สูญสิ้นความเป็น"ฅน"

🌹Onec Upon a Time in "My Self"🥀

"สูญเสียตัวตน"😶‍🌫️🫥🫥😶‍🌫️🫥🫥😶‍🌫️
......ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า"สวัสดี"
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆสมาชิก"พันทิป"ทุกๆท่านที่อาจจะเผลอผ่านมาหรือหลงมาเห็นกระทู้นี้โดยด้วยความบังเอิญ,ความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่ และต้องขอกล่าว"ขอบคุณ"สำหรับทุกท่านที่สามารถ
"อดทน" และ "อ่าน"กระทู้นี้ได้จนจบหรือไม่จบก็สุดแล้วแต่ครับ ขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ

ลงชื่อ

🥀🖤" WACHiRAWUT.S "🖤🥀
................................................................................................................
(แรงบรรดาลใจในการอ่านหนังสือของผมคือ
"เดวิด หนีสุดชีวิต" เขียนโดย Anne Holm)
................................................................................................................

- ๑.จุดเริ่มต้น
......สวัสดีครับสมาชิกชาว"พันทิป"ทุกๆท่าน
อย่างแรกผมต้องขอบอกทุกคนก่อนเลยว่า ตัวผมเองนั้นตั้งใจที่จะสร้างกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการ"สนอง"ความต้องการของผมเอง
ที่ต้องการที่จะบันทึก"ประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน"
ผมเองเพียงแค่ต้องการที่จะเล่าเรื่องทุกอย่างไว้เป็นกรณีศึกษา,อุทาหรณ์ และ ใดๆก็ตามแต่ และผมเพียงอยากเล่าเรื่อง
ในมุมมองของผมเพียงเท่านั้นเองครับ
ถูกหรือผิดประการใดผมเองต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง
และที่ลืมไม่ได้เลยคือผมต้องกล่าว"ขออภัย"ต่อบุคคลและสถานที่
ที่ผมอาจจะมีการกล่าวถึง
*(ทั้งนี้จะพยามเลี่ยงการเอ่ยชื่อบุคคลและสถานที่ให้เหมาะสมมากที่สุด)
......เอาล่ะ!!!✌️✌️✌️เรามาเริ่มเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ☺️
ในตอนแรกผมเองตั้งใจที่จะสมัครไอดีพันทิปและตั้งใจที่จะ
เริ่มเขียนกระทู้อะไรสักอย่างนึง......ที่จะเล่าเรื่องของตัวผมเอง🙋
ซึ่งผมก็ได้เริ่มสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็จำไม่ได้แล้ว แต่ที่จำได้คือ
ผมได้ "เกริ่น" บทความทิ้งไว้แบบลวกๆและก็หยุดทำไปเอาดื้อๆ😅
แล้วผมก็ไม่ได้เข้ามาเขียนอะไรเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้นเพราะผมไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจอ่านบทความอะไรแบบนี้หรอก🤔🤔🤔
ผมเลยปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไปและไม่สนใจมันอีกเพราะคิดว่าจะกลับมาทำเมื่อไหร่ก็ได้......แต่แล้วก็มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น......⁉️
................................................................................................................
เมื่อจู่ๆผมก็ดันอยากจะเข้ามาอ่านสิ่งที่พิมพ์ทิ้งค้างไว้เพียงเท่านั้น
แล้วกะว่าจะลบบทความนี้ทิ้งไปเฉยๆแต่แล้วผมก็ได้เห็นการแจ้งเตือนกระทู้นี้เด้งขึ้นมา และก็......‼️ใช่ครับ‼️ มีคนเข้ามาอ่านกระทู้นี้
และแสดงความคิดเห็นทั้งๆที่มันยังไม่จบและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้แถมไม่รู้ว่าจะมีต่อไหมด้วยซ้ำ🫠
แต่ทุกคนเชื่อไหมครับ......เพราะว่ามีความคิดเห็นของสมาชิกท่านนั้น
แหละครับ🤗มันเลยทำให้ผมรู้สึกมีไฟ🔥ที่จะกลับมาจัดการกับสิ่งที่ผมได้เริ่มไว้ให้จบหรือไม่ก็ทำให้ได้เนื้อหามากที่สุด......โดยผมตั้งใจไว้ว่าหากผมมีเวลาที่จะทำกระทู้นี้เรื่อยๆโดยอาจจะมีการมาต่อเติมเรื่องราวและแบ่งปันเรื่องเล่าต่างๆให้สมาชิกทุกท่านได้ทราบกันครับ
เราสามารถที่จะ🗣️พูดคุยกันและแชร์ประสบการณ์
ให้กันและกันได้ครับ ทั้งในฐานะ"เพื่อนร่วมโลกสีเทาๆใบนี้"
และผมก็หวังว่ากระทู้นี้จะเป็น👉"พื้นที่ปลอดภัย"👈ให้แก่สมาชิก
ทุกท่านสามารถคุยแบบเปิดอก,เปิดใจ และรับฟังซึ่งกันและกันโดยใช้สติ,วิจารณญาณ และให้เกียรติกันและมีความสุภาพต่อกันด้วยนะครับ🙇🙇🙇
................................................................................................................
📌📌📌ปล.เราควรมีความเคารพต่อความคิดเห็นและคำตอบของแต่ละบุคคลด้วยนะครับ📌📌📌
แนะนำกันได้ช่วยเหลือกันได้นะครับตามแต่อัธยาศัย
แต่ไม่ควรที่จะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกันจนเกินความจำเป็น
ซึ่งอาจเป็นเหตุทำให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิดกันเองและอาจจะหาทางออกไม่ได้ตามที่ควร ผมจึงอยากรบกวนทุกๆท่าน
พยามอย่าใช้อารมณ์และความรุนแรงมากกว่าเหตุผลนะครับ
และผมขอให้โลกสีเทาๆใบนี้ช่วยใจดีกับทุกๆคนที่ใช้อากาศห่วยๆหายใจเพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นปกติสุขด้วยนะครับ🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤🖤
................................................................................................................
**(หยาบได้นะครับ☺️แต่ขำๆแล้วกันเนาะ
จะได้ไม่เครียดเกินไประหว่างอ่านบทความในกระทู้นี้)**🫡🫡🫡
--------------------------------------------------------

......ผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่า"จุดเริ่มต้นของทุกๆอย่าง"
นั้นมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนไหน หรือว่า จริงๆแล้วผมอาจจะจำได้
แต่แค่ "พยามที่จะลืมๆมันไปให้หมดกันแน่?!!" เอาเป็นอย่างนี้แล้วกันครับ ผมจะเริ่มต้นด้วยการที่ตัวผมมีบางอย่างที่อาจจะต้องแจ้งให้สมาชิกที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ได้รับทราบไว้เช่นเดียวกันว่า
ตัวผมนั้น"ป่วย"เป็น
......"โรคซึมเศร้า"......
ใช่แล้วครับ โรคที่หลายๆคนอาจจะคิดว่า
"อะไรๆก็ซึมเศร้า,อ้างแต่ว่าซึมเศร้า,เอะอะ อะไรๆก็ซึมเศร้า"
................................................................................................................
ด้วยอาการป่วยนั้นแหละครับที่ผมเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน......
แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นตัวผมเองก็ได้เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วทาง"จิตเวช"
มาได้แล้วเป็นเวลาน่าจะประมาณเกือบสองปี
(ประมาณเวลาตั้งแต่เริ่มเข้ารับการรักษา) แล้วปัจจุบันนี้ผมเองก็ยังต้องทานยาอย่างต่อเนื่องและนัดพบแพทย์ทุกๆหนึ่งถึงสองเดือนต่อครั้งและพบแพทย์เฉพาะทางตามนัด ซึ่งผมบอกได้เลยว่าตั้งแต่ผมเข้ารับการรักษาจนถึงปัจจุบันนั้น อาการหลายๆอย่างที่ผม(เคย)เป็น ดีขึ้นเรื่อยๆและค่อนข้างไปในทางที่ดี ผมให้คะแนนตัวเองสัก"เจ็ด"เต็ม"สิบ"......
แต่ก็นั้นแหละครับ ตอนนี้ผมรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่
แน่นอน แม้แต่เรื่อง"กระทู้"นี้ผมก็รู้ตัวว่ากำลังทำอยู่เช่นกัน......
......เรามาเดินทางย้อนเวลากลับไปเมื่อสักประมาณสิบกว่าปีก่อนกันดีกว่าครับ ที่จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดอาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้นก็เป็นได้ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ผมมีครอบครัวที่ค่อนข้างอบอุ่นและมีความสุขในระดับนึง ผมมีคุณแม่ที่คอยเลี้ยงผมและน้องสาว ผมมีคุณพ่อที่มีหน้าที่การงานที่ดี เท่าที่จำได้พ่อผมทำงานออกแบบเกี่ยวกับเครื่องจักรกลไกการทำงานหรือไม่ก็เขียนโค๊ดให้เครื่องจักรต่างๆ
ซึ่งได้รายได้ไม่น้อยเลยแหละครับ
(ไม่แน่ใจว่าจำนวนเท่าไหร่แต่อยู่ประมาณหลักหมื่นบวกๆ)

ด้วยเหตุผลนี้คุณพ่อผมจึงเป็นเฉกเช่นเสาหลักของบ้านเรา......
และใช่ครับผมมีน้องสาวที่น่ารักอีกหนึ่งคนที่ถูกเลี้ยงมาด้วยครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นครอบครัวนี้......
ผมและน้องสาวได้เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งตั้งแต่ชั้นอนุบาล และด้วยความทะเยอทะยานของคนเป็นแม่และความอดดทนอดกลั้นในการทำงานของคนเป็นพ่อที่อยากให้ลูกทั้งสองได้เรียนโรงเรียนที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ตามที่ผมเข้าใจในห้วงเวลานั้น คือ พ่อและแม่ของเราพยามทำงานเลี้ยงดูเราสองคนอย่างหนักเพื่อให้บ้านเรามีครบทุกอย่างเหมือนบ้านอื่นเขามีกันจากนั้นเราสองพี่น้องก็ได้ย้ายเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านที่บ้านเราอยู่
และใช่ครับบ้านเรามีความสุขมากจากที่เราเคยอาศัยในคอนโดแห่งนึงในเมืองหลวงแห่งนี้ ที่ๆมีความทรงจำในช่วงเวลาที่ผมและน้องยังเป็นเด็กที่กำลังจะเติบโตเข้าสู่ระดับประถมศึกษา......
--------------------------------------------------------
และแล้ววันหนึ่งบ้านเราก็ได้ย้ายจากคอนโดไปอาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวสองชั้นมีลานหน้าบ้านไว้ให้แม่ใช้ให้ผมกับน้องสาวคอยดายหญ้า,
นั่งเล่น,ปลูกต้นไม้ และเป็นที่สังสรรค์ของพวกผู้ใหญ่หลังจากทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แน่นอนครับ ผมได้ซึมซับพฤติกรรมต่างๆของผู้ใหญ่แต่ละท่านที่วนเวียนมากินเลี้ยงสังสรรค์กันบ่อยครั้ง
และแน่นอนเป็นอย่างที่ทุกคนคิดครับ ด้วยความที่เป็นวัยที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นและช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมจดจำพฤติกรรมทุกอย่าง ของทุกๆคน
ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ทะเลาะกันเวลาเมา(บางครั้งทั้งสองมีทำร้ายร่างกายกันและกัน),คำพูดหยาบๆ,พฤติกรรมส่อไปทางเพศ
แต่ก็นะ......ข้อดีของการที่เห็นคนเมาแล้วคุยกันสำหรับผม
มันช่างเพลินเสียเหลือเกิน ฮา ฮ่า ๆ
เคยมีคนพูดไว้ว่า" พ่อผมเมื่อเริ่มกรึ่มๆและด้วยฤทธิ์ของน้ำสีเหลืองทองละอองฟองสีขาวนุ่มนวลเริ่มสำแดงผล มันจะทำให้พ่อผมหยิบยกเรื่องความรู้รอบตัวต่างๆขึ้นมาพูดเริ่มจากไม้จิ้มฟันและไปจบอยู่บนดาวอังคารได้ " นั้นแหละครับมันถึงสนุก
และพ่อผมค่อนข้างมีฝีไม้ลายมือในงานศิลปะต่างๆ ผมเคยเห็น
แฟ้มผลงานของพ่อผมเองกับตาเมื่อตอนนั้น
ยังจำได้เลยครับว่าผมทึ่งในพรสวรรค์ที่พ่อมีมากๆ
"พ่อสามารถทำให้กระดาษเอสี่สีขาวความหนาแปดสิบแกรมที่บางรองรับแรงกดจากดินสอไม้สองบีที่ร่างเส้นลงแบบบางเฉียบแต่คมชัดและหนักแน่น สีไม้ที่ละเลงลงไปบวกกับเส้นตัดจากปากกาสีดำที่คมกริบราวกับใบมีด มันน่าเหลือเชื่อน่าหลงไหลและทำให้ผมต้องจดจ้องกับผลงานที่น่าทึ่งเหล่านั้น"
น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถที่จะหาภาพประกอบมาได้อย่างที่ควร
จะเป็น พ่อผมมีผลงานชิ้นนึงที่สะดุดตาและจุดประกายความเป็นศิลปินในตัวของผมเลยก็ว่าได้ ผลงานชิ้นนั้นชื่อว่า " E = MC2 " (ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์) งานชิ้นนั้นยังติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้...

ส่วนข้อดีอีกอย่างของการที่ผู้ใหญ่ทุกๆคนเมากันนั้น
สำหรับเด็กๆวัยอย่างพวกผมสิ่งที่พอจะทำได้นั้น
คิดว่าอาจจะพอมีคนเดาถูก...ใช่ครับ
คนเมาจะคุยง่ายและถ้าลูกๆเด็กๆอ้อนขอของนั้นนี่ก็จะได้มาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะของเล่นหรือไม่ก็ขนมอร่อยๆ รวมถึงพาไป
สวนสนุกตามห้างต่างๆ แค่เพียงลูกๆเด็กๆทุกคนร่วมมือกันขออนุญาต
และช่วยกันเอ่ยปากขอพร และพรนั้นที่ขอกับผู้ใหญ่ใจดีก็จะสัมฤทธิ์ผลได้โดยง่ายๆ และ ใช่ครับ บ้านผมเป็นแบบนี้ เท่าที่ผมจำความได้นะครับ
อย่างเดียวที่ได้โดยไม่ต้องออกปากออกเสียงคือ"เงิน" แต่มันไม่ได้มากมายขนาดนั้นนะครับ เต็มที่ก็ไม่เกินหนึ่งร้อยถึงสองร้อยเท่านั้น
ไม่ก็บางทีจะได้เป็นของเล่นหรือไม่ก็ขนม เพื่อนๆของพ่อและแม่
จะเอามาให้บ้าง,ซื้อมาฝาก (ไม่ก็ให้เงินไปซื้อของชิ้นนั้นๆ)
ทั้งผมและน้องสาวได้เกือบทุกอย่างที่อยากได้ จะบอกว่าพ่อแม่ผมตามใจจนเสียนิสัยก็ไม่ผิดนะครับ
แต่ตอนนั้นผมคิดว่าทั้งสองคนคงอยากให้ลูกๆมีทุกอย่างเหมือนกับคนอื่นๆเขา......
ครอบครัวเราก็ใช้ชีวิตในแบบของเราปกติ
***(เพิ่มเติมคำว่า"บ้าน"หลังจากนี้จะใช้เป็นคำแทนบุคคลทุกคนใน"บ้าน" เช่น น้า,ป้า,อา,ลุง,พี่,เพื่อน,น้อง,ครอบครัวเพื่อนแม่)***
................................................................................................................

-๒.ความสุขและความสัมพันธ์ (?)
......บ้านเราจะรวมตัวกันแทบจะทุกสัปดาห์สุดท้ายของเดือน
เพื่อไปเที่ยวต่างจังหวัดและสถานที่ต่างๆ บางเดือนก็เหมาเรือออกไปกลางทะเล เพื่อเล่นน้ำกันกลางทะเล มีกิจกรรมตกปลา,ตกหมึก,
ทำอาหารกินกันบนเรือท่ามกลางน้ำทะเลที่นิ่งสงบเสียจนน่ากลัวลึกลับแต่ก็น่าสนุกในเวลาเดียวกัน พวกเราเด็กๆต่างพากันวิ่งเล่นกันบนเรืออย่างสนุกสนาน หรืออีกอย่างที่บ้านเราทำบ่อยก็คือการไปแคมป์ปิ้งตามอุทยานต่างๆ เราจะสนุกกันมากเวลาที่ได้ช่วยกันกางเต้นท์,
ทำอาหาร เด็กๆบ้านเราต่างก็สนุกสนานกันในวัยของเรา เด็กหญิงก็จะนั่งเล่นทำอาหารไม่ก็เล่นน้ำตามประสา ส่วนเด็กชายอย่างพวกผม...
ถูกต้องแล้วครับ เราได้พากันริเริ่มทำในสิ่งที่เด็กอายุอย่างพวกเรายังไม่ควรทำ ใช่ครับ...คุณเดาถูกอีกแล้วนะครับ พวกเราบางคนเริ่มหยิบน้ำสีเหลืองทองที่มาในรูปแบบกระป๋องที่คุ้นตา ที่พวกเราแอบซื้อกันมาก่อนหน้าจากร้านชำร้านนึง มีหนึ่งในพวกเราหยิบ มวนทำลายปอดและจุดไฟพรางพูดคุยกันเรื่องทะลึ่งตึงตังตามประสาเด็กชายอย่างพวกเราพวกเราทั้งหมดรักกันเหมือนพี่น้อง ถึงแม้เราบางคนไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ในตอนนั้นเราทุกคนสนุกกันมากๆ และ เราทุกคนเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากๆ นั่นเป็นสิ่งๆหนึ่งที่ผมนึกถึงทีไร ก็จะคิดถึงทุกๆคนมากๆ...แต่นั้นแหละครับ...ตอนนี้ทุกอย่างมันได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง...
-----------------------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่