‘สหรัฐ’ ไข่แพง 200% พ่อค้ายา ‘เม็กซิโก’ ลักลอบขนไข่ กำไรดีกว่า

กระทู้ข่าว
“ผู้ค้ายาเสพติดเม็กซิกัน“ พากันเปลี่ยนอาชีพ ใช้เครือข่ายลักลอบขนสินค้า สร้างมาหลายปี เพื่อขนไข่และส่งไข่จากเม็กซิโกไปยังสหรัฐ เพราะกำไรดีกว่ามาก

สถานีโทรทัศน์ CBS ของสหรัฐรายงานว่า จํานวนคดีลักลอบขนเฟนทานิลที่ถูกยึดโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณ ชายแดนสหรัฐ - เม็กซิโก ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่า ได้จับกุมผู้กระทำผิดลักลอบขนยาเสพติด 413 ราย แต่กรณีการลักลอบขนไข่ที่ถูกยึด 5,938 ราย 

กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกันบางราย เปลี่ยนมาลักลอบขนไข่ อาจสร้างความตลกเกินไป แต่ในโลกโซเชียลให้ความสนใจ และข่าวนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

ฟ็อกซ์ทีวียังทํารายการล้อเลียนการค้ายาเสพติด แต่แทนที่จะค้ายาเสพติด แต่กลับกลายลักลอบขายไข่ 
ไข่เหล่านี้ถูกส่งไปยังสหรัฐ โดยคนร่วมแก๊งซ์ขบวนการค้ายาเสพติดชาวเม็กซิกัน เนื่องจากไม่มีใบรับรองการซื้อสินค้า และใบเรียกเก็บภาษีจากซูเปอร์มาร์เก็ต ดังนั้นผู้ลักลอบจึงสามารถขายให้กับพ่อค้าแผงขายไข่ข้างถนนได้เท่านั้น

รายงานข่าวระบุว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตในสหรัฐ และแผงขายของบนทางเท้าในสหรัฐ สามารถขายกัญชาได้อย่างถูกกฎหมาย และตลาดมืดในสหรัฐอเมริกายังขายไข่ผิดกฎหมายด้วย 

สิ่งที่สําคัญที่สุดคือสหรัฐ ไม่ได้ขาดแคลนไข่ แต่สหรัฐเป็นประเทศขนาดใหญ่และมีประชากรเบาบาง ซึ่งต้นทุนการผลิตอาหารในชีวิตประจำวันค่อนข้างมีราคาต่ำในหลายพื้นที่ เช่นเดียวกับต้นทุนของไข่ในสหรัฐต่ำมาเสมอ และสหรัฐยังเป็นผู้ส่งออกไข่ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกมาหลายปี

เมื่อย้อนกลับไป ปี 2565 ในช่วงต้นปีราคาขายปลีกของไข่ในสหรัฐเพียงหนึ่งโหล (12 ฟอง) อยู่ที่ 1.5 - 2 ดอลลาร์ นั่นก็คือไข่แต่ละฟอง ตกอยู่ 0.15 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5 บาท อาจมีราคาแพงหรือเท่ากับประเทศไทยในบางฤดูกาล แต่ถือว่า ไม่แพงมากเมื่อพิจารณาถึงต้นทุนแรงงานกับราคาขายปลีก

มาถึงปี 2568 ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ราคาไข่ขายปลีกในสหรัฐแพงขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยหนึ่งโหลอยู่ที่ประมาณ 5.29 -  6 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน อยู่ที่ 3.5 ดอลลาร์ ซึ่งราคาค้าปลีกสูงสุดในรัฐที่ร่ำรวย เช่น แคลิฟอร์เนีย ขายหนึ่งโหล อยู่ที่ 8.99 ดอลลาร์ หรือหมายถึงไข่หนึ่งฟอง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ฟองละ 25 บาท 

สถานการณ์ล่าสุดตอนนี้ ในซูเปอร์มาเก็ตหลายแห่งกำลัขาดแคลนไข่ นี่เป็นเหตุผลที่พ่อค้ายาเสพติดชาวเม็กซิโกเปลี่ยนมาขายไข่ หากโดนจับ โทษก็ต่างกันเป็นไหนๆ 

สหรัฐในฐานะผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ที่สุดของโลก และผู้ส่งออกไข่รายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ซึ่งเมื่อปี 2565 ได้เกิดการระบาดของไข้หวัดนกทั่วโลก ไม่เว้นแต่สหรัฐ จำเป็นต้องฆ่าไก่ และทำลายไข่จำนวนมาก 

ต่อมาเมื่อปี 2566 ไข้หวัดนกในสหรัฐก็กลับมาอีกครั้งหนึ่ง และทำให้ลูกไก่ไข่ต้องถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยสถานการณ์ไข้หวัดนกในสหรัฐไม่มีความแน่นอน ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตไข่ไม่เพิ่มการผลิต และใช้ให้ช่วงเวลานี้ทำกำไรได้มาก เนื่องจากบริษัทไม่เพิ่มกำลังการผลิต และเฝ้าสังเกตการณ์ราคาไข่เพิ่มขึ้น

รายงานระบุว่า บริษัทผู้ผลิตไข่สามอันดับแรกส่งไข่ขายทั้งประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 60% ของการผลิต หากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้เพิ่มกำลังการเลี้ยงไก่เพื่อได้ไข่สำหรับจำหน่าย ก็เป็นโอกาสให้ชาวอเมริกันได้กลับมากินไข่ในราคาฟองละ 1 ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ในปี 2568 อุปสงค์และอุปทานไข่ในสหรัฐเพิ่มขึ้น โดยกำลังการเลี้ยงไก่เพื่อได้ไข่ออกจำหน่ายต่ำกว่าความต้องการของผู้ซื้อประมาณ 10%  ดูเหมือนช่องว่างราคาไม่มากนัก แต่ปัญหาที่สะสมมานานหลายปี นักวิเคราะห์ชี้ว่า นำไปสู่ราคาขายในสหรัฐในปีนี้ พุ่งสูงขึ้นประมาณ 200 % 


โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่