"บันทึกของ “จางเสง” ผู้รอดชีวิตวัย 80 จากเที่ยวบินปฐมฤกษ์…ที่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์"

ผมชื่อ “จางเสง” ปัจจุบันอายุ 80 ปีเต็ม
ย้อนกลับไปในปี 2519 ตอนนั้นผมอายุเพียง 7 ขวบ เดินทางกลับจากปีนัง ประเทศมาเลเซีย พร้อมกับแม่โดยเครื่องบิน เที่ยวบินนั้นเป็นของสายการบินใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเพียงไม่กี่สัปดาห์ ชื่อว่า สายการบินสยามเทอร์เวียสแอร์ ใช้เครื่องบินแบบ Fokker 28 ขนาดเล็ก สีฟ้าน้ำทะเลตัดขาว ลวดลายหางเป็นลายไทยอ่อนช้อย สวยงามเหมือนภาพวาด เที่ยวบินนั้นมีกำหนดบินจากสนามบินปีนัง กลับมายังสนามบินดอนเมือง ประเทศไทย ไม่มีใครรู้เลยว่านั่นจะเป็นเที่ยวบินแรก และเที่ยวบินสุดท้ายของสายการบินนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นปกติ เครื่องทะยานขึ้นอย่างมั่นคง ท่ามกลางบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน
ผู้โดยสารทั้งหมดประมาณ 80 คน มีทั้งชาวไทย มาเลเซีย และชาวต่างชาติไม่กี่คน แม่ผมนั่งข้างหน้าต่าง ส่วนผมนั่งติดกลางข้างๆ เธอ
ผมจำกลิ่นใหม่เอี่ยมของเครื่องได้ และพนักงานต้อนรับแต่งกายเรียบร้อย ดูภูมิฐาน ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากทะยานขึ้น มีชายชาวมาเลย์สองคนลุกขึ้นเดินไปทางท้ายลำ หนึ่งในนั้นเปิดกระเป๋า และหยิบมีดปลายแหลมออกมา อีกคนเทของเหลวจากขวดโบราณใส่ปากตัวเอง กลิ่นเหม็นขมลอยฟุ้งทั่วห้องโดยสาร ยังไม่ทันที่ใครจะห้ามได้ พวกเขาก็เริ่มไล่แทงผู้โดยสารรอบข้าง
เสียงกรีดร้องดังขึ้นราวกับนรกแตก เลือดสาดเต็มเบาะหน้าผม แม่รีบดึงตัวผมเข้าใต้เบาะและกอดไว้แน่น
ความสยองขวัญไม่ได้หยุดแค่นั้น ผู้โดยสารที่ถูกแทง...กลับไม่ตาย ไม่กี่นาทีให้หลัง พวกเขาลุกขึ้นพร้อมเสียงคำรามต่ำและหายใจแรง
ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ผิวหนังซีดขาว บางคนกัดผู้โดยสารคนอื่น บางคนใช้เล็บข่วน ใช้รถเข็นขนอาหารฟาด คล้ายพวกเขากำลังถูก “บางอย่าง” เข้าสิง
พนักงานพยายามควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ถูกรุมทำร้าย หลายคนพยายามหนีไปทางห้องนักบิน แต่ประตูถูกปิดสนิท
มีเสียงประกาศของนักบินว่าเครื่องกำลังเบี่ยงเส้นทางเพื่อลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินสงขลา  แต่ไม่กี่นาทีถัดมา เสียงนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้องสุดท้าย
"มันเข้ามาแล้ว…!! มันไม่ใช่คน!!" หลังจากนั้นเครื่องก็ส่ายแรง  แม่บอกให้ผมหลับตา และอย่าหันไปมอง
เสียงปีกสั่น เสียงเครื่องแตก แล้วก็ภาพสุดท้าย… คือหน้าต่างแตก และตัวผมลอยออกจากเครื่องด้วยแรงอัด
น้ำทะเลกระแทกตัวผมจมหายไปในความมืด ผมฟื้นขึ้นมาบนเรือประมงเล็กๆ ลำหนึ่งของชาวสงขลา
พวกเขาบอกว่าเจอผมลอยอยู่แถว เกาะแมว ห่างจากฝั่งประมาณ 7 กิโลเมตร  และก่อนหน้านั้นไม่นาน พวกเขาได้ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม
เห็นเครื่องบินลำนั้นกำลังดิ่งลงในแนวทแยงไกลๆ กับฉากหลังคือเกาะหนูและเกาะแมว
ภาพนั้นกลายเป็น “หลักฐานชิ้นเดียว” ของเหตุการณ์
ไม่มีการกู้ซาก ไม่มีรายชื่อผู้โดยสารในข่าว ไม่มีแม้แต่ชื่อสายการบินในระบบ
ภายใน 3 วัน สายการบินสยามเทอร์เวียสแอร์ ถูกลบชื่อออกจากระบบการบินโลก
เว็บไซต์ฐานข้อมูลสากลก็ไม่มีบันทึก
ราวกับสายการบินนี้ ไม่เคยมีอยู่
เหมือนเที่ยวบินนั้น ไม่มีวันถูกพูดถึงอีก
หลายปีต่อมาผมพยายามค้นหาความจริง
จนได้เบาะแสจากหมอผีทางใต้ว่า ชายสองคนที่ก่อเหตุนั้น
เป็นลูกศิษย์ของผู้มีอิทธิพลทางไสยศาสตร์ทมิฬในมาเลเซีย
พวกเขาใช้ของที่เรียกว่า “ยาผีคลั่งห่า” ซึ่งเป็นของต้องห้ามโบราณที่ใช้ในการรบ
ใครดื่มเข้าไปจะเปลี่ยนเป็นปีศาจภายในมนุษย์
คลั่ง กระหายเลือด และมีพลังเหนือธรรมดาในช่วงเวลาสั้นๆ
ตำนานเล่าว่าใครใช้ยานี้…สุดท้ายจะตายอย่างทรมาน
และผู้ใช้รายนี้… ถูกพบศพไหม้เกรียมครึ่งตัวในป่ารกร้างไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์
วันนี้ในวัย 80 ปี ผมยังฝันถึงเสียงแม่
เสียงพูดว่า “อย่าหันกลับไปมอง”
ผมไม่เคยรู้ว่าบนฟ้าในวันนั้น… มีอะไรมากกว่ามนุษย์
และผมก็ไม่คิดจะย้อนมองมันอีกเลย
เที่ยวบินนั้น… บางทีอาจไม่ได้ตกเพราะเครื่องยนต์
แต่อาจเป็นเพราะ มัน ถูกพาไปยัง “ที่ๆ ไม่ควรกลับมา” แด่แม่ของผม และทุกวิญญาณบนเที่ยวบินต้องสาป ถ้าคุณจำภาพลางๆ นี้ได้… คุณอาจคือหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลืออยู่ ที่ยังจำ “สายการบินที่ไม่มีในประวัติศาสตร์” ได้



– จางเสง
ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเที่ยวบินมรณะกลางอ่าวไทย






(ภาพฟุตเทจที่พบจากกล้องชาวประมง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่