นิด้าโพล เผย ผู้สูงอายุ 57% เห็นด้วยขยายเกษียณงานเป็น 65 ปี หวังรัฐช่วยประกันสุขภาพ-พัฒนาทักษะ
https://www.matichon.co.th/local/news_5137906
.
.
นิด้าโพล เผย ผู้สูงอายุ 57% เห็นด้วยขยายเกษียณงานเป็น 65 ปี หวังรัฐช่วยประกันสุขภาพ-พัฒนาทักษะ
.
เมื่อวันที่ 13 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า “นิด้าโพล” ร่วมกับ ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ (Center for Aging Society Research – CASR) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “ผู้สูงอายุไทยอายุ 60 ปี แล้วยังต้องการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพต่ออีกหรือ ?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-5 เมษายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้สูงอายุที่มีต่อการทำงานหลังวัยเกษียณ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample)ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
.
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของผู้สูงอายุและเหตุผลที่มีต่อนโยบายการขยายอายุเกษียณงาน (จากอายุ 60 ปี เป็น 65 ปี) พบว่า ผู้สูงอายุ ร้อยละ 57.71 ระบุว่า เห็นด้วย ในขณะที่ ร้อยละ 42.29 ระบุว่า ไม่เห็นด้วย โดยในจำนวนผู้ที่เห็นด้วยนั้น ร้อยละ 79.50 ให้เหตุผลเพราะว่า สุขภาพยังดี ยังสามารถทำงานสร้างประโยชน์ได้ รองลงมา ร้อยละ 77.12 ระบุว่า มีเวลาทำงานสร้างรายได้ได้ต่อเนื่อง และร้อยละ 36.64 ระบุว่า ช่วยเกื้อกูลลูกหลานได้ ไม่เป็นภาระกับลูกหลาน ส่วนในจำนวนผู้ที่ไม่เห็นด้วยนั้น ร้อยละ 69.86 ให้เหตุผลเพราะว่า ปัญหาสุขภาพ รองลงมา ร้อยละ 37.55 ระบุว่า เสียโอกาสทำในสิ่งที่ตนเองชอบ เนื่องจากยังต้องทำงานต่อ ร้อยละ 33.94 ระบุว่า เวลาในการได้รับสิทธิประโยชน์เงินประกันชราภาพ/เงินบำเหน็จ/เงินบำนาญต้องเลื่อนออกไป และร้อยละ 7.40 ระบุอื่น ๆ เช่น เป็นการลดโอกาสการเข้ามาทำงานของคนรุ่นใหม่
.
ด้านสถานะการทำงานและเหตุผลของการทำงานของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุ ร้อยละ 65.50 ระบุว่า ไม่ได้ทำงาน ในขณะที่ ร้อยละ 34.50 ระบุว่า ทำงาน โดยในจำนวนผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงานนั้น ร้อยละ 50.82 ให้เหตุผลเพราะว่า สุขภาพไม่ดี รองลงมา ร้อยละ 44.29 ระบุว่า ลูกหลานไม่อยากให้ทำงาน ร้อยละ 26.34 ระบุว่า มีเงินออมเพียงพอแล้ว ร้อยละ 14.10 ระบุว่า ไม่ชอบ/เบื่อระบบการทำงานที่เคยทำ และร้อยละ 0.82 ระบุอื่น ๆ เช่น ไม่มีคนจ้างงาน ส่วนในจำนวนผู้สูงอายุที่ทำงานนั้น ร้อยละ 84.29 ให้เหตุผลเพราะว่า ต้องการรายได้ รองลงมา ร้อยละ 70.58 ระบุว่า สุขภาพยังดีอยู่ ร้อยละ 37.39 ระบุว่า เกื้อกูลลูกหลานได้ และร้อยละ 36.06 ระบุว่า ไม่เหงา มีเพื่อนฝูง/คนรู้จัก
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามผู้สูงอายุที่ยังทำงาน (จำนวน 452 หน่วยตัวอย่าง) ถึงเรื่องที่คาดหวังจากรัฐบาลในการช่วยเหลือเกี่ยวกับการทำงาน พบว่า ผู้สูงอายุ ร้อยละ 75.00 ระบุว่า มีระบบประกันสุขภาพที่ผู้สูงอายุสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น (ทั้งทางเลือกที่มากขึ้น และค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง) รองลงมา ร้อยละ 38.72 ระบุว่า มีระบบพัฒนาทักษะให้เหมาะกับงานสำหรับผู้สูงอายุ ร้อยละ 23.67 ระบุว่า มีความยืดหยุ่นในด้านชั่วโมงทำงาน ร้อยละ 22.79 ระบุว่า มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ลดชั่วโมงทำงาน และร้อยละ 7.74 ระบุว่า มีระบบการศึกษาสำหรับผู้สูงอายุ
.
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 10.15 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 20.61 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 22.14 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 26.03 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.44 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 69.39 อาศัยอยู่ในเขตเทศบาล และร้อยละ 30.61 อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 43.89 เป็นเพศชาย และร้อยละ 56.11 เป็นเพศหญิง โดยตัวอย่าง ร้อยละ 37.18 อายุ 60-65 ปี ร้อยละ 22.90 อายุ 66-70 ปี ร้อยละ 17.17 อายุ 71-75 ปี และร้อยละ 22.75 อายุ 76 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่าง ร้อยละ 97.48 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 1.91 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.61 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 4.19 สถานภาพโสด ร้อยละ 90.31 สมรส และร้อยละ 5.50 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 42.82 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.86 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 4.66 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 20.08 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.58 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 1.76 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 0.99 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 15.42 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 8.47 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 7.86 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน และร้อยละ 65.50 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 49.31 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 4.43 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 12.67 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 12.21 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 7.63 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 4.73 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 2.75 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.00 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.46 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.23 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 4.50 ไม่ระบุรายได้
.
.
“ดุสิตโพล” 60.86% สงกรานต์ปีนี้ ตั้งใจจะเข้าวัด ทำบุญ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_866921/
.
“ดุสิตโพล” ร้อยละ 60.86 สงกรานต์ปีนี้ ตั้งใจจะเข้าวัด ทำบุญ ชี้จะเป็น Soft Power ระดับโลก ต้องมีวิธีเล่นน้ำที่สุภาพ สนุก และปลอดภัย มอง กลยุทธ์และทิศทางของรัฐบาลไม่ชัดเจน
.
“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ ต่อกรณี “คนไทยกับสงกรานต์ (Soft Power)” จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,298 คน (สำรวจทางออนไลน์ และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 8-11 เมษายน 2568 พบว่า ร้อยละ 60.86 ระบุ สงกรานต์ปีนี้ ตั้งใจจะเข้าวัด ทำบุญ สรงน้ำพระ, ร้อยละ 57.63 ระบุรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และ ร้อยละ 51.23 เล่นน้ำกับเพื่อน/ครอบครัว
.
เมื่อถามว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทำให้ประชาชนกังวลใจในการท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์หรือไม่ ร้อยละ 34.44 บอกไม่ค่อยกังวล และ ร้อยละ 32.90 บอกไม่กังวล ขณะที่ร้อยละ 22.57 ค่อนข้างกังวล และร้อยละ 10.09 บอกกังวลมาก
.
เมื่อถามว่า หากสงกรานต์ไทยจะเป็น Soft Power ระดับโลก คิดว่าหัวใจของสงกรานต์ไทย คืออะไร น้อยละ 63.56 วิธีเล่นน้ำที่สุภาพ สนุก และปลอดภัย, ร้อยละ 62.33 ความสนุกสนาน รอยยิ้มแบบไทยและ ร้อยละ 55.39 เสื้อลายดอกวันสงกรานต์ แฟชั่นผ้าไทย
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า ภาครัฐควรดำเนินการอย่างไรเพื่อให้ประเพณีสงกรานต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้มากขึ้น ร้อยละ 63.56 ระบุ ภาครัฐควรวางแผนประชาสัมพันธ์ในตลาดต่างประเทศล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ และ ร้อยละ 48.31 ผลักดันให้มีสงกรานต์แต่ละท้องถิ่นตลอดเดือนเมษายน
.
.
พิธา ให้กำลังใจทีมเจรจาภาษีทรัมป์ ทิ้งท้ายอวยพร อิ๊งค์ ขอให้มีสมาธิ คงความเป็นตัวเอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5137684
.
‘พิธา’ ให้กำลังใจทีมไทยแลนด์เตรียมเจรจากำแพงภาษีปรัมส์ แนะให้ศึกษาข้อมูลบุคคลที่มีผลทางอ้อมกับทีมเจรจาสหรัฐฯ มองควรให้ภาคเอกชนร่วมเจรจาด้วย ย้ำห่วงสถานการณ์สงครามอิหร่าน-อิสราเอล อันจะส่งผลกระทบต่อไทย ทิ้งท้ายอวยพร ‘นายกฯอิ๊งค’ ขอให้มีสมาธิ-ความเป็นตัวเอง-คิดไปข้างหน้า เพราะความท้าทายกำลังมา
.
เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ จ.เชียงใหม่ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการขึ้นกำแพงภาษีประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ว่า เป็นสถานการณ์มีความน่ากังวล รวมถึงสถานการณ์ในประเทศอิหร่าน ซึ่งส่งผลกระทบทางอ้อมกับประเทศไทยเกี่ยวกับราคาน้ำมันด้วยเช่นเดียวกัน
.
นาย
พิธาได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวถึงทีมเจรจารัฐบาลไทยว่า ได้มีการเตรียมความพร้อมอะไรกันแล้วเรือยัง เนื่องจากตนไม่เป็นนักการเมืองแล้ว มาในฐานะนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ขอใช้โอกาสนี้ ในการอวยพรให้กำลังใจนาย
พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนาย
พิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงทีมไทยแลนด์ ที่จะไปเจรจาในเรื่องนี้ เพราะมีความไม่แน่นอนเยอะ
.
นาย
พิธาระบุถึงสิ่งที่จะฝากไว้ นอกเหนือจากการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว คือเนื้อหาที่จะไปเจรจา และที่สำคัญกว่าคือ บุคคลที่จะไปเจรจาด้วย
.
โดยเฉพาะ
ปีเตอร์ นาวาร์โร หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ทำเนียบขาวและที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดี และบุคคลอื่นๆ ที่เป็นวงอำนาจโดยรอบในการเจรจา ต้องรู้ว่าบุคคลที่จะไปคุยด้วยคือใคร เพราะสำคัญพอๆ กับรู้วิธีการ และการรู้ว่าต้องทำอะไร
.
นาย
พิธายังกล่าวถึง 6 อุตสาหกรรมใหญ่ ที่จะได้รับผลกระทบเยอะ เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญของการส่งออก และพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก โดยเฉพาะยาง และข้าว โดยหากเจรจาดีไม่ดี หรือเจรจาสำเร็จ ก็อาจจะต้องเจรจาเป็นรายกลุ่ม รวมถึงในขณะที่เจรจา ควรจะต้องแบ่งบทบาทของคนในทีมไทยแลนด์ที่จะไปเจรจาด้วย
.
นาย
พิธากล่าวย้อนถึงตอนที่ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ ว่าควรต้องเริ่มคิด ตั้งแต่ก่อนที่
ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดี และหากตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่าจะถึงคิวประเทศไทยเมื่อไหร่ จะไปเจรจาอย่างไร เราจะเอาอะไรไปเจรจา หรือเขาต้องการอะไร ก็ยังมีคนโดยรอบอีก 4-5 คน นอกเหนือจากประธานาธิบดี
ทรัมป์ และคนที่เป็นตัวแทนการค้า USTR
.
นาย
พิธา มองว่า หากเรารู้จักคนที่จะไปคุยด้วยก่อน หรืออ่านงานเขาก่อน เมื่อเข้าไปในห้องเจรจาแล้ว ก็จะพอรู้ว่า จะมีการพูดอย่างไร
.
ทั้งนี้ หวังว่าจะมีการนำทีมภาคเอกชนไปด้วย เพราะสิ่งที่น่ากังวลมากกว่าเรื่องเกี่ยวกับอัตราภาษี คือความไม่แน่นอน เพราะเขายังไม่แน่ใจว่า ต้องการลงทุนในประเทศใด ย้ำว่า ความไม่แน่นอนสำคัญกว่าอัตราภาษี และการเจรจาครั้งนี้ ไม่ได้คุยแค่เรื่องภาษี เป็นการคุยเรื่องอื่นที่เขาต้องการ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ และให้ทีมไทยแลนด์ทำงานให้เต็มที่ เพราะมีเรื่องที่หนักหนาสาหัสมากกว่า คือเรื่องอิหร่าน ที่คนไทยอยู่ในแวดวงการเมืองในทำเนียบขาวสหรัฐอเมริกา เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่น่ากลัวคือเรื่องเกี่ยวกับเจรจานิวเคลียร์ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน ที่ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรง เป็นช่องแคบในการขนส่งสินค้า ทำให้สินค้าแพง และหากปัญหาสะสมกันหลายรอบ ก็จะส่งผลต่อ GDP ที่ตอนนี้เรามีอยู่ 1%กว่า อาจจะไม่เหลืออะไรเลย
JJNY : 57% เห็นด้วยขยายเกษียณ│สงกรานต์ปีนี้ ตั้งใจจะเข้าวัด│พิธาทิ้งท้ายอวยพร อิ๊งค์│ชี้ขาดให้‘เนสท์เล่’เป็นเจ้าของสิทธิ
https://www.matichon.co.th/local/news_5137906
.
.
.
.
พิธา ให้กำลังใจทีมเจรจาภาษีทรัมป์ ทิ้งท้ายอวยพร อิ๊งค์ ขอให้มีสมาธิ คงความเป็นตัวเอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5137684
.
‘พิธา’ ให้กำลังใจทีมไทยแลนด์เตรียมเจรจากำแพงภาษีปรัมส์ แนะให้ศึกษาข้อมูลบุคคลที่มีผลทางอ้อมกับทีมเจรจาสหรัฐฯ มองควรให้ภาคเอกชนร่วมเจรจาด้วย ย้ำห่วงสถานการณ์สงครามอิหร่าน-อิสราเอล อันจะส่งผลกระทบต่อไทย ทิ้งท้ายอวยพร ‘นายกฯอิ๊งค’ ขอให้มีสมาธิ-ความเป็นตัวเอง-คิดไปข้างหน้า เพราะความท้าทายกำลังมา
.
เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ จ.เชียงใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงการขึ้นกำแพงภาษีประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย ว่า เป็นสถานการณ์มีความน่ากังวล รวมถึงสถานการณ์ในประเทศอิหร่าน ซึ่งส่งผลกระทบทางอ้อมกับประเทศไทยเกี่ยวกับราคาน้ำมันด้วยเช่นเดียวกัน
.
นายพิธาได้ย้อนถามผู้สื่อข่าวถึงทีมเจรจารัฐบาลไทยว่า ได้มีการเตรียมความพร้อมอะไรกันแล้วเรือยัง เนื่องจากตนไม่เป็นนักการเมืองแล้ว มาในฐานะนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ขอใช้โอกาสนี้ ในการอวยพรให้กำลังใจนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงทีมไทยแลนด์ ที่จะไปเจรจาในเรื่องนี้ เพราะมีความไม่แน่นอนเยอะ
.
นายพิธาระบุถึงสิ่งที่จะฝากไว้ นอกเหนือจากการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว คือเนื้อหาที่จะไปเจรจา และที่สำคัญกว่าคือ บุคคลที่จะไปเจรจาด้วย
.
โดยเฉพาะ ปีเตอร์ นาวาร์โร หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ทำเนียบขาวและที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดี และบุคคลอื่นๆ ที่เป็นวงอำนาจโดยรอบในการเจรจา ต้องรู้ว่าบุคคลที่จะไปคุยด้วยคือใคร เพราะสำคัญพอๆ กับรู้วิธีการ และการรู้ว่าต้องทำอะไร
.
นายพิธายังกล่าวถึง 6 อุตสาหกรรมใหญ่ ที่จะได้รับผลกระทบเยอะ เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญของการส่งออก และพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกาจำนวนมาก โดยเฉพาะยาง และข้าว โดยหากเจรจาดีไม่ดี หรือเจรจาสำเร็จ ก็อาจจะต้องเจรจาเป็นรายกลุ่ม รวมถึงในขณะที่เจรจา ควรจะต้องแบ่งบทบาทของคนในทีมไทยแลนด์ที่จะไปเจรจาด้วย
.
นายพิธากล่าวย้อนถึงตอนที่ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ ว่าควรต้องเริ่มคิด ตั้งแต่ก่อนที่ทรัมป์จะเป็นประธานาธิบดี และหากตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่าจะถึงคิวประเทศไทยเมื่อไหร่ จะไปเจรจาอย่างไร เราจะเอาอะไรไปเจรจา หรือเขาต้องการอะไร ก็ยังมีคนโดยรอบอีก 4-5 คน นอกเหนือจากประธานาธิบดีทรัมป์ และคนที่เป็นตัวแทนการค้า USTR
.
นายพิธา มองว่า หากเรารู้จักคนที่จะไปคุยด้วยก่อน หรืออ่านงานเขาก่อน เมื่อเข้าไปในห้องเจรจาแล้ว ก็จะพอรู้ว่า จะมีการพูดอย่างไร
.
ทั้งนี้ หวังว่าจะมีการนำทีมภาคเอกชนไปด้วย เพราะสิ่งที่น่ากังวลมากกว่าเรื่องเกี่ยวกับอัตราภาษี คือความไม่แน่นอน เพราะเขายังไม่แน่ใจว่า ต้องการลงทุนในประเทศใด ย้ำว่า ความไม่แน่นอนสำคัญกว่าอัตราภาษี และการเจรจาครั้งนี้ ไม่ได้คุยแค่เรื่องภาษี เป็นการคุยเรื่องอื่นที่เขาต้องการ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ และให้ทีมไทยแลนด์ทำงานให้เต็มที่ เพราะมีเรื่องที่หนักหนาสาหัสมากกว่า คือเรื่องอิหร่าน ที่คนไทยอยู่ในแวดวงการเมืองในทำเนียบขาวสหรัฐอเมริกา เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่น่ากลัวคือเรื่องเกี่ยวกับเจรจานิวเคลียร์ ซึ่งจะส่งผลต่อราคาน้ำมัน ที่ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรง เป็นช่องแคบในการขนส่งสินค้า ทำให้สินค้าแพง และหากปัญหาสะสมกันหลายรอบ ก็จะส่งผลต่อ GDP ที่ตอนนี้เรามีอยู่ 1%กว่า อาจจะไม่เหลืออะไรเลย