บทที่ 30: เงาสะท้อนในสายหมอก
เช้าวันถัดมา…แสงอ่อนของอรุณแรกทะลุม่านบางเข้ามาในห้องของเอกภพ เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างหน้าต่าง มีหนังสือพิมพ์วางกางอยู่บนตัก ดวงตาเขาหยุดลงตรงพาดหัวข่าวขนาดใหญ่บริเวณหน้าหนึ่ง
“พบศพนายตำรวจหนุ่มจมน้ำเสียชีวิตปริศนา ใกล้โรงเก็บเรือร้างท้ายคลองลาดป่าไม้”
— ผู้เสียชีวิตคือหมวดวิสุทธิ์ ธำรงธารา เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หน่วยปราบปรามยาเสพติด
เอกภพหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาใต้ขนคิ้วเข้มคล้ายสั่นไหวเล็กน้อย
“ฉันเตือนนายแล้วเพื่อน…” เขาพึมพำแผ่วเบา “นายไม่มีทางรู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร”
เขาเก็บหนังสือพิมพ์ พาตัวเองออกจากบ้านสู่ปลายทางที่ไม่มีใครอยากไป — จุดเกิดเหตุ
…
โรงเก็บเรือร้างท้ายคลองลาดป่าไม้เงียบงัน ราวกับความตายยังไม่จางไปจากบรรยากาศ กลิ่นโคลนเปียกโชยมากับลม สายตาของเอกภพมองเห็นเชือกเส้นหนึ่งถูกรั้งไว้อย่างหย่อนคลายกับท่อนไม้ เส้นเชือกนั้นมีรอยขาดเป็นเสี้ยวเล็กๆ
เขาก้มดูรอยลากของรองเท้าบนพื้นโคลน มีลักษณะเหมือนมีการต่อสู้ — สั้นแต่รุนแรง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบเศษกระดาษแผ่นเล็กขาดวิ่นที่แทรกอยู่ในโพรงไม้เก่า กลิ่นไอหมึกยังพอหลงเหลือ
“…ฉันรู้เรื่องที่คุณทำกับอรสา ถ้าคุณไม่อยากให้ใครรู้อีก เตรียมเงินมาให้ผม…”
— ลายมือหยาบๆ แต่คุ้นตา
เอกภพขมวดคิ้ว เขาพับกระดาษนั้นเก็บลงในกระเป๋า สูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังกลับ เสียงนกกาโครมครามอยู่ไกลลิบ คล้ายเป็นสัญญาณเตือนเงียบๆ
เขารู้แล้วว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ และไม่ใช่แค่ “ตำรวจคนหนึ่ง” ที่ตาย…แต่มันคือการปิดปาก
วิสุทธิ์…นายกำลังจะลากพวกเราทุกคนเข้าสู่นรกที่ลึกยิ่งกว่าที่คิด
ขณะที่เอกภพกำลังเดินห่างจากโรงเก็บเรือ เสียงใบไม้แห้งแซะฝ่าเท้าเป็นจังหวะช้าๆ คล้ายบางสิ่งเดินตามหลัง เขาหยุด หันกลับ — ไม่มีใคร
ลมเงียบสงัด แต่ทันใดนั้นเอง…กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาแนบติดหน้าอกเขาอย่างไม่มีที่มาที่ไป
เขาคว้าไว้ มันคือกระดาษเก่าเหลือง มีเพียงลายมือหวัดๆ แผ่วเบาดังเสียงกระซิบ:
“เธอที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้กลับมาจากความตายเพราะเธอไม่เคยตาย”
หัวใจของเขาเต้นโครมคราม นิ้วที่ถือกระดาษสั่นเล็กน้อย สายตาเขาเหลือบไปที่แนวไม้ริมคลอง — มีบางสิ่งเหมือนเงาคน ยืนอยู่ไกลๆ ภายใต้แสงสลัวก่อนจะจางหายราวกับไม่เคยมีอยู่
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นานพอให้เงียบงันกลืนกินทุกเสียง…
พิษสวาท อำพราง บทที่30 เงาสะท้อนในสายหมอก
เช้าวันถัดมา…แสงอ่อนของอรุณแรกทะลุม่านบางเข้ามาในห้องของเอกภพ เขานั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ข้างหน้าต่าง มีหนังสือพิมพ์วางกางอยู่บนตัก ดวงตาเขาหยุดลงตรงพาดหัวข่าวขนาดใหญ่บริเวณหน้าหนึ่ง
“พบศพนายตำรวจหนุ่มจมน้ำเสียชีวิตปริศนา ใกล้โรงเก็บเรือร้างท้ายคลองลาดป่าไม้”
— ผู้เสียชีวิตคือหมวดวิสุทธิ์ ธำรงธารา เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ หน่วยปราบปรามยาเสพติด
เอกภพหลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาใต้ขนคิ้วเข้มคล้ายสั่นไหวเล็กน้อย
“ฉันเตือนนายแล้วเพื่อน…” เขาพึมพำแผ่วเบา “นายไม่มีทางรู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร”
เขาเก็บหนังสือพิมพ์ พาตัวเองออกจากบ้านสู่ปลายทางที่ไม่มีใครอยากไป — จุดเกิดเหตุ
…
โรงเก็บเรือร้างท้ายคลองลาดป่าไม้เงียบงัน ราวกับความตายยังไม่จางไปจากบรรยากาศ กลิ่นโคลนเปียกโชยมากับลม สายตาของเอกภพมองเห็นเชือกเส้นหนึ่งถูกรั้งไว้อย่างหย่อนคลายกับท่อนไม้ เส้นเชือกนั้นมีรอยขาดเป็นเสี้ยวเล็กๆ
เขาก้มดูรอยลากของรองเท้าบนพื้นโคลน มีลักษณะเหมือนมีการต่อสู้ — สั้นแต่รุนแรง เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบเศษกระดาษแผ่นเล็กขาดวิ่นที่แทรกอยู่ในโพรงไม้เก่า กลิ่นไอหมึกยังพอหลงเหลือ
“…ฉันรู้เรื่องที่คุณทำกับอรสา ถ้าคุณไม่อยากให้ใครรู้อีก เตรียมเงินมาให้ผม…”
— ลายมือหยาบๆ แต่คุ้นตา
เอกภพขมวดคิ้ว เขาพับกระดาษนั้นเก็บลงในกระเป๋า สูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้งก่อนจะหันหลังกลับ เสียงนกกาโครมครามอยู่ไกลลิบ คล้ายเป็นสัญญาณเตือนเงียบๆ
เขารู้แล้วว่านี่ไม่ใช่อุบัติเหตุ และไม่ใช่แค่ “ตำรวจคนหนึ่ง” ที่ตาย…แต่มันคือการปิดปาก
วิสุทธิ์…นายกำลังจะลากพวกเราทุกคนเข้าสู่นรกที่ลึกยิ่งกว่าที่คิด
ขณะที่เอกภพกำลังเดินห่างจากโรงเก็บเรือ เสียงใบไม้แห้งแซะฝ่าเท้าเป็นจังหวะช้าๆ คล้ายบางสิ่งเดินตามหลัง เขาหยุด หันกลับ — ไม่มีใคร
ลมเงียบสงัด แต่ทันใดนั้นเอง…กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาแนบติดหน้าอกเขาอย่างไม่มีที่มาที่ไป
เขาคว้าไว้ มันคือกระดาษเก่าเหลือง มีเพียงลายมือหวัดๆ แผ่วเบาดังเสียงกระซิบ:
“เธอที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้กลับมาจากความตายเพราะเธอไม่เคยตาย”
หัวใจของเขาเต้นโครมคราม นิ้วที่ถือกระดาษสั่นเล็กน้อย สายตาเขาเหลือบไปที่แนวไม้ริมคลอง — มีบางสิ่งเหมือนเงาคน ยืนอยู่ไกลๆ ภายใต้แสงสลัวก่อนจะจางหายราวกับไม่เคยมีอยู่
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น นานพอให้เงียบงันกลืนกินทุกเสียง…