ถือว่าได้ฤกษ์การโพสเรื่องราวของทริปอันแสนลำบากซะที กลับมาหลายเดือนแล้วเพิ่งจะมีเวลาเรียบเรียงทริปที่สุดแสนทรหด กับการเดินทางไป ลี่เจียง - ฮาปาวิลเลจ - ยอดเขาฮาปา - แชงกรีล่า ที่วันแรกๆ เหมือนจะชิลล์ แต่วันขึ้นยอดเขานี่หืดจับ
โปรแกรมที่ตั้งใจไว้จะเป็นประมาณนี้นะครับ
วันที่ 1: เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปลงเครื่องที่ลี่เจียง เที่ยวเมืองเก่า แล้วพักผ่อน
วันที่ 2: เที่ยวเขามังกรหยก
วันที่ 3: เริ่มต้นเดินจากลี่เจียงไปที่ Tiger Leaping Gorge
วันที่ 4: เดินเข้าสู่เขต Shangri-la เดินไปสู่ Haba Village
วันที่ 5: เดินจาก Haba Village ไปที่ Base 1
วันที่ 6: เดินขึ้นไปสู่ Base Camp ก่อนจะขึ้นยอด
วันที่ 7: ปีนขึ้นสู่ยอดเขา Haba Snow Mountain
วันที่ 8: เที่ยว Baishuitai และวัด ซงจ้านหลิน
วันที่ 9: เที่ยว Balagezong National Park และกลับไปพักในเมืองเก่าแชงกรีล่า
วันที่ 10: เที่ยว Potatso National Park แล้วกลับลี่เจียง
วันที่ 11: เดินทางกลับ
การเตรียมตัวไม่มีอะไรมาก อุปกรณ์เดิน Trekking ปกติเลย
1. เสื้อระบายเหงื่อดีๆ หน่อย
2. เสื้อ Down กันหนาว
3. เสื้อกันลม กันฝน
4. เสื้อกันหนาวแบบติดลบหลัก 10 องศา
5. กางเกงเดินป่า และกางเกงกันหนาว หรือกางเกงสกีก็ได้
6. ไม้ Trekking Pole
7. ขวดน้ำที่เก็บอุณหภูมิได้
8. เป้เล็กใส่ของประจำวัน
9. เป้ใหญ่ Duffle Bag
ที่จีนตอนนี้เงินสดมีความสำคัญน้อยมากนะครับ แทบจะทุกที่สามารถจ่ายด้วย Ali Pay และ True Money Wallet ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผูกบัตรกับ Ali Pay ไปก่อนเลยจะดีมาก เพราะนอกจากจะไม่ต้องพกเงินสดเยอะแล้วเรายังสามารถใช้จ่ายได้อย่างสะดวกอีกด้วย
DAY 1: เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน China Eastern ไปลงคุนหมิง แล้วรอต่อเครื่องมาลงลี่เจียง มาถึงตอนสายๆ เก็บของเข้าที่พักแล้วก็ออกเดินชมเมือง Lijiang Old Town เป็นเหมือนถนนคนเดินที่ค่อนข้างใหญ่มาก นึกภาพถึงจิ่วเฟิ่นที่ไต้หวันจะลักษณะคล้ายกันแต่ใหญ่กว่า เดินขึ้นไปทางด้านบนของถนน จะเข้าไปเจออุทยานที่เราต้องเสียค่าเข้า เพื่อไปชม Wangu Tower, Mu Fu Mansion, Mu Palace ซึ่งเป็นโซนของคฤหาสน์ของตระกูลมู่ ที่อยู่บนเนินเขาซึ่งเป็นเจ้าเมืองผู้ปกครองชนเผ่าหน่าซี ซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณ จะเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างสวยงาม
หลังจากนั้นก็เดินลงด้านล่างของเมืองไป สระมังกรดำ Black Dragon Pool หรือ Heillongtan ซึ่งเป็นเหมือนสวนสาธารณะที่ด้านในจะมีสระน้ำใสใจกลางเมือง น้ำที่ดูเหมือนเป็นสีดำและสะท้อนภาพอาคารและสะพานโค้งได้เหมือนกระจกใส สวยงามมาก พอเดินจนเหนื่อยแล้วก็ย้อนกลับเข้ามาหาของกินและเดินเล่ยเมืองเก่าจนดึกก่อนเข้าที่พัก
Day 2: วันที่สองของทริป เป็นวันที่รู้สึกว่า fail ที่สุดแล้ว พวกเราตั้งใจจะไป Yulong Shan หรือยอดเขามังกรหยก Jade Dragon ที่รู้จักกัน ด้วยการที่ซื้อ one day trip ไว้ล่วงหน้าแล้ว เช้าประมาณ 6 โมง รถที่จองไว้มารับ ก่อนจะเข้าเขตอุทยาน Yulong รถจะแวะไปเอาเสื้อโค้ทที่สามารถกันลมกันฝนและกันหนาวให้เรา จุดนี้มีข้อควรระวังคือ จะมีการขายอ๊อกซิเจนกระป๋อง และยาจีนป้องกัน Altitude Sickness ซึ่งราคาจะแพงกว่าท้องตลาดมาก เราโดนกันไปคนละ 1000 บาทไทย หรือประมาณ 200 หยวน แลกมากับยาจีน 1 ชุด 2 ขวด กินก่อนขึ้น และอ๊อกซิเจน 2 กระป๋อง ซึ่งถ้าซื้อที่ Old Town เราจะจ่ายกันแค่ไม่เกิน 50 - 60 หยวน เรียกว่าโดนฟันหัวแบะ จริงๆ พวกเรามีซื้อไว้แล้ว แต่ดันไม่ได้เอามา และจริงๆ แล้วไม่ต้องใช้เยอะขนาดนั้นก็ได้ แต่ด้วยการที่กังวลกับสภาพอากาศ และคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยเสียค่าโง่ไป
รถพาไปถึงทางเข้า คนขับพาเราไปที่จุดแรกคือขึ้นรถบัสไป Blue Moon Valley หรือหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน ซึ่งจะมีจุดจอดดร็อปให้ลงไปเดินและถ่ายรูป 3 จุด จุดแรกเป็นสระน้ำสีเขียวมรกต วันที่ไปคือฝนตกปรอยๆ ฟ้าครึ้มเลยทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วดูหม่นๆ จุดที่สองเป็นกำแพงน้ำตก และจุดสุดท้ายเป็นจุดชมวิว ที่จะมีทางเดินทอดยาวให้สามารถเดินเล่นได้
จากนั้นรถบัสก็มาส่งที่ด้านล่าง แล้วเราก็ไปขึ้น Cable Car เพื่อไปยอดเขามังกรหยก แต่อย่างที่บอกวันนี้เป็นวันที่รู้สึก fail เพราะพอขึ้นไปถึง พายุดันเข้า ฝนตกหนัก ทำให้เดินก็ไม่ได้ เขาก็มองไม่เห็น มังกรหยกตัวนี้ขี้อายมาก อยู่บนนั้นได้เกือบชั่วโมงฝนก็ไม่มีท่าทีจะหยุดตก เลยตกลงกันว่าคงไม่ได้เห็นแล้วล่ะ ลงมาถึงคนขับรถเลยช่วยเปลี่ยนเวลาในการดู Performance Show ที่กำกับโดยทีมงานของผู้กำกับชื่อดัง จางอวี้โหมว แต่ขอบอก อารมณ์นั้นทั้ง fail ทั้งฝน ทั้งเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ดูยังไงก็ไม่เพลิน พอดูจบก็เลยนั่งเลยกลับกันและมาเดิน Old Town หาของกินจนถึงดึก เตรียมตัวออกจากความศิวิไลซ์ไปสู้กับธรรมชาติในวันต่อไป
Day 3: เริ่มเข้าสู่โหมดโหดแล้ว เราเริ่มออกเดินจากจุดปล่อยตัวเพื่อเดินไปที่ Tiger Leaping Gorge หรือเรียกภาษาไทยว่า หุบเขาเสือกระโจน เรามีผู้ร่วมทริปเพิ่มมา 1 คน เป็นสาวจากปักกิ่งที่ซื้อ 2 Days Tour มา การเดินทางวันนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะแระมาณเกือบ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ระหว่างทางเดินขึ้นเขาลงเขาสวยงามมาก จนสุดท้ายไปจบที่ตรงจุดพักที่ชื่อว่า Half Way ซึ่งเป็นจุดพักที่วิวสวยมาก
Day 4: โหมดเดินๆๆๆ แล้วก็เดิน เราเริ่มเดินจากที่พัก Half Way ผ่านแนวเขาแนวแม่น้ำ ที่ทางไกด์บอกว่า ฝั่งที่เราอยู่คือ Shangri-la ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็น Lijiang วันนี้เน้นเดินเบาๆ ประมาณ 6 ชั่วโมง พอพ้นแนวเขาแล้ว ก็มีรถมารับเข้าสู่หมู่บ้าน Haba Village เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวเดินขึ้น Base 1 และ Base 2 ต่อไป
Day 5: Going up to Base 1 วันนี้ไกด์บอกเดินไม่เยอะ ออกสายหน่อยได้ ก็ออกกันประมาณเกือบๆ สิบโมง รถมารับจาก Haba Village ไปที่ตีนเขา ก่อนออกเดินเท้ามีการมอบผ้าเป็นที่ระลึก น่าจะเป็นธรรมเนียมของแถบนี้ เพราะตอนไปเนปาล ภูฏาน ก็มี วันนี้อากาศเย็นสบาย มีฝนตกปรอยๆ แต่ไม่มีแดด พื้นที่ที่เดินผ่านก็จะมีหลากหลาย ทั้งป่า ทุ่งหญ้า ภูเขาหิน ช่วงที่เป็นทุ่งหญ้า สวยเหมือนอยู่นิวซีแลนด์ ที่พักวันนี้เป็นเหมือน shelter ที่เป็นฝาไม้บางๆ ตีเป็นกระโจมหลังเล็กๆ นอนสบายดี วันนี้เดินประมาณแค่ 4 ชม.
Day 6: ความโหดทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เราต้องเดินประมาณ 6 ชั่วโมงเพื่อให้ถึง Base 2 ซึ่งเป็น Base Camp ก่อนจะขึ้นยอดเขา Haba ทางเดินเริ่มหลากหลายและเริ่มมีทางชันมากขึ้น มีทั้งเดินขึ้นและเดินลง ผ่านทั้งทางก้อนหินและทางที่เป็นเนินราบ โชคดีที่หน้านี้เป็นฤดู Spring ทำให้เราได้เห็นดอกไม้สวยงามมากมายเต็มภูเขาในหลายๆ จุด เดินไปเรื่อยๆ จะเริ่มผ่านจุดที่มองเห็นบอดเขาและจุดที่มีหิมะประปราย ถึงฟ้าจะหม่นแต่ก๋สวยงามไปอีกแบบ เรามาถึง Base Camp ประมาณบ่าย 3 ไกด์ที่นำทางมาตลอด จะแนะนำไกด์ที่จะประกบพวกเราตัวต่อตัวตอนขึ้นเขา และแนะนำเรื่องอุปกรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงการวัดไซส์ของ Crampons หรือตัวสวมรองเท้าที่เป็นหนาม สำหรับจิกหิมะ และ Ice Chop หรือตัวเหมือนเคียวเอาไว้สำหรับเป็นไม้เท้าและเป็นตัวจิกหิมะเวลาเราล้มหรือเสียหลัก จากนั้นไกด์ให้กินข้าวแล้วเข้านอน เพราะต้องตื่นตีสองเพื่อเดินขึ้นยอดเขา ที่นอนอย่างที่เห็นเลยคือ เป็น "โรงนอน" ฝาไม้ นอนรวมกันเป็นกลุ่ม
ต่อใน comment นะครับ
[CR] Ekka พาเที่ยว: ผมเดินเท้าจาก ลี่เจียง ไป แชงกรีล่า และไปเดินขึ้นยอดเขา Haba Snow Mountain มา
ถือว่าได้ฤกษ์การโพสเรื่องราวของทริปอันแสนลำบากซะที กลับมาหลายเดือนแล้วเพิ่งจะมีเวลาเรียบเรียงทริปที่สุดแสนทรหด กับการเดินทางไป ลี่เจียง - ฮาปาวิลเลจ - ยอดเขาฮาปา - แชงกรีล่า ที่วันแรกๆ เหมือนจะชิลล์ แต่วันขึ้นยอดเขานี่หืดจับ
โปรแกรมที่ตั้งใจไว้จะเป็นประมาณนี้นะครับ
วันที่ 1: เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปลงเครื่องที่ลี่เจียง เที่ยวเมืองเก่า แล้วพักผ่อน
วันที่ 2: เที่ยวเขามังกรหยก
วันที่ 3: เริ่มต้นเดินจากลี่เจียงไปที่ Tiger Leaping Gorge
วันที่ 4: เดินเข้าสู่เขต Shangri-la เดินไปสู่ Haba Village
วันที่ 5: เดินจาก Haba Village ไปที่ Base 1
วันที่ 6: เดินขึ้นไปสู่ Base Camp ก่อนจะขึ้นยอด
วันที่ 7: ปีนขึ้นสู่ยอดเขา Haba Snow Mountain
วันที่ 8: เที่ยว Baishuitai และวัด ซงจ้านหลิน
วันที่ 9: เที่ยว Balagezong National Park และกลับไปพักในเมืองเก่าแชงกรีล่า
วันที่ 10: เที่ยว Potatso National Park แล้วกลับลี่เจียง
วันที่ 11: เดินทางกลับ
การเตรียมตัวไม่มีอะไรมาก อุปกรณ์เดิน Trekking ปกติเลย
1. เสื้อระบายเหงื่อดีๆ หน่อย
2. เสื้อ Down กันหนาว
3. เสื้อกันลม กันฝน
4. เสื้อกันหนาวแบบติดลบหลัก 10 องศา
5. กางเกงเดินป่า และกางเกงกันหนาว หรือกางเกงสกีก็ได้
6. ไม้ Trekking Pole
7. ขวดน้ำที่เก็บอุณหภูมิได้
8. เป้เล็กใส่ของประจำวัน
9. เป้ใหญ่ Duffle Bag
ที่จีนตอนนี้เงินสดมีความสำคัญน้อยมากนะครับ แทบจะทุกที่สามารถจ่ายด้วย Ali Pay และ True Money Wallet ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผูกบัตรกับ Ali Pay ไปก่อนเลยจะดีมาก เพราะนอกจากจะไม่ต้องพกเงินสดเยอะแล้วเรายังสามารถใช้จ่ายได้อย่างสะดวกอีกด้วย
DAY 1: เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบิน China Eastern ไปลงคุนหมิง แล้วรอต่อเครื่องมาลงลี่เจียง มาถึงตอนสายๆ เก็บของเข้าที่พักแล้วก็ออกเดินชมเมือง Lijiang Old Town เป็นเหมือนถนนคนเดินที่ค่อนข้างใหญ่มาก นึกภาพถึงจิ่วเฟิ่นที่ไต้หวันจะลักษณะคล้ายกันแต่ใหญ่กว่า เดินขึ้นไปทางด้านบนของถนน จะเข้าไปเจออุทยานที่เราต้องเสียค่าเข้า เพื่อไปชม Wangu Tower, Mu Fu Mansion, Mu Palace ซึ่งเป็นโซนของคฤหาสน์ของตระกูลมู่ ที่อยู่บนเนินเขาซึ่งเป็นเจ้าเมืองผู้ปกครองชนเผ่าหน่าซี ซึ่งเป็นชนเผ่าโบราณ จะเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างสวยงาม
หลังจากนั้นก็เดินลงด้านล่างของเมืองไป สระมังกรดำ Black Dragon Pool หรือ Heillongtan ซึ่งเป็นเหมือนสวนสาธารณะที่ด้านในจะมีสระน้ำใสใจกลางเมือง น้ำที่ดูเหมือนเป็นสีดำและสะท้อนภาพอาคารและสะพานโค้งได้เหมือนกระจกใส สวยงามมาก พอเดินจนเหนื่อยแล้วก็ย้อนกลับเข้ามาหาของกินและเดินเล่ยเมืองเก่าจนดึกก่อนเข้าที่พัก
Day 2: วันที่สองของทริป เป็นวันที่รู้สึกว่า fail ที่สุดแล้ว พวกเราตั้งใจจะไป Yulong Shan หรือยอดเขามังกรหยก Jade Dragon ที่รู้จักกัน ด้วยการที่ซื้อ one day trip ไว้ล่วงหน้าแล้ว เช้าประมาณ 6 โมง รถที่จองไว้มารับ ก่อนจะเข้าเขตอุทยาน Yulong รถจะแวะไปเอาเสื้อโค้ทที่สามารถกันลมกันฝนและกันหนาวให้เรา จุดนี้มีข้อควรระวังคือ จะมีการขายอ๊อกซิเจนกระป๋อง และยาจีนป้องกัน Altitude Sickness ซึ่งราคาจะแพงกว่าท้องตลาดมาก เราโดนกันไปคนละ 1000 บาทไทย หรือประมาณ 200 หยวน แลกมากับยาจีน 1 ชุด 2 ขวด กินก่อนขึ้น และอ๊อกซิเจน 2 กระป๋อง ซึ่งถ้าซื้อที่ Old Town เราจะจ่ายกันแค่ไม่เกิน 50 - 60 หยวน เรียกว่าโดนฟันหัวแบะ จริงๆ พวกเรามีซื้อไว้แล้ว แต่ดันไม่ได้เอามา และจริงๆ แล้วไม่ต้องใช้เยอะขนาดนั้นก็ได้ แต่ด้วยการที่กังวลกับสภาพอากาศ และคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็เลยเสียค่าโง่ไป
รถพาไปถึงทางเข้า คนขับพาเราไปที่จุดแรกคือขึ้นรถบัสไป Blue Moon Valley หรือหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน ซึ่งจะมีจุดจอดดร็อปให้ลงไปเดินและถ่ายรูป 3 จุด จุดแรกเป็นสระน้ำสีเขียวมรกต วันที่ไปคือฝนตกปรอยๆ ฟ้าครึ้มเลยทำให้ถ่ายรูปออกมาแล้วดูหม่นๆ จุดที่สองเป็นกำแพงน้ำตก และจุดสุดท้ายเป็นจุดชมวิว ที่จะมีทางเดินทอดยาวให้สามารถเดินเล่นได้
จากนั้นรถบัสก็มาส่งที่ด้านล่าง แล้วเราก็ไปขึ้น Cable Car เพื่อไปยอดเขามังกรหยก แต่อย่างที่บอกวันนี้เป็นวันที่รู้สึก fail เพราะพอขึ้นไปถึง พายุดันเข้า ฝนตกหนัก ทำให้เดินก็ไม่ได้ เขาก็มองไม่เห็น มังกรหยกตัวนี้ขี้อายมาก อยู่บนนั้นได้เกือบชั่วโมงฝนก็ไม่มีท่าทีจะหยุดตก เลยตกลงกันว่าคงไม่ได้เห็นแล้วล่ะ ลงมาถึงคนขับรถเลยช่วยเปลี่ยนเวลาในการดู Performance Show ที่กำกับโดยทีมงานของผู้กำกับชื่อดัง จางอวี้โหมว แต่ขอบอก อารมณ์นั้นทั้ง fail ทั้งฝน ทั้งเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว ดูยังไงก็ไม่เพลิน พอดูจบก็เลยนั่งเลยกลับกันและมาเดิน Old Town หาของกินจนถึงดึก เตรียมตัวออกจากความศิวิไลซ์ไปสู้กับธรรมชาติในวันต่อไป
Day 3: เริ่มเข้าสู่โหมดโหดแล้ว เราเริ่มออกเดินจากจุดปล่อยตัวเพื่อเดินไปที่ Tiger Leaping Gorge หรือเรียกภาษาไทยว่า หุบเขาเสือกระโจน เรามีผู้ร่วมทริปเพิ่มมา 1 คน เป็นสาวจากปักกิ่งที่ซื้อ 2 Days Tour มา การเดินทางวันนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะแระมาณเกือบ 10 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ระหว่างทางเดินขึ้นเขาลงเขาสวยงามมาก จนสุดท้ายไปจบที่ตรงจุดพักที่ชื่อว่า Half Way ซึ่งเป็นจุดพักที่วิวสวยมาก
Day 4: โหมดเดินๆๆๆ แล้วก็เดิน เราเริ่มเดินจากที่พัก Half Way ผ่านแนวเขาแนวแม่น้ำ ที่ทางไกด์บอกว่า ฝั่งที่เราอยู่คือ Shangri-la ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็น Lijiang วันนี้เน้นเดินเบาๆ ประมาณ 6 ชั่วโมง พอพ้นแนวเขาแล้ว ก็มีรถมารับเข้าสู่หมู่บ้าน Haba Village เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวเดินขึ้น Base 1 และ Base 2 ต่อไป
Day 5: Going up to Base 1 วันนี้ไกด์บอกเดินไม่เยอะ ออกสายหน่อยได้ ก็ออกกันประมาณเกือบๆ สิบโมง รถมารับจาก Haba Village ไปที่ตีนเขา ก่อนออกเดินเท้ามีการมอบผ้าเป็นที่ระลึก น่าจะเป็นธรรมเนียมของแถบนี้ เพราะตอนไปเนปาล ภูฏาน ก็มี วันนี้อากาศเย็นสบาย มีฝนตกปรอยๆ แต่ไม่มีแดด พื้นที่ที่เดินผ่านก็จะมีหลากหลาย ทั้งป่า ทุ่งหญ้า ภูเขาหิน ช่วงที่เป็นทุ่งหญ้า สวยเหมือนอยู่นิวซีแลนด์ ที่พักวันนี้เป็นเหมือน shelter ที่เป็นฝาไม้บางๆ ตีเป็นกระโจมหลังเล็กๆ นอนสบายดี วันนี้เดินประมาณแค่ 4 ชม.
Day 6: ความโหดทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ เราต้องเดินประมาณ 6 ชั่วโมงเพื่อให้ถึง Base 2 ซึ่งเป็น Base Camp ก่อนจะขึ้นยอดเขา Haba ทางเดินเริ่มหลากหลายและเริ่มมีทางชันมากขึ้น มีทั้งเดินขึ้นและเดินลง ผ่านทั้งทางก้อนหินและทางที่เป็นเนินราบ โชคดีที่หน้านี้เป็นฤดู Spring ทำให้เราได้เห็นดอกไม้สวยงามมากมายเต็มภูเขาในหลายๆ จุด เดินไปเรื่อยๆ จะเริ่มผ่านจุดที่มองเห็นบอดเขาและจุดที่มีหิมะประปราย ถึงฟ้าจะหม่นแต่ก๋สวยงามไปอีกแบบ เรามาถึง Base Camp ประมาณบ่าย 3 ไกด์ที่นำทางมาตลอด จะแนะนำไกด์ที่จะประกบพวกเราตัวต่อตัวตอนขึ้นเขา และแนะนำเรื่องอุปกรณ์อีกครั้ง รวมไปถึงการวัดไซส์ของ Crampons หรือตัวสวมรองเท้าที่เป็นหนาม สำหรับจิกหิมะ และ Ice Chop หรือตัวเหมือนเคียวเอาไว้สำหรับเป็นไม้เท้าและเป็นตัวจิกหิมะเวลาเราล้มหรือเสียหลัก จากนั้นไกด์ให้กินข้าวแล้วเข้านอน เพราะต้องตื่นตีสองเพื่อเดินขึ้นยอดเขา ที่นอนอย่างที่เห็นเลยคือ เป็น "โรงนอน" ฝาไม้ นอนรวมกันเป็นกลุ่ม
ต่อใน comment นะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้