Auto-Tune ตัวดัดแปลงเสียงในยุคปลาย 90s - 2000s ความล้ำหน้าที่แตกต่างกับ Talkbox และ Vocoder ในอดีต
. . .
Auto-Tune ถูกพัฒนาโดย Andy Hildebrand นักวิศวกรรมเสียงและอดีตนักธรณีฟิสิกส์ เปิดตัวครั้งแรกในปี 1997 โดยบริษัท Antares Audio Technologies
จุดเริ่มต้นของ Auto-Tune
• เดิมที Andy Hildebrand ใช้เทคนิควิเคราะห์คลื่นเสียงสำหรับการสำรวจน้ำมัน
• ต่อมาเขานำเทคนิคนี้มาปรับใช้กับเสียงร้อง ทำให้สามารถปรับจูนคีย์เสียงให้อยู่ในโน้ตที่ต้องการโดยอัตโนมัติ
การใช้งานในเพลง
•
เพลงแรกที่ทำให้ Auto-Tune โด่งดังคือ “Believe” ของ Cher (1998) ซึ่งใช้เอฟเฟกต์เสียงแบบหุ่นยนต์
• ตั้งแต่นั้นมา Auto-Tune กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในวงการดนตรี ทั้งสำหรับการแก้ไขเสียงร้องและสร้างเอฟเฟกต์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์
Auto-Tune ถูกใช้ทั้งในแนว Pop, Hip-hop, R&B และ EDM โดยศิลปินชื่อดัง เช่น T-Pain, Kanye West, Travis Scott, Lil Uzi Vert เป็นต้น
- เพลง “Believe” ของ Cher (1998) เพลงสไตล์ House/ยูโรป๊อป เป็นเพลงแรกที่ดัน Auto-Tune ขึ้นมาให้เป็นที่รู้จัก

. .
ชื่อ Auto-Tune บ่งบอกถึงความอัตโนมัติในการปรับโทนเสียงร้องและโน้ต แตกต่างกับ Talkbox
อย่างเพลง “California Love” ของ 2Pac feat. Dr. Dre (& Roger Troutman) ในปี 1995 ไม่ได้ใช้ Auto-Tune แต่ใช้เทคนิคที่คล้ายกันคือ Talkbox ซึ่งยังเป็นเทคนิคสมัยเก่าอยู่
Talkbox มีมาตั้งแต่ช่วงปลาย 1930s แต่เริ่มเป็นที่นิยมในดนตรีจริงจังช่วง 1970s โดยเฉพาะในแนว Funk, Rock และ Hip-hop
ต้นกำเนิดของ Talkbox
• คิดค้นโดย Alvino Rey (นักกีตาร์แจ๊ส) ในปี 1939 โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “Sonovox”
• ช่วงปลาย 1960s Pete Drake (นักกีตาร์แนวคันทรี) พัฒนา Talkbox ให้ทันสมัยขึ้น
• Roger Troutman (จากวง Zapp & Roger) ศิลปินในยุค 80s เป็นเจ้าพ่อแห่งการใช้ Talkbox ซึ่งมักใช้ในท่อนฮุกของเพลง
Talkbox เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องสังเคราะห์เสียง (synthesizer) และใช้หลอดส่งเสียงเข้าไปในปากของนักร้องเพื่อปรับโทนเสียงให้มีลักษณะคล้ายหุ่นยนต์ เป็นเทคนิคที่นิยมในเพลง Funk, Hip-hop, Electronic ยุค 80s–90s และยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน
- ตัวอย่าง Talkbox เพลง “California Love” ของ 2Pac (1995) โดยเชิญ Roger Troutman มาแจมท่อนฮุก

. .
ยุครุ่งเรืองของ Talkbox
1. 1970s - 1980s:
- Peter Frampton ทำให้ Talkbox เป็นที่รู้จักทั่วโลกผ่านอัลบั้ม Frampton Comes Alive! (1976) โดยมีเพลงดังเช่น “Do You Feel Like We Do”, “Show Me the Way”
- Stevie Wonder ใช้ Talkbox กับซินธิไซเซอร์ Moog
- Roger Troutman (จากวง Zapp & Roger) เป็นหนึ่งในศิลปินที่ใช้ Talkbox จนเป็นเอกลักษณ์ โดยมีเพลงดังอย่าง “More Bounce to the Ounce” (1980), “Computer Love” (1986)
- Bon Jovi มือกีตาร์คือ Richie Sambora ใช้ Talkbox ในเพลง “Livin’ on a Prayer“ (1986)
2. 1990s Hip-hop และ G-Funk:
- Dr. Dre และ 2Pac ใช้ Talkbox ใน California Love (1995)
-แนว G-Funk ซึ่งมีอิทธิพลจากฟังก์ก็นำ Talkbox มาใช้เยอะ เช่น Warren G, Snoop Dogg
3. 2000s - ปัจจุบัน:
มีใช้ในเพลงของ Daft Punk, Chromeo, Bruno Mars (“24K Magic”)
บางครั้งการใช้ Talkbox มักใช้ผสมกับ Vocoder
. . .
Vocoder มีความต่างยังไง?
Vocoder (Voice Encoder)
• ใช้สำหรับเปลี่ยนเสียงมนุษย์ให้เป็นเสียงสังเคราะห์
• นิยมใช้ในดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มาตั้งแต่ยุค 70s
• ทำงานโดยการผสมเสียงพูดเข้ากับซินธิไซเซอร์ ทำให้เสียงออกมาเป็นแบบหุ่นยนต์
ตัวอย่างเพลงที่ใช้ Vocoder:
“Computer Love” – Kraftwerk (1981)
“Harder, Better, Faster, Stronger” – Daft Punk (2001)
Auto-Tune ทำได้ดีกว่า
•ใช้เพื่อปรับเสียงร้องให้อยู่ในโน้ตที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติ
•สามารถใช้เพื่อสร้างเอฟเฟกต์เสียงหุ่นยนต์แบบ Extreme Auto-Tune ได้
. . .
Vocoder ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่?
Vocoder ถูกพัฒนาขึ้นในช่วง 1930s โดย Bell Labs เพื่อใช้ในการเข้ารหัสและถอดรหัสเสียงพูดทางโทรศัพท์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมาในช่วง 1960s–1970s นักดนตรีเริ่มนำ Vocoder มาใช้ในการสร้างเสียงหุ่นยนต์และเพิ่มลูกเล่นให้กับเสียงร้อง
. . .
- ตัวอย่าง Vocoder เพลง “Around the World” ของ Daft Punk (1997)

. .
ยุคต่าง ๆ ที่ Vocoder ถูกใช้ในเพลง
1. ยุค 1970s Synth & Electronic Pioneers
- Kraftwerk วงอิเล็กทรอนิกส์จากเยอรมนีที่ใช้ Vocoder อย่างหนักในเพลงเช่น “Autobahn” (1974), “The Robots” (1978), “Computer Love” (1981)
- Stevie Wonder ใช้ Vocoder และ Talkbox ในเพลง “Send One Your Love” (1979)
- Electric Light Orchestra (ELO) ใช้ในเพลง ”Mr. Blue Sky” (1977)
2. ยุค 1980s Funk & Hip-Hop
- Herbie Hancock ในเพลง “I Thought It Was You” (1978)
- Roger Troutman (Zapp & Roger) ผสมผสาน Talkbox กับซาวด์ฟังก์ เช่น “More Bounce to the Ounce” (1980)
- Afrika Bambaataa & The Soulsonic Force ใช้ Vocoder ในเพลงฮิปฮอปยุคแรก ๆ เช่น “Planet Rock” (1982)
3. ยุค 1990s Dance & Electronica
- Daft Punk ใช้ Vocoder แทนเสียงร้องจริง
- Beck ในเพลง “Where It’s At” (1996)
- Air ในเพลง “Sexy Boy” (1998)
4. ยุค 2000s Auto-Tune & ผสม Vocoder
- Daft Punk เพลง “One More Time” (2000) ใช้ Auto-Tune ผสมกับ Vocoder
- Kanye West ศิลปิน Rapper ใช้กับเพลง “Stronger” (2007) (เอาเพลง “Harder, Better, Faster, Stronger” ของ Daft Punk มาทำใหม่)
- Imogen Heap เพลง “Hide and Seek” (2005) ใช้ Vocoder และ Harmonizer
ตัวอย่างเพลงที่ใช้ Vocoder
- เพลง “Harder, Better, Faster, Stronger” ของ Daft Punk (2001)

. .
- เพลง Stronger ของ Kanye West (2007) ใช้ Vocoder ผสม Auto-Tune
[ออโต้จูน] ความเป็นมาของ Auto-Tune , Talkbox และ Vocoder
. . .
Auto-Tune ถูกพัฒนาโดย Andy Hildebrand นักวิศวกรรมเสียงและอดีตนักธรณีฟิสิกส์ เปิดตัวครั้งแรกในปี 1997 โดยบริษัท Antares Audio Technologies
จุดเริ่มต้นของ Auto-Tune
• เดิมที Andy Hildebrand ใช้เทคนิควิเคราะห์คลื่นเสียงสำหรับการสำรวจน้ำมัน
• ต่อมาเขานำเทคนิคนี้มาปรับใช้กับเสียงร้อง ทำให้สามารถปรับจูนคีย์เสียงให้อยู่ในโน้ตที่ต้องการโดยอัตโนมัติ
การใช้งานในเพลง
• เพลงแรกที่ทำให้ Auto-Tune โด่งดังคือ “Believe” ของ Cher (1998) ซึ่งใช้เอฟเฟกต์เสียงแบบหุ่นยนต์
• ตั้งแต่นั้นมา Auto-Tune กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในวงการดนตรี ทั้งสำหรับการแก้ไขเสียงร้องและสร้างเอฟเฟกต์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์
Auto-Tune ถูกใช้ทั้งในแนว Pop, Hip-hop, R&B และ EDM โดยศิลปินชื่อดัง เช่น T-Pain, Kanye West, Travis Scott, Lil Uzi Vert เป็นต้น
- เพลง “Believe” ของ Cher (1998) เพลงสไตล์ House/ยูโรป๊อป เป็นเพลงแรกที่ดัน Auto-Tune ขึ้นมาให้เป็นที่รู้จัก
. .
ชื่อ Auto-Tune บ่งบอกถึงความอัตโนมัติในการปรับโทนเสียงร้องและโน้ต แตกต่างกับ Talkbox
อย่างเพลง “California Love” ของ 2Pac feat. Dr. Dre (& Roger Troutman) ในปี 1995 ไม่ได้ใช้ Auto-Tune แต่ใช้เทคนิคที่คล้ายกันคือ Talkbox ซึ่งยังเป็นเทคนิคสมัยเก่าอยู่
Talkbox มีมาตั้งแต่ช่วงปลาย 1930s แต่เริ่มเป็นที่นิยมในดนตรีจริงจังช่วง 1970s โดยเฉพาะในแนว Funk, Rock และ Hip-hop
ต้นกำเนิดของ Talkbox
• คิดค้นโดย Alvino Rey (นักกีตาร์แจ๊ส) ในปี 1939 โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “Sonovox”
• ช่วงปลาย 1960s Pete Drake (นักกีตาร์แนวคันทรี) พัฒนา Talkbox ให้ทันสมัยขึ้น
• Roger Troutman (จากวง Zapp & Roger) ศิลปินในยุค 80s เป็นเจ้าพ่อแห่งการใช้ Talkbox ซึ่งมักใช้ในท่อนฮุกของเพลง
Talkbox เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องสังเคราะห์เสียง (synthesizer) และใช้หลอดส่งเสียงเข้าไปในปากของนักร้องเพื่อปรับโทนเสียงให้มีลักษณะคล้ายหุ่นยนต์ เป็นเทคนิคที่นิยมในเพลง Funk, Hip-hop, Electronic ยุค 80s–90s และยังคงใช้มาถึงปัจจุบัน
- ตัวอย่าง Talkbox เพลง “California Love” ของ 2Pac (1995) โดยเชิญ Roger Troutman มาแจมท่อนฮุก
. .
ยุครุ่งเรืองของ Talkbox
1. 1970s - 1980s:
- Peter Frampton ทำให้ Talkbox เป็นที่รู้จักทั่วโลกผ่านอัลบั้ม Frampton Comes Alive! (1976) โดยมีเพลงดังเช่น “Do You Feel Like We Do”, “Show Me the Way”
- Stevie Wonder ใช้ Talkbox กับซินธิไซเซอร์ Moog
- Roger Troutman (จากวง Zapp & Roger) เป็นหนึ่งในศิลปินที่ใช้ Talkbox จนเป็นเอกลักษณ์ โดยมีเพลงดังอย่าง “More Bounce to the Ounce” (1980), “Computer Love” (1986)
- Bon Jovi มือกีตาร์คือ Richie Sambora ใช้ Talkbox ในเพลง “Livin’ on a Prayer“ (1986)
2. 1990s Hip-hop และ G-Funk:
- Dr. Dre และ 2Pac ใช้ Talkbox ใน California Love (1995)
-แนว G-Funk ซึ่งมีอิทธิพลจากฟังก์ก็นำ Talkbox มาใช้เยอะ เช่น Warren G, Snoop Dogg
3. 2000s - ปัจจุบัน:
มีใช้ในเพลงของ Daft Punk, Chromeo, Bruno Mars (“24K Magic”)
บางครั้งการใช้ Talkbox มักใช้ผสมกับ Vocoder
. . .
Vocoder มีความต่างยังไง?
Vocoder (Voice Encoder)
• ใช้สำหรับเปลี่ยนเสียงมนุษย์ให้เป็นเสียงสังเคราะห์
• นิยมใช้ในดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มาตั้งแต่ยุค 70s
• ทำงานโดยการผสมเสียงพูดเข้ากับซินธิไซเซอร์ ทำให้เสียงออกมาเป็นแบบหุ่นยนต์
ตัวอย่างเพลงที่ใช้ Vocoder:
“Computer Love” – Kraftwerk (1981)
“Harder, Better, Faster, Stronger” – Daft Punk (2001)
Auto-Tune ทำได้ดีกว่า
•ใช้เพื่อปรับเสียงร้องให้อยู่ในโน้ตที่ถูกต้องโดยอัตโนมัติ
•สามารถใช้เพื่อสร้างเอฟเฟกต์เสียงหุ่นยนต์แบบ Extreme Auto-Tune ได้
. . .
Vocoder ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่?
Vocoder ถูกพัฒนาขึ้นในช่วง 1930s โดย Bell Labs เพื่อใช้ในการเข้ารหัสและถอดรหัสเสียงพูดทางโทรศัพท์ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
ต่อมาในช่วง 1960s–1970s นักดนตรีเริ่มนำ Vocoder มาใช้ในการสร้างเสียงหุ่นยนต์และเพิ่มลูกเล่นให้กับเสียงร้อง
. . .
- ตัวอย่าง Vocoder เพลง “Around the World” ของ Daft Punk (1997)
. .
ยุคต่าง ๆ ที่ Vocoder ถูกใช้ในเพลง
1. ยุค 1970s Synth & Electronic Pioneers
- Kraftwerk วงอิเล็กทรอนิกส์จากเยอรมนีที่ใช้ Vocoder อย่างหนักในเพลงเช่น “Autobahn” (1974), “The Robots” (1978), “Computer Love” (1981)
- Stevie Wonder ใช้ Vocoder และ Talkbox ในเพลง “Send One Your Love” (1979)
- Electric Light Orchestra (ELO) ใช้ในเพลง ”Mr. Blue Sky” (1977)
2. ยุค 1980s Funk & Hip-Hop
- Herbie Hancock ในเพลง “I Thought It Was You” (1978)
- Roger Troutman (Zapp & Roger) ผสมผสาน Talkbox กับซาวด์ฟังก์ เช่น “More Bounce to the Ounce” (1980)
- Afrika Bambaataa & The Soulsonic Force ใช้ Vocoder ในเพลงฮิปฮอปยุคแรก ๆ เช่น “Planet Rock” (1982)
3. ยุค 1990s Dance & Electronica
- Daft Punk ใช้ Vocoder แทนเสียงร้องจริง
- Beck ในเพลง “Where It’s At” (1996)
- Air ในเพลง “Sexy Boy” (1998)
4. ยุค 2000s Auto-Tune & ผสม Vocoder
- Daft Punk เพลง “One More Time” (2000) ใช้ Auto-Tune ผสมกับ Vocoder
- Kanye West ศิลปิน Rapper ใช้กับเพลง “Stronger” (2007) (เอาเพลง “Harder, Better, Faster, Stronger” ของ Daft Punk มาทำใหม่)
- Imogen Heap เพลง “Hide and Seek” (2005) ใช้ Vocoder และ Harmonizer
ตัวอย่างเพลงที่ใช้ Vocoder
- เพลง “Harder, Better, Faster, Stronger” ของ Daft Punk (2001)
. .
- เพลง Stronger ของ Kanye West (2007) ใช้ Vocoder ผสม Auto-Tune