ต้นเหตุมาจาก เรื่องส่วนตัวของเรา (เรา ที่หมายถึง สามีกับภรรยา) ทำให้มีคนรมาใส่ใจกับเรื่อง ความเป็นอยู่ หน้าที่การงาน ของผู้เป็นภรรยา
โดย มีจุดเริ่มต้นจากความหวังดีจากแม่สามี ที่มีความหวังดี อยากหางานดีๆ (งานราชการ) ให้คนเป็นภรรยา โดยผู้เป็นแม่สามีไม่ได้รู้ว่าทางบ้านของภรรยาได้ให้ตัวภรรยารับช่วงต่อทำธุรกิจของครอบครัว (ร้านขายยาและการให้เช่าอสังหา) และนั้นก็คือต้นเหตุของความใส่ใจจาก ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นญาติสนิทของบ้านสามี
ความใส่ใจที่เกิดขึ้น มีหลายประโยคมาก แต่ที่เจ็บๆ คือ ประโยคคำพูดที่ว่า
1. งานราชการ คือ เป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว แถมทำให้มีสังคมมีเพื่อน
2. เรา (หมายถึง ตัวภรรยา) โตจนมีครอบครัวแล้วต้องเลือกงานที่มั่นคง เพื่อสร้างครอบครัวสิ แล้วทำธุรกิจที่บ้านจะพอเลี้ยงหรอ?
3. บ้านเรา (หมายถึง ตัวภรรยา) อยู่ทาง บ้านสามีอยู่ทาง แล้วจะมีเวลามาดูแลสามีหรอ? ถ้าเกิดมีลูก ไม่ต้องนั่งรถอุ้มท้องมาหาสามีหรอ?
4. คนที่เลี้ยงเรา (หมายถึง ตัวภรรยา) มาตั้งแต่เล็ก เค้าไม่ใช่พ่อแม่จะมามีอำนาจสั่งให้เราทำอะไรๆได้ยังไง
ประโยคนี้ เราเลยตอบไปว่า พ่อแม่เราเสียชีวิตไปตั้งแต่เราเล็กๆแล้ว เพราะงั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เค้าก็ต้องอยากให้เราดูแลเค้าตอนอายุมากๆ ทำให้เป็นสาเหตุที่เราไม่สามารถย้ายมาอยู่บ้านสามีได้
5. แล้วถ้าสามีแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็จะมาว่าไม่ได้นะ เพราะไม่ย้ายมาอยุ่ที่นี้เอง
ทั้ง 5 ประโยคนี้เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนที่เรียกว่า เป็นญาติสนิท ขอให้เหตุการณ์ที่เราเล่ามานั้นเป็นตัวอย่าง ที่อย่าไปทำแบบนี้กับใคร เพราะคำพูดที่ออกมา คนพูดอาจจะไม่คิดอะไร แต่ก็ควรใช้คำพูดที่ถนอมน้ำใจกันมากกว่านี้ อย่าคิดว่าเป็นการผู้ใหญ่แล้วจะพูดอะไรที่คิดได้ นึกถึงใจเค้าใจเราบ้าง
และที่ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พูดไม่มาขอโทษอะไรเราเลยมีแต่ญาติสนิดของบ้านสามีอีกคน ส่งข้อความมาข้อโทษแทน และก็มีแม่สามีก็มาขอโทษแทนคนที่พูด
ความรู้สึกที่เกิดในวันนัน ทำให้เรามอง 2 คนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกเลย ด้วยประโยคคำพูด+น้ำเสียง+ท่าทาง ของทั้ง 2 คน
แต่ก็ทำให้รู้ว่าก็ยังมีคนรอบข้างที่ยังรับรู้ได้ว่า เหตุการณ์นี้มันส่งผลต่อจิตใจเรา
ปากปาใส น้ําใจเชือดคอ...หรือป่าว
โดย มีจุดเริ่มต้นจากความหวังดีจากแม่สามี ที่มีความหวังดี อยากหางานดีๆ (งานราชการ) ให้คนเป็นภรรยา โดยผู้เป็นแม่สามีไม่ได้รู้ว่าทางบ้านของภรรยาได้ให้ตัวภรรยารับช่วงต่อทำธุรกิจของครอบครัว (ร้านขายยาและการให้เช่าอสังหา) และนั้นก็คือต้นเหตุของความใส่ใจจาก ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเป็นญาติสนิทของบ้านสามี
ความใส่ใจที่เกิดขึ้น มีหลายประโยคมาก แต่ที่เจ็บๆ คือ ประโยคคำพูดที่ว่า
1. งานราชการ คือ เป็นหน้าเป็นตาให้กับครอบครัว แถมทำให้มีสังคมมีเพื่อน
2. เรา (หมายถึง ตัวภรรยา) โตจนมีครอบครัวแล้วต้องเลือกงานที่มั่นคง เพื่อสร้างครอบครัวสิ แล้วทำธุรกิจที่บ้านจะพอเลี้ยงหรอ?
3. บ้านเรา (หมายถึง ตัวภรรยา) อยู่ทาง บ้านสามีอยู่ทาง แล้วจะมีเวลามาดูแลสามีหรอ? ถ้าเกิดมีลูก ไม่ต้องนั่งรถอุ้มท้องมาหาสามีหรอ?
4. คนที่เลี้ยงเรา (หมายถึง ตัวภรรยา) มาตั้งแต่เล็ก เค้าไม่ใช่พ่อแม่จะมามีอำนาจสั่งให้เราทำอะไรๆได้ยังไง
ประโยคนี้ เราเลยตอบไปว่า พ่อแม่เราเสียชีวิตไปตั้งแต่เราเล็กๆแล้ว เพราะงั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เค้าก็ต้องอยากให้เราดูแลเค้าตอนอายุมากๆ ทำให้เป็นสาเหตุที่เราไม่สามารถย้ายมาอยู่บ้านสามีได้
5. แล้วถ้าสามีแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยก็จะมาว่าไม่ได้นะ เพราะไม่ย้ายมาอยุ่ที่นี้เอง
ทั้ง 5 ประโยคนี้เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนที่เรียกว่า เป็นญาติสนิท ขอให้เหตุการณ์ที่เราเล่ามานั้นเป็นตัวอย่าง ที่อย่าไปทำแบบนี้กับใคร เพราะคำพูดที่ออกมา คนพูดอาจจะไม่คิดอะไร แต่ก็ควรใช้คำพูดที่ถนอมน้ำใจกันมากกว่านี้ อย่าคิดว่าเป็นการผู้ใหญ่แล้วจะพูดอะไรที่คิดได้ นึกถึงใจเค้าใจเราบ้าง
และที่ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พูดไม่มาขอโทษอะไรเราเลยมีแต่ญาติสนิดของบ้านสามีอีกคน ส่งข้อความมาข้อโทษแทน และก็มีแม่สามีก็มาขอโทษแทนคนที่พูด
ความรู้สึกที่เกิดในวันนัน ทำให้เรามอง 2 คนนั้นไม่เหมือนเดิมอีกเลย ด้วยประโยคคำพูด+น้ำเสียง+ท่าทาง ของทั้ง 2 คน
แต่ก็ทำให้รู้ว่าก็ยังมีคนรอบข้างที่ยังรับรู้ได้ว่า เหตุการณ์นี้มันส่งผลต่อจิตใจเรา