อาหารเย็น
ในเมืองใหญ่ที่สังคมห่างเหินจากปฏิสัมพันธ์อย่างชนบท
ทุกชีวิตทุกครอบครัวต้องดำรงชีพอย่างปากกัดตีนถีบ
ซึ่งก็มีลักษณะเดียวกันกับสังคมเมืองใหญ่ทั้งหลายบนโลกยุคใหม่
ครอบครัวเล็กๆ ครัวครอบหนึ่ง พวกกำพร้าพ่อและแม่มาเป็นเวลาปีกว่าๆ แล้ว
คงเหลือเพียงลูกๆ 3 คน มีพี่สาวคนโตในวัยสาว และน้องชายเล็กๆ อีก 2 คน ซึ่งอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ
พวกเขาไม่ได้มีฐานะอะไร พวกเขามีบ้านแบบปกติของคนติดดิน
พี่สาวเป็นผู้ออกไปทำงานซึ่งเป็นงานที่ต้องทำตั้งแต่เช้าจนค่ำ
มันเป็นแค่งานในโรงงานที่อยู่ชานกรุงซึ่งได้ค่าจ้างไม่มากนักเพราะเธอไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอ
แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นอาชีพสุจริต
เธอต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทำงานด้วยรถโดยสารสาธารณะ
บ่อยครั้งที่เธอต้องทำงานเกินเวลาที่กำหนดเนื่องจากมีภาระงานมากเกินไป
แต่เธอไม่เคยลดละความเพียรพยายามเพราะพวกเขาคือสิ่งสำคัญกว่าความเหน็ดเหนื่อย
ทุกครั้งก่อนออกไปทำงาน เธอต้องหุงข้าวเตรียมไว้เพื่อให้สมาชิกครอบครัวซึ่งยังเล็กได้กินกัน
นอกจากข้าวสวยร้อนๆ แล้ว ยังมีเนื้อเค็มหรือผักผักบุ้งหรืออะไรก็ตามที่พี่สาวซื้อกลับมาวันก่อน
นี่เป็นกิจวัตรประจำที่ครอบครัวนี้ทำกันมาหลังจากต้องอยู่ตามลำพังประสาพี่น้อง
พวกเด็กๆ เมื่อตื่นนอนแล้วพวกเขาจะหาอะไรกิน
จากนั้นพวกเขาจะออกไปเล่นระแวกนั้น
ซึ่งพื้นที่บริเวณที่อยู่อาศัยตั้งอยู่ในชุมชนที่ค่อนข้างทรุดโทรมและค่อนข้างขาดแคลนสาธารณูปโภค
แต่ผู้คนก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นได้เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากับรายได้ที่หามา
อาหารที่พี่สาวเตรียมไว้มีความสดใหม่พอที่จะรับประทานได้อย่างปลอดภัย
แต่ไม่ใช่อาหารประเภทหรูหราหรือประณีตอะไร
เด็กๆ จะช่วยกันตักข้าวสวยและกับข้าวซึ่งมีเพียงหนึ่งหรือสองอย่าง
และรับประทานจนเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ทำให้เกิดการสูญเปล่า
พวกเขารู้คุณค่าของอาหารเหล่านั้นเพราะเป็นชีวิตที่เขาต้องประหยัด
พอตกพลบค่ำ พี่สาวคนดีของพวกเขาก็หิ้วอาหารสำหรับมื้อรุ่งขึ้นกลับมา
บ้านหลังนี้ไม่มีตู้เย็น จะมีเพียงกระติกน้ำแข็งใบเล็กที่พอจะแช่อาหารบางส่วน
เธอมักถามพวกเขาเสมอว่า "เด็กๆ กินข้าวกันรึยังจ๊ะ"
ซึ่งเธอก็ได้รับคำตอบที่น่าอบอุ่นและสบายใจ
ขากลับจากที่ทำงานเธอจะแวะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวแล้วตรงหน้าปากซอย
และจะไม่กลับมากินอะไรอีกที่บ้าน
เพราะรู้ดีว่าเด็กๆ คงกินกันหมดแล้วและคงไม่มีอะไรเหลือ
และต้องเข้าใจก่อนว่าอาหารของพวกเขาไม่ได้มีจำนวนมากมากอย่างที่เราจะคาดคะเน
ในช่วงที่มีการเร่งรัดงาน เจ้านายเธอจะยื้อให้เธอจำเป็นต้องกลับมาค่ำมากกว่าปกติ
ซึ่งบางครั้งเธอไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเลย ทำให้พวกเขาไม่มีอะไรกินในอีกวันนอกจากข้าวสาร
ในกรณีนี้พี่สาวจะหุงข้าวไว้ให้และเธอจะออกไปซื้อปลากระป๋องหรือผักกาดดองมาเป็นกับข้าว
ซึ่งสำหรับคนจนแล้วการหุงข้าวจะทำเพียงวันละครั้งเพื่อใช้เป็นอาหารตลอดทั้งวัน
มีอยู่วันหนึ่งหลังจากหุงข้าวแล้วเธอก็ออกเดินทางไปทำงานในตอนเช้ามืด
เมื่อทุกคนตื่นก็จะได้กินข้าวกับกับข้าวที่เหลืออยู่
แต่ในวันนั้นเองที่ข้าวสวยในหม้อเริ่มบูด
“เอ ข้าวนี่มันแหยะๆ ไงกันนะ” เด็กน้อยคนพี่ตรวจดู แต่เขาก็ไม่มีจินตาการไปไกลว่าควรหรือไม่ควรกิน
เขาตักข้าวใส่จานทั้งสองใบ นำผักดองมาตั้งตรงหน้าน้องชายที่ยังพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทำให้ตอนเย็นพวกเขาทั้งสองต้องกินข้าวนั่นกับผักกาดดองและยังคงเหลือส่วนน้อยไว้ในหม้อ
พอพี่สาวกลับมาในช่วงค่ำ เธอรู้สึกเป็นห่วงพวกเขามากเป็นพิเศษเพราะเธอกลับมาค่ำกว่าปกติมาก
เธอเปิดหม้อดูพบว่าข้าวในหม้อบูดแล้วจากลักษณะที่แฉะและมีกลิ่นเปรี้ยว
เธอเกิดอาการอึ้งขึ้นมาในใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
เธอรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์เหล่านี้
เธอรู้สึกสงสารพวกเขาอย่างจับใจแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ทำให้ใครเจ็บป่วยหรือเป็นอันตรายใดๆ ก็ตาม
แต่มันเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความยากจนของครอบครัวได้เป็นอย่างดี
พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่ประสีประสา พวกเขาคิดเสมอและรู้สึกปลอดภัยในทุกสิ่งที่พี่สาวของพวกเขาดูแลจัดการทุกอย่างเปรียบดังพ่อและแม่
พวกเขาไว้ใจเธอ พวกเขารับประทานอาหารโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเน่าเสีย
หากเป็นคนปกติที่พอรู้อะไรเป็นอะไรเขาคงไม่กินสิ่งแปลกปลอมเช่นนั้น
แต่พวกเขาไม่ใช่คนแบบเรา
เธอเดินเข้าไปตรงที่นอนซึ่งพวกเขากำลังหลับ
น้องชายคนพี่รู้สึกตัว พี่สาวแสนดีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนต่อน้องชายอันแสนรักว่า
"กินข้าวกันรึยังจ๊ะ"
"หนูกินแล้วครับ แล้วพี่ล่ะ"
เธอเบือนหน้าไปอีกทางแต่มือยังลูบศรีษะของเจ้าตัวน้อยอย่างทะนุถนอม
"นอนเถอะจ๊ะเด็กน้อย พรุ่งนี้พี่จะหาของอร่อยๆ ให้กินนะจ๊ะ วันนี้ขอโทษที่มาดึกไปหน่อย"
ระหว่างคำพูด สายน้ำไหลเอื่อยๆ จากขอบตาในเงามืดพร้อมเสียงสะอื้นในลำคอ
ความรู้สึกภายในของเธอไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเด็กไร้เดียงเหล่านี้และทุกคนบนโลกนี้
เธอหวังให้ให้เด็กทุกคนปลอดภัยและได้รับการเอาใส่เช่นเดียวกัน
เขียนเรื่องสั้น "อาหารเย็น" อยากทราบความคิดเห็นของสมาชิก
ในเมืองใหญ่ที่สังคมห่างเหินจากปฏิสัมพันธ์อย่างชนบท
ทุกชีวิตทุกครอบครัวต้องดำรงชีพอย่างปากกัดตีนถีบ
ซึ่งก็มีลักษณะเดียวกันกับสังคมเมืองใหญ่ทั้งหลายบนโลกยุคใหม่
ครอบครัวเล็กๆ ครัวครอบหนึ่ง พวกกำพร้าพ่อและแม่มาเป็นเวลาปีกว่าๆ แล้ว
คงเหลือเพียงลูกๆ 3 คน มีพี่สาวคนโตในวัยสาว และน้องชายเล็กๆ อีก 2 คน ซึ่งอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ
พวกเขาไม่ได้มีฐานะอะไร พวกเขามีบ้านแบบปกติของคนติดดิน
พี่สาวเป็นผู้ออกไปทำงานซึ่งเป็นงานที่ต้องทำตั้งแต่เช้าจนค่ำ
มันเป็นแค่งานในโรงงานที่อยู่ชานกรุงซึ่งได้ค่าจ้างไม่มากนักเพราะเธอไม่ได้รับการศึกษาที่ดีพอ
แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นอาชีพสุจริต
เธอต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปทำงานด้วยรถโดยสารสาธารณะ
บ่อยครั้งที่เธอต้องทำงานเกินเวลาที่กำหนดเนื่องจากมีภาระงานมากเกินไป
แต่เธอไม่เคยลดละความเพียรพยายามเพราะพวกเขาคือสิ่งสำคัญกว่าความเหน็ดเหนื่อย
ทุกครั้งก่อนออกไปทำงาน เธอต้องหุงข้าวเตรียมไว้เพื่อให้สมาชิกครอบครัวซึ่งยังเล็กได้กินกัน
นอกจากข้าวสวยร้อนๆ แล้ว ยังมีเนื้อเค็มหรือผักผักบุ้งหรืออะไรก็ตามที่พี่สาวซื้อกลับมาวันก่อน
นี่เป็นกิจวัตรประจำที่ครอบครัวนี้ทำกันมาหลังจากต้องอยู่ตามลำพังประสาพี่น้อง
พวกเด็กๆ เมื่อตื่นนอนแล้วพวกเขาจะหาอะไรกิน
จากนั้นพวกเขาจะออกไปเล่นระแวกนั้น
ซึ่งพื้นที่บริเวณที่อยู่อาศัยตั้งอยู่ในชุมชนที่ค่อนข้างทรุดโทรมและค่อนข้างขาดแคลนสาธารณูปโภค
แต่ผู้คนก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนั้นได้เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่คุ้มค่ากับรายได้ที่หามา
อาหารที่พี่สาวเตรียมไว้มีความสดใหม่พอที่จะรับประทานได้อย่างปลอดภัย
แต่ไม่ใช่อาหารประเภทหรูหราหรือประณีตอะไร
เด็กๆ จะช่วยกันตักข้าวสวยและกับข้าวซึ่งมีเพียงหนึ่งหรือสองอย่าง
และรับประทานจนเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ทำให้เกิดการสูญเปล่า
พวกเขารู้คุณค่าของอาหารเหล่านั้นเพราะเป็นชีวิตที่เขาต้องประหยัด
พอตกพลบค่ำ พี่สาวคนดีของพวกเขาก็หิ้วอาหารสำหรับมื้อรุ่งขึ้นกลับมา
บ้านหลังนี้ไม่มีตู้เย็น จะมีเพียงกระติกน้ำแข็งใบเล็กที่พอจะแช่อาหารบางส่วน
เธอมักถามพวกเขาเสมอว่า "เด็กๆ กินข้าวกันรึยังจ๊ะ"
ซึ่งเธอก็ได้รับคำตอบที่น่าอบอุ่นและสบายใจ
ขากลับจากที่ทำงานเธอจะแวะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวแล้วตรงหน้าปากซอย
และจะไม่กลับมากินอะไรอีกที่บ้าน
เพราะรู้ดีว่าเด็กๆ คงกินกันหมดแล้วและคงไม่มีอะไรเหลือ
และต้องเข้าใจก่อนว่าอาหารของพวกเขาไม่ได้มีจำนวนมากมากอย่างที่เราจะคาดคะเน
ในช่วงที่มีการเร่งรัดงาน เจ้านายเธอจะยื้อให้เธอจำเป็นต้องกลับมาค่ำมากกว่าปกติ
ซึ่งบางครั้งเธอไม่ได้ซื้ออะไรเข้ามาเลย ทำให้พวกเขาไม่มีอะไรกินในอีกวันนอกจากข้าวสาร
ในกรณีนี้พี่สาวจะหุงข้าวไว้ให้และเธอจะออกไปซื้อปลากระป๋องหรือผักกาดดองมาเป็นกับข้าว
ซึ่งสำหรับคนจนแล้วการหุงข้าวจะทำเพียงวันละครั้งเพื่อใช้เป็นอาหารตลอดทั้งวัน
มีอยู่วันหนึ่งหลังจากหุงข้าวแล้วเธอก็ออกเดินทางไปทำงานในตอนเช้ามืด
เมื่อทุกคนตื่นก็จะได้กินข้าวกับกับข้าวที่เหลืออยู่
แต่ในวันนั้นเองที่ข้าวสวยในหม้อเริ่มบูด
“เอ ข้าวนี่มันแหยะๆ ไงกันนะ” เด็กน้อยคนพี่ตรวจดู แต่เขาก็ไม่มีจินตาการไปไกลว่าควรหรือไม่ควรกิน
เขาตักข้าวใส่จานทั้งสองใบ นำผักดองมาตั้งตรงหน้าน้องชายที่ยังพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง
ทำให้ตอนเย็นพวกเขาทั้งสองต้องกินข้าวนั่นกับผักกาดดองและยังคงเหลือส่วนน้อยไว้ในหม้อ
พอพี่สาวกลับมาในช่วงค่ำ เธอรู้สึกเป็นห่วงพวกเขามากเป็นพิเศษเพราะเธอกลับมาค่ำกว่าปกติมาก
เธอเปิดหม้อดูพบว่าข้าวในหม้อบูดแล้วจากลักษณะที่แฉะและมีกลิ่นเปรี้ยว
เธอเกิดอาการอึ้งขึ้นมาในใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่
เธอรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์เหล่านี้
เธอรู้สึกสงสารพวกเขาอย่างจับใจแม้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ทำให้ใครเจ็บป่วยหรือเป็นอันตรายใดๆ ก็ตาม
แต่มันเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความยากจนของครอบครัวได้เป็นอย่างดี
พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่ประสีประสา พวกเขาคิดเสมอและรู้สึกปลอดภัยในทุกสิ่งที่พี่สาวของพวกเขาดูแลจัดการทุกอย่างเปรียบดังพ่อและแม่
พวกเขาไว้ใจเธอ พวกเขารับประทานอาหารโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเน่าเสีย
หากเป็นคนปกติที่พอรู้อะไรเป็นอะไรเขาคงไม่กินสิ่งแปลกปลอมเช่นนั้น
แต่พวกเขาไม่ใช่คนแบบเรา
เธอเดินเข้าไปตรงที่นอนซึ่งพวกเขากำลังหลับ
น้องชายคนพี่รู้สึกตัว พี่สาวแสนดีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนต่อน้องชายอันแสนรักว่า
"กินข้าวกันรึยังจ๊ะ"
"หนูกินแล้วครับ แล้วพี่ล่ะ"
เธอเบือนหน้าไปอีกทางแต่มือยังลูบศรีษะของเจ้าตัวน้อยอย่างทะนุถนอม
"นอนเถอะจ๊ะเด็กน้อย พรุ่งนี้พี่จะหาของอร่อยๆ ให้กินนะจ๊ะ วันนี้ขอโทษที่มาดึกไปหน่อย"
ระหว่างคำพูด สายน้ำไหลเอื่อยๆ จากขอบตาในเงามืดพร้อมเสียงสะอื้นในลำคอ
ความรู้สึกภายในของเธอไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเด็กไร้เดียงเหล่านี้และทุกคนบนโลกนี้
เธอหวังให้ให้เด็กทุกคนปลอดภัยและได้รับการเอาใส่เช่นเดียวกัน