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ได้ยื่นผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และจะต้องติดตามกันต่อไป ในช่วงเปิดสมัยประชุม ซึ่งก็เป็นไปตามกรอบระยะเวลา ต้องยอมรับว่า กรณีที่ประธาน ป.ป.ช. ไปพบกับประธานรัฐสภา เป็นเรื่องที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย และถูกวิจารณ์เป็นอย่างมากอยู่แล้ว ในคลิปที่มีการสนทนา ซึ่งอาจจะเชื่อได้ว่า เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องที่ไม่สุจริตได้ เราจะปล่อยให้เรื่องนี้เนียนหายไปไม่ได้ เพราะจะทำให้เสื่อมเกียรติภูมิของทั้งสองท่าน ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองท่านด้วย
.

.
ปชน. ยกเคส ทราย สก๊อต สะท้อนภาครัฐมือไม่ถึง ชี้ถ้าทำหน้าที่ตัวเองได้ดี จะไม่เกิดเรื่องวุ่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_5147197
.
‘แซม เฉลิมพงศ์’ ชี้ หากรัฐ ทำหน้าที่เป็นอย่างดี ‘ทราย สก๊อต’ คงไม่ต้องมาเป็นที่ปรึกษา มอง ปัจจุบันถูกกลุ่มทุนต่างชาติแทรกแซงอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่สนทรัพยากรธรรมชาติ หากถูกทำลายก็ทิ้งกรรมไว้ให้กับคนท้องถิ่น
.
เมื่อวันที่ 21 เมษายน นายเฉลิมพงศ์ แสงดี ส.ส.ภูเก็ต พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชยกเลิกคำสั่ง “ทราย สก๊อต” จากที่ปรึกษาแล้ว ว่า ส่วนตัวมองว่าเราควรลำดับความสำคัญก่อน ซึ่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติควรเป็นที่ 1 ตามด้วยเรื่องการท่องเที่ยว การที่นายทราย มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำงานแบบล้ำเส้น อ้างตำแหน่งที่ปรึกษาใช้อำนาจเกินกว่าที่ควร ก็เป็นปัญหาจริงๆ แต่ต้องไม่หลงลืมไปว่าหากกรมอุทยานฯ และกระทรวงทรัพย์ฯ ทำหน้าที่ได้อย่างดีตามที่ควรจะเป็น จะไม่ต้องมาออกหน้าทำงานแบบนี้เลย แต่จะเป็นบทบาทสนับสนุนอย่างที่ควรจะเป็น และไม่ต้องมีการล้ำเส้นหรือทำเกินหน้าที่เกิดขึ้น
.
นายเฉลิมพงศ์กล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่ภาคประชาสังคม ทั้งในด้านการอนุรักษ์ที่เรากำลังพูดถึงกัน และด้านอื่นๆ ที่เราเห็นในสังคม ทำงานเกินหน้าเกินตาหน่วยงานภาครัฐหรือทำงานมากกว่าหน่วยงานภาครัฐ มันเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งว่ารัฐล้มเหลวมาตลอดในการทำหน้าที่ของตัวเองในด้านเหล่านั้น
.
ผมเข้าใจดีว่าปะการัง ทะเล และชายหาดของเราเป็นแหล่งทำเงินมหาศาลในด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศเรามาโดยตลอด ประเทศและชุมชนพี่น้องท้องถิ่นก็ควรที่จะได้รับผลจากรายได้เหล่านั้น แต่อย่างที่บอกไปว่าระหว่างการท่องเที่ยวกับการอนุรักษ์ เราควรจะวางการอนุรักษ์มาเป็นอันดับแรก หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรต้องทำให้บาลานซ์กัน” นายเฉลิมพงศ์กล่าว
.
นายเฉลิมพงศ์กล่าวว่า ปัจจุบันแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้มีปัญหาการแทรกแซงของกลุ่มทุนต่างชาติที่เข้ามาจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่เพื่อให้อำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจท่องเที่ยวแบบผิดกฎหมายของพวกเขา ซึ่งแน่นอนไม่ใช่คนท้องถิ่น ที่ไม่สนใจทรัพยากรธรรมชาติ นึกอยากทำอะไรก็ทำ เห็นปะการังเป็นแค่แหล่งทำเงิน เหลือเศษเงินให้คนท้องถิ่นบ้างพอเป็นพิธี หากวันหนึ่งทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้หมดไปวันหนึ่งพวกเขาก็แค่หนีหายไป ทิ้งกรรมไว้ให้กับพวกเราคนท้องถิ่น
.
นายเฉลิมพงศ์กล่าว่า หากกรมอุทยานฯ และกระทรวงทรัพย์ฯ ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดี เข้มงวดกวดขันในการปราบปรามกระบวนการหากินของทุนต่างชาติเหล่านี้ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ทำตามกฎตามระเบียบ ไม่ประกอบการแบบสุ่มเสี่ยงทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ภาคประชาสังคมก็ไม่ต้องออกหน้าแบบนี้ ไม่ต้องทำงานล้ำเส้นใครแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันสะท้อนว่าการทำงานของกรมอุทยานฯ และกระทรวงทรัพย์ฯ มีช่องโหว่ใหญ่ เจ้ากระทรวงเจ้ากรมมือไม่ถึง ปล่อยปละให้เรื่องนี้เกิดขึ้นใต้จมูกตัวเองเป็นเวลาต่อเนื่องมายาวนาน ไม่ต้องทำเป็นไม่รู้หรอกครับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ปัญหาจ่ายส่วย ปัญหาเจ้าหน้าที่มีนอกมีในกับนายทุน เรื่องนี้ใครก็รู้ว่าเกิดขึ้น พูดกันมานานแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่