ปัญหาน้ำรั่วซึมตามกรอบขอบหน้าต่างไหลเข้ามาในตัวบ้านเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยในการสร้างบ้านสมัยใหม่ สาเหตุหลักเกิดจาก
การที่เรายังไม่เข้าใจกลไกที่ทำให้น้ำฝนสามารถซึมผ่านเข้ามาได้
ในอดีต วงกบหน้าต่างส่วนใหญ่ทำจากไม้ และมักจะหล่อติดตั้งพร้อมกับการเททับหลังและเสาเอ็น ทำให้ช่องว่างระหว่างวงกบกับโครงสร้างนั้นแทบไม่มี โอกาสที่น้ำฝนจะซึมผ่านจึงน้อยมาก นอกจากนี้ ลักษณะของหน้าต่างมักเป็นแบบผลักออกด้านนอก โดยมีขอบรองรับด้านในสูงกว่าด้านนอก ซึ่งช่วยป้องกันน้ำฝนไหลเข้าสู่ตัวบ้านได้
เมื่อเปรียบเทียบกับการสร้างบ้านในปัจจุบัน กรอบและตัวหน้าต่างส่วนใหญ่มักเป็นอะลูมิเนียม การเตรียมผนังสำหรับรองรับกรอบหน้าต่าง ไม่ว่าจะเป็นแบบสำเร็จรูปหรือติดตั้งหน้างาน ช่างจะต้องทำกรอบผนังให้มีขนาดใหญ่กว่ากรอบหน้าต่างประมาณครึ่งเซนติเมตร เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับอุดร่องด้วยวัสดุ เช่น ซิลิโคน หรือพียู วัสดุเหล่านี้มีหลายคุณภาพและราคา ซึ่งช่างก่อสร้างส่วนใหญ่มักไม่นิยมใช้วัสดุราคาแพง โดยอ้างถึงเรื่องต้นทุน ประกอบกับรูปแบบการสร้างบ้านที่เป็นมาตรฐานตามประสบการณ์ของช่างแต่ละคน เมื่อเวลาผ่านไป วัสดุที่ใช้อุดร่องรอบกรอบหน้าต่างอะลูมิเนียมจะหดตัว ทำให้เกิดช่องว่างให้น้ำฝนไหลเข้ามาได้ นอกจากนี้ บริเวณมุมต่อฉากระหว่างกรอบแนวตั้งและแนวนอนก็เป็นอีกช่องทางที่น้ำฝนที่ค้างอยู่บริเวณรางด้านล่างสามารถแทรกซึมเข้ามาได้
แนวทางแก้ไขที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ การติดตั้งกันสาดหรือหลังคาเหนือกรอบหน้าต่าง หรือการติดบัวล้อมรอบ เพื่อป้องกันน้ำฝนสาดโดนกระจกโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการรั่วซึมได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาตรการเหล่านี้ น้ำฝนที่สาดโดนกระจกและไหลลงสู่รางด้านล่างก็ยังมีแรงดันที่สามารถดันน้ำให้ไหลเข้าสู่รางด้านในได้ แม้ว่าจะมีการตัดรางกระจกด้านล่างให้กว้างขึ้นเพื่อระบายน้ำแล้วก็ตาม
ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่ผมเสนอก็คือ การปรับโครงสร้างของกรอบผนังที่จะใช้วางกรอบหน้าต่าง โดยให้ขอบผนังด้านในตัวบ้านยกสูงกว่าขอบผนังด้านนอก ลักษณะคล้ายกับการทำวงกบ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่โครงสร้างบ้านโดยตรง และช่วยลดความกังวลเรื่องน้ำรั่วซึมตามขอบหน้าต่างในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องเลือกใช้กรอบหน้าต่างยี่ห้อราคาแพง
อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ต้องทำความเข้าใจและดำเนินการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำกรอบรองรับหน้าต่างให้มีลิ้นกันน้ำด้านในที่สูงกว่าด้านนอก โดยพิจารณาจากความหนาของผนัง ซึ่งจะมีการอธิบายในขั้นตอนต่อไป
นำเสนอถึงสาเหตุและหลักการแก้ไขปัญหาน้ำรั่วซึมตามขอบกรอบหน้าต่าง แบบที่ผมวิเคราะห์มา ไม่ใช่แบบทั่วๆไปที่นิยมทำๆกัน
การที่เรายังไม่เข้าใจกลไกที่ทำให้น้ำฝนสามารถซึมผ่านเข้ามาได้
ในอดีต วงกบหน้าต่างส่วนใหญ่ทำจากไม้ และมักจะหล่อติดตั้งพร้อมกับการเททับหลังและเสาเอ็น ทำให้ช่องว่างระหว่างวงกบกับโครงสร้างนั้นแทบไม่มี โอกาสที่น้ำฝนจะซึมผ่านจึงน้อยมาก นอกจากนี้ ลักษณะของหน้าต่างมักเป็นแบบผลักออกด้านนอก โดยมีขอบรองรับด้านในสูงกว่าด้านนอก ซึ่งช่วยป้องกันน้ำฝนไหลเข้าสู่ตัวบ้านได้
เมื่อเปรียบเทียบกับการสร้างบ้านในปัจจุบัน กรอบและตัวหน้าต่างส่วนใหญ่มักเป็นอะลูมิเนียม การเตรียมผนังสำหรับรองรับกรอบหน้าต่าง ไม่ว่าจะเป็นแบบสำเร็จรูปหรือติดตั้งหน้างาน ช่างจะต้องทำกรอบผนังให้มีขนาดใหญ่กว่ากรอบหน้าต่างประมาณครึ่งเซนติเมตร เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับอุดร่องด้วยวัสดุ เช่น ซิลิโคน หรือพียู วัสดุเหล่านี้มีหลายคุณภาพและราคา ซึ่งช่างก่อสร้างส่วนใหญ่มักไม่นิยมใช้วัสดุราคาแพง โดยอ้างถึงเรื่องต้นทุน ประกอบกับรูปแบบการสร้างบ้านที่เป็นมาตรฐานตามประสบการณ์ของช่างแต่ละคน เมื่อเวลาผ่านไป วัสดุที่ใช้อุดร่องรอบกรอบหน้าต่างอะลูมิเนียมจะหดตัว ทำให้เกิดช่องว่างให้น้ำฝนไหลเข้ามาได้ นอกจากนี้ บริเวณมุมต่อฉากระหว่างกรอบแนวตั้งและแนวนอนก็เป็นอีกช่องทางที่น้ำฝนที่ค้างอยู่บริเวณรางด้านล่างสามารถแทรกซึมเข้ามาได้
แนวทางแก้ไขที่นิยมใช้กันในปัจจุบันคือ การติดตั้งกันสาดหรือหลังคาเหนือกรอบหน้าต่าง หรือการติดบัวล้อมรอบ เพื่อป้องกันน้ำฝนสาดโดนกระจกโดยตรง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการรั่วซึมได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาตรการเหล่านี้ น้ำฝนที่สาดโดนกระจกและไหลลงสู่รางด้านล่างก็ยังมีแรงดันที่สามารถดันน้ำให้ไหลเข้าสู่รางด้านในได้ แม้ว่าจะมีการตัดรางกระจกด้านล่างให้กว้างขึ้นเพื่อระบายน้ำแล้วก็ตาม
ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่ผมเสนอก็คือ การปรับโครงสร้างของกรอบผนังที่จะใช้วางกรอบหน้าต่าง โดยให้ขอบผนังด้านในตัวบ้านยกสูงกว่าขอบผนังด้านนอก ลักษณะคล้ายกับการทำวงกบ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่โครงสร้างบ้านโดยตรง และช่วยลดความกังวลเรื่องน้ำรั่วซึมตามขอบหน้าต่างในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องเลือกใช้กรอบหน้าต่างยี่ห้อราคาแพง
อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ต้องทำความเข้าใจและดำเนินการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำกรอบรองรับหน้าต่างให้มีลิ้นกันน้ำด้านในที่สูงกว่าด้านนอก โดยพิจารณาจากความหนาของผนัง ซึ่งจะมีการอธิบายในขั้นตอนต่อไป