ช่วงนี้มีข่าวคราวสงครามการค้าใหญ่โตระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งส่งผลวงกว้างไปถึงหลายๆอุตสาหกรรม ซึ่งบางครั้งคนทั่วไปที่ไม่ได้ติดตามเรื่องใดเรื่องหนึ่งลึกซึ้งก็จะไม่เข้าใจว่าการที่มีการประกาศแบนกันไปมานั้น ลึกๆแล้วใครเจ็บมากกว่ากันคนที่โดนแบนหรือคนที่ประกาศแบนกันแน่?
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการโฆษณาชวนเชื่อในครั้งนี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลจีนได้ประกาศจะแบนหนัง Hollywood ไม่ให้เข้าฉายในจีนเพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา บรรดาสาวกนิยมจีนต่างออกมากระโดดโลดเต้นดีใจตีอกชกหัวว่าเป็นไงล่ะ อเมริกาโดนไม้เด็ดเข้าให้แล้ว แต่จริงๆแล้วการแบนหนัง Hollywood ใครกันแน่ที่เจ็บกว่ากัน อเมริกาหรือจีน?
หากพูดถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์แล้วต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ อุตสาหกรรมการสร้างภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ ในด้านอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์นั้นปัจจุบันประเทศจีนคือประเทศที่มีจำนวนโรงหนังมากที่สุดในโลก โดยจีนเริ่มมีจำนวนโรงหนังมากกว่าอเมริกามาตั้งแต่ปี 2017 โดยในปัจจุบันจีนมีจำนวนโรงภาพยนตร์ถึงประมาณ 91,000 โรง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามี 38,000 โรงเท่านั้น
การที่ประเทศจีนมีโรงภาพยนตร์ (H/W) มากขนาดนั้นทำให้ต้องพึ่งพาภาพยนตร์ (S/W) จำนวนมากเพื่อเข้าฉายในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งต้องการรายได้จำนวนมหาศาลมาพยุงกิจการโรงภาพยนตร์เอาไว้ เมื่ออุตสหากรรมภาพยนตร์จีนไม่ได้แข็งแกร่งเพียงพอจึงต้องพึ่งพาภาพยนตร์ต่างประเทศโดยเฉพาะจาก Hollywood เป็นตัวช่วยหลักในการหารายได้ แม้จะต้องเผชิญกับการควบคุมจากคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติจีน ที่กำหนดจำนวนภาพยนตร์ต่างประเทศเอาไว้ที่ 34 เรื่องต่อปี และต้องเข้ารับการสอบเนื้อหาอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้รับอนุญาตในการเข้าฉายในประเทศจีนด้วย
ส่วนแบ่งและรายได้ปัจจุบันของหนัง Hollywood ในจีนคือเท่าไหร่ เทียบกับสมัยก่อน
ช่วงก่อน COVID ภาพยนตร์ Hollywood ทำรายได้ในประเทศจีนประมาณ 3 พันล้านเหรียญต่อปี และมีสัดส่วน Market Share มากกว่า 30% ขึ้นไป
แต่หลังจาก COVID เป็นต้นมา ความไม่ไว้วางใจระหว่าง 2 ประเทศมีมากขึ้น ทางคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติจีนเริ่มเข้มงวดกับการอนุญาตภาพยนตร์ Hollywood ทำให้เข้าฉายในจีนได้ยากขึ้น มีการปรับช่วงเวลา Blackout (ห้ามภาพยนตร์ต่างชาติเข้าฉายในช่วงตรุษจีน, วันแรงงาน, กลางหน้าร้อน และวันชาติ) นานขึ้น ประกอบกับการกดดันต่างๆทำให้ภาพยนตร์ Hollywood ในประเทศจีนลดความสำคัญลง โดยมีสัดส่วนเพียง 10-20% ในช่วงปี 2021-2024
โดยที่สตูดิโอผู้สร้างใน Hollywood นั้นปรับตัวกับการที่ไม่มีรายได้จากตลาดจีนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อมองไปยังหนังจีนเองก็พบว่า หนังจีนนั้นโตไม่ทันกับความต้องการของโรงหนัง โดยที่ภาพยนตร์จีนทำรายได้ในประเทศรวมกันสูงสุดในปี 2022 และ 2023 ผ่านหนังอย่าง The Battle of Lake Changjin II, Moon Man, Too Cool to Kill, Full River Red, The Wandering Earth 2, No More Bets, Lost in the Star, Creation of the Gods, Never Say Never, Boonie Bears
โดยที่ในปี 2021 และ 2022 ตลาด Box Office ในประเทศจีนสามารถทำรายได้รวมแซงหน้า Box Office ในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ฟื้นตัวจาก COVID ได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ทว่าตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมาตลาด Box Office ในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มคืนชีพอย่างเต็มที่ผ่านภาพยนตร์ฮิตๆ เช่น Avatar: The Way of Water, Barbie, The Super Mario Bros. Movie, Spider-Man: Across the Spider-Verse, Gurdians of the Galaxy Vol.3, Oppenheimer, Inside Out 2, Deadpool & Wolverine, Wicked, Moana 2, Beetlejuice Beetlejuice, Dune: Part Two ซึ่งล้วนแล้วแต่ดึงดูดชาวอเมริกันให้ออกมาดูหนังในโรงกันแทบเป็นปกติ
สถานการณ์ Box Office ภายในประเทศของจีนและอเมริกาเป็นอย่างไรกันแน่?
ในขณะที่ Box Office ของจีนนั้นกลับเริ่มขาดแคลนหนังทำเงิน โดยในปี 2024 รายได้รวม Box Office ในประเทศจีนลดลงเหลือ 5.82 พันล้านเหรียญ แต่ของอเมริกาพุ่งไปถึง 8.56 พันล้านเหรียญ หรือรายได้ Box Office ในจีนที่เคยแซงหน้าอเมริกาไปในปี 2021, 2022 แค่ปีที่แล้วเหลือแค่ 68% ของ Box Office อเมริกาเท่านั้น
ส่วนแบ่งรายได้ของ Hollywood จากการฉายในจีนคือ 25% ที่เหลืออีก 75% คือเงินหมุนเวียนในธุรกิจภาพยนตร์จีน
ยิ่งเมื่อมาดูส่วนแบ่งรายได้ ที่ตามสัญญาในประเทศจีนหนัง Hollywood จะได้เงินกลับบ้านเพียง 25% ของรายได้หนัง ในขณะที่อีก 75% คือรายได้ที่หมุนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ของจีนและผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่นในประเทศจีนแล้ว ก็เท่ากับว่ารายได้หนัง Hollywood ในจีนปี 2024 = 1.2 พันล้านเหรียญนั้น จะเป็นเงินกลับสู่อเมริกาเพียง 300 ล้านเหรียญ (เท่ากับรายได้ของ A Minecraft Movie ในอเมริกาตลาดเดียว ณ เวลาปัจจุบันเท่านั้น) แต่เป็นเงินหมุนเวียนภายในประเทศจีนสูงถึง 900 ล้านเหรียญ
หากทางการจีนแบนหนัง Hollywood ก็เท่ากับว่าอเมริกาจะเสียผลประโยชน์ 300 ล้านเหรียญ แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีนเองกลับจะสูญเสียถึงเกือบ 1 พันล้านเหรียญ ที่จะไปหล่อเลี้ยงธุรกิจโรงหนังจำนวนมหาศาลเกือบ 1 แสนโรง แล้วจะสามารถหาภาพยนตร์ที่มีศักยภาพจะทำรายได้เยอะมาเลี้ยงธุรกิจได้เพียงพอจากไหนมาทดแทนได้
2025 & Beyond
ปีนี้อุตสาหกรรมโรงหนังในจีนอาจไม่ได้แย่มากเพราะจีนมีหนังปรากฎการณ์ 2 พันล้านเหรียญอย่าง Ne Zha 2 มาทำรายได้ช่วยพยุงไว้ แต่คำว่าปรากฎการณ์มันก็หมายความว่านานๆมันถึงจะมีซักครั้งไม่ได้มีกันบ่อยๆทุกปี ในขณะที่ฝั่งอเมริกาที่มี A Minecraft Movie ที่ทำรายได้ในประเทศได้เกือบๆ 400 ล้านเหรียญแน่ๆมาเบิกโรงไว้แล้ว แถมยังมีอาวุธหนักอย่าง MI: 8.2, Lilo & Stitch, Karate Kid: Legends, How to Train Your Dragon, F1, Jurassic World: Rebirth, Superman, F4, The Bad Guys 2, The Conjuring 4, Michael, Now You See Me 3, Wicked: For Good, Zootopia 2, Five Nights at Freddy's 2, Avatar: Fire and Ash, The SpongeBob Movie รออยู่อีก (ไม่นับเรื่องรองๆอีกเป็น 10) ยังไงๆ Hollywood และอเมริกาก็ไม่ได้กลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจุบันนี้จีนกลายเป็นตลาดที่เล็กกว่า UK, Mexico ไปแล้ว และยิ่งตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเองฟื้นได้มากเท่าไหร่ก็หมายความว่ารายได้จากต่างประเทศ (ประเทศอื่นๆนอกเหนือจากจีน) จะยิ่งฟื้นตัวได้ดีเช่นกันมากขึ้นเท่านั้น เพราะกระแสของหนัง Hollywood มันย่อมเริ่มมาจากอเมริกาก่อนเสมอ
หลังจากปีนี้ไปทาง Hollywood ก็ยังมี Project ใหม่ๆเตรียมมาดูดเงินชาวโลกอีกเป็นพรวน ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไปทั้ง Scream 7, The Cat in the Hat, The Last Airbender, The Exorcist Reboot, The Super Mario Bros. Movie 2, Mummy, Avengers: Doomsday, The Mandalorian & Grogu, Master of the Universe (He-Man), Toy Story 5, Supergirl, Minions 3, Moana (Live-Action), The Odyssey, Spider-Man: Brand New Day, Resident Evil, The Hunger Game: Sunrise on the Reaping, Jumanji ภาคต่อ, Ice Age 6, Shrek 5, Sonic the Hedgehog 4, Godzilla x Kong ภาคต่อ, The Legend of Zelda, Avengers: Secret Wars, Star Wars: Starfighter, Spider-Man: Beyond Spider-Verse, How to Train Your Dragon 2, Frozen III, The Batman - Part II
ในขณะที่ของจีนไหนดูซิ The Wandering Earth 3, Boonie Bears ภาคใหม่, White Snake 3, Detective Chinatown 4, Creation of the Gods III, Full Spectrum Barrage Jamming, With Her Eyes, The Three-Body Problem ไหวมั้ยนี่กับโรงหนังเกือบแสนโรงเลยนะ แถมขายต่างประเทศไม่ออกด้วย
Hollywood เลิกสนใจจีนไปนานแล้ว
ในปัจจุบันภาพยนตร์ Hollywood ไม่มีการถ่ายทำในประเทศจีนมาตั้งแต่หลัง COVID หรือปี 2021 เป็นมา รวมทั้งนักแสดง และบทเอาใจจีนก็หายไปหมดแล้ว ถ้าสังเกตดูในระยะหลัง แม้กระทั่ง Production House ใน Hollywood ที่ฝั่งจีนมีอิทธิพลมากที่สุดคือ Legendary Entertainment (A Minecraft Movie, Dune, Godzilla, Kong, Jurassic World, Pacific Rim, 300, The Hangover etc.) ที่เคยมี Wanda Group ถือหุ้นใหญ่ ตอนนี้ก็ถูกซื้อคืนจน Wanda ไม่เหลือหุ้นเลยอีกต่อไปแล้ว หนังที่เคยทำออกมาขายคนจีนตรงๆเป็นหลักอย่าง Transformers: Age of Extinction, The Great Wall, The Meg ก็แทบจะหายไปไม่เหลือหลอ เรื่องสุดท้ายที่เห็นคือ Meg 2: The Trench
แม้กระทั่ง Joy Ride (2023) ที่เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับการเดินทางในประเทศจีน ยังไม่ไปถ่ายทำในจีนเลยไปถ่ายที่ Vancouver แทน คิดดูก็แล้วกัน
ส่วนด้านรายได้ นอกจากส่วนแบ่งรายได้ในจีน (25%) จะต่ำกว่าส่วนแบ่งในตลาดต่างประเทศอื่นๆ (40%) แล้ว ปี 2024 เอาแค่ Box Office รวมของตลาดจีนก็ร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 3 ของตลาดประเทศของหนัง Hollywood แล้วต่อจาก UK และญี่ปุ่น ยังไม่นับตลาดอีกหลายแห่งที่กำลังเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งเกาหลีใต้, Mexico, Brazil, India, Saudi Arabia ซึ่งทาง Hollywood กำลังสนใจตลาดพวกนี้มากกว่าเยอะ
จีนแบนหนัง Hollywood ใครเจ็บมากกว่ากันแน่?
อุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการโฆษณาชวนเชื่อในครั้งนี้ โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลจีนได้ประกาศจะแบนหนัง Hollywood ไม่ให้เข้าฉายในจีนเพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา บรรดาสาวกนิยมจีนต่างออกมากระโดดโลดเต้นดีใจตีอกชกหัวว่าเป็นไงล่ะ อเมริกาโดนไม้เด็ดเข้าให้แล้ว แต่จริงๆแล้วการแบนหนัง Hollywood ใครกันแน่ที่เจ็บกว่ากัน อเมริกาหรือจีน?
หากพูดถึงอุตสาหกรรมภาพยนตร์แล้วต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ อุตสาหกรรมการสร้างภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ ในด้านอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์นั้นปัจจุบันประเทศจีนคือประเทศที่มีจำนวนโรงหนังมากที่สุดในโลก โดยจีนเริ่มมีจำนวนโรงหนังมากกว่าอเมริกามาตั้งแต่ปี 2017 โดยในปัจจุบันจีนมีจำนวนโรงภาพยนตร์ถึงประมาณ 91,000 โรง ในขณะที่สหรัฐอเมริกามี 38,000 โรงเท่านั้น
การที่ประเทศจีนมีโรงภาพยนตร์ (H/W) มากขนาดนั้นทำให้ต้องพึ่งพาภาพยนตร์ (S/W) จำนวนมากเพื่อเข้าฉายในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งต้องการรายได้จำนวนมหาศาลมาพยุงกิจการโรงภาพยนตร์เอาไว้ เมื่ออุตสหากรรมภาพยนตร์จีนไม่ได้แข็งแกร่งเพียงพอจึงต้องพึ่งพาภาพยนตร์ต่างประเทศโดยเฉพาะจาก Hollywood เป็นตัวช่วยหลักในการหารายได้ แม้จะต้องเผชิญกับการควบคุมจากคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติจีน ที่กำหนดจำนวนภาพยนตร์ต่างประเทศเอาไว้ที่ 34 เรื่องต่อปี และต้องเข้ารับการสอบเนื้อหาอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้รับอนุญาตในการเข้าฉายในประเทศจีนด้วย
ส่วนแบ่งและรายได้ปัจจุบันของหนัง Hollywood ในจีนคือเท่าไหร่ เทียบกับสมัยก่อน
ช่วงก่อน COVID ภาพยนตร์ Hollywood ทำรายได้ในประเทศจีนประมาณ 3 พันล้านเหรียญต่อปี และมีสัดส่วน Market Share มากกว่า 30% ขึ้นไป
แต่หลังจาก COVID เป็นต้นมา ความไม่ไว้วางใจระหว่าง 2 ประเทศมีมากขึ้น ทางคณะกรรมการภาพยนตร์แห่งชาติจีนเริ่มเข้มงวดกับการอนุญาตภาพยนตร์ Hollywood ทำให้เข้าฉายในจีนได้ยากขึ้น มีการปรับช่วงเวลา Blackout (ห้ามภาพยนตร์ต่างชาติเข้าฉายในช่วงตรุษจีน, วันแรงงาน, กลางหน้าร้อน และวันชาติ) นานขึ้น ประกอบกับการกดดันต่างๆทำให้ภาพยนตร์ Hollywood ในประเทศจีนลดความสำคัญลง โดยมีสัดส่วนเพียง 10-20% ในช่วงปี 2021-2024
โดยที่สตูดิโอผู้สร้างใน Hollywood นั้นปรับตัวกับการที่ไม่มีรายได้จากตลาดจีนมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เมื่อมองไปยังหนังจีนเองก็พบว่า หนังจีนนั้นโตไม่ทันกับความต้องการของโรงหนัง โดยที่ภาพยนตร์จีนทำรายได้ในประเทศรวมกันสูงสุดในปี 2022 และ 2023 ผ่านหนังอย่าง The Battle of Lake Changjin II, Moon Man, Too Cool to Kill, Full River Red, The Wandering Earth 2, No More Bets, Lost in the Star, Creation of the Gods, Never Say Never, Boonie Bears
โดยที่ในปี 2021 และ 2022 ตลาด Box Office ในประเทศจีนสามารถทำรายได้รวมแซงหน้า Box Office ในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ฟื้นตัวจาก COVID ได้เป็นครั้งแรกอีกด้วย
ทว่าตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมาตลาด Box Office ในประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มคืนชีพอย่างเต็มที่ผ่านภาพยนตร์ฮิตๆ เช่น Avatar: The Way of Water, Barbie, The Super Mario Bros. Movie, Spider-Man: Across the Spider-Verse, Gurdians of the Galaxy Vol.3, Oppenheimer, Inside Out 2, Deadpool & Wolverine, Wicked, Moana 2, Beetlejuice Beetlejuice, Dune: Part Two ซึ่งล้วนแล้วแต่ดึงดูดชาวอเมริกันให้ออกมาดูหนังในโรงกันแทบเป็นปกติ
สถานการณ์ Box Office ภายในประเทศของจีนและอเมริกาเป็นอย่างไรกันแน่?
ในขณะที่ Box Office ของจีนนั้นกลับเริ่มขาดแคลนหนังทำเงิน โดยในปี 2024 รายได้รวม Box Office ในประเทศจีนลดลงเหลือ 5.82 พันล้านเหรียญ แต่ของอเมริกาพุ่งไปถึง 8.56 พันล้านเหรียญ หรือรายได้ Box Office ในจีนที่เคยแซงหน้าอเมริกาไปในปี 2021, 2022 แค่ปีที่แล้วเหลือแค่ 68% ของ Box Office อเมริกาเท่านั้น
ส่วนแบ่งรายได้ของ Hollywood จากการฉายในจีนคือ 25% ที่เหลืออีก 75% คือเงินหมุนเวียนในธุรกิจภาพยนตร์จีน
ยิ่งเมื่อมาดูส่วนแบ่งรายได้ ที่ตามสัญญาในประเทศจีนหนัง Hollywood จะได้เงินกลับบ้านเพียง 25% ของรายได้หนัง ในขณะที่อีก 75% คือรายได้ที่หมุนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ของจีนและผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่นในประเทศจีนแล้ว ก็เท่ากับว่ารายได้หนัง Hollywood ในจีนปี 2024 = 1.2 พันล้านเหรียญนั้น จะเป็นเงินกลับสู่อเมริกาเพียง 300 ล้านเหรียญ (เท่ากับรายได้ของ A Minecraft Movie ในอเมริกาตลาดเดียว ณ เวลาปัจจุบันเท่านั้น) แต่เป็นเงินหมุนเวียนภายในประเทศจีนสูงถึง 900 ล้านเหรียญ
หากทางการจีนแบนหนัง Hollywood ก็เท่ากับว่าอเมริกาจะเสียผลประโยชน์ 300 ล้านเหรียญ แต่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของจีนเองกลับจะสูญเสียถึงเกือบ 1 พันล้านเหรียญ ที่จะไปหล่อเลี้ยงธุรกิจโรงหนังจำนวนมหาศาลเกือบ 1 แสนโรง แล้วจะสามารถหาภาพยนตร์ที่มีศักยภาพจะทำรายได้เยอะมาเลี้ยงธุรกิจได้เพียงพอจากไหนมาทดแทนได้
2025 & Beyond
ปีนี้อุตสาหกรรมโรงหนังในจีนอาจไม่ได้แย่มากเพราะจีนมีหนังปรากฎการณ์ 2 พันล้านเหรียญอย่าง Ne Zha 2 มาทำรายได้ช่วยพยุงไว้ แต่คำว่าปรากฎการณ์มันก็หมายความว่านานๆมันถึงจะมีซักครั้งไม่ได้มีกันบ่อยๆทุกปี ในขณะที่ฝั่งอเมริกาที่มี A Minecraft Movie ที่ทำรายได้ในประเทศได้เกือบๆ 400 ล้านเหรียญแน่ๆมาเบิกโรงไว้แล้ว แถมยังมีอาวุธหนักอย่าง MI: 8.2, Lilo & Stitch, Karate Kid: Legends, How to Train Your Dragon, F1, Jurassic World: Rebirth, Superman, F4, The Bad Guys 2, The Conjuring 4, Michael, Now You See Me 3, Wicked: For Good, Zootopia 2, Five Nights at Freddy's 2, Avatar: Fire and Ash, The SpongeBob Movie รออยู่อีก (ไม่นับเรื่องรองๆอีกเป็น 10) ยังไงๆ Hollywood และอเมริกาก็ไม่ได้กลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจุบันนี้จีนกลายเป็นตลาดที่เล็กกว่า UK, Mexico ไปแล้ว และยิ่งตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาเองฟื้นได้มากเท่าไหร่ก็หมายความว่ารายได้จากต่างประเทศ (ประเทศอื่นๆนอกเหนือจากจีน) จะยิ่งฟื้นตัวได้ดีเช่นกันมากขึ้นเท่านั้น เพราะกระแสของหนัง Hollywood มันย่อมเริ่มมาจากอเมริกาก่อนเสมอ
หลังจากปีนี้ไปทาง Hollywood ก็ยังมี Project ใหม่ๆเตรียมมาดูดเงินชาวโลกอีกเป็นพรวน ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไปทั้ง Scream 7, The Cat in the Hat, The Last Airbender, The Exorcist Reboot, The Super Mario Bros. Movie 2, Mummy, Avengers: Doomsday, The Mandalorian & Grogu, Master of the Universe (He-Man), Toy Story 5, Supergirl, Minions 3, Moana (Live-Action), The Odyssey, Spider-Man: Brand New Day, Resident Evil, The Hunger Game: Sunrise on the Reaping, Jumanji ภาคต่อ, Ice Age 6, Shrek 5, Sonic the Hedgehog 4, Godzilla x Kong ภาคต่อ, The Legend of Zelda, Avengers: Secret Wars, Star Wars: Starfighter, Spider-Man: Beyond Spider-Verse, How to Train Your Dragon 2, Frozen III, The Batman - Part II
ในขณะที่ของจีนไหนดูซิ The Wandering Earth 3, Boonie Bears ภาคใหม่, White Snake 3, Detective Chinatown 4, Creation of the Gods III, Full Spectrum Barrage Jamming, With Her Eyes, The Three-Body Problem ไหวมั้ยนี่กับโรงหนังเกือบแสนโรงเลยนะ แถมขายต่างประเทศไม่ออกด้วย
Hollywood เลิกสนใจจีนไปนานแล้ว
ในปัจจุบันภาพยนตร์ Hollywood ไม่มีการถ่ายทำในประเทศจีนมาตั้งแต่หลัง COVID หรือปี 2021 เป็นมา รวมทั้งนักแสดง และบทเอาใจจีนก็หายไปหมดแล้ว ถ้าสังเกตดูในระยะหลัง แม้กระทั่ง Production House ใน Hollywood ที่ฝั่งจีนมีอิทธิพลมากที่สุดคือ Legendary Entertainment (A Minecraft Movie, Dune, Godzilla, Kong, Jurassic World, Pacific Rim, 300, The Hangover etc.) ที่เคยมี Wanda Group ถือหุ้นใหญ่ ตอนนี้ก็ถูกซื้อคืนจน Wanda ไม่เหลือหุ้นเลยอีกต่อไปแล้ว หนังที่เคยทำออกมาขายคนจีนตรงๆเป็นหลักอย่าง Transformers: Age of Extinction, The Great Wall, The Meg ก็แทบจะหายไปไม่เหลือหลอ เรื่องสุดท้ายที่เห็นคือ Meg 2: The Trench
แม้กระทั่ง Joy Ride (2023) ที่เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับการเดินทางในประเทศจีน ยังไม่ไปถ่ายทำในจีนเลยไปถ่ายที่ Vancouver แทน คิดดูก็แล้วกัน
ส่วนด้านรายได้ นอกจากส่วนแบ่งรายได้ในจีน (25%) จะต่ำกว่าส่วนแบ่งในตลาดต่างประเทศอื่นๆ (40%) แล้ว ปี 2024 เอาแค่ Box Office รวมของตลาดจีนก็ร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 3 ของตลาดประเทศของหนัง Hollywood แล้วต่อจาก UK และญี่ปุ่น ยังไม่นับตลาดอีกหลายแห่งที่กำลังเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วทั้งเกาหลีใต้, Mexico, Brazil, India, Saudi Arabia ซึ่งทาง Hollywood กำลังสนใจตลาดพวกนี้มากกว่าเยอะ