ผมไม่แน่ใจว่ามีใครเคยได้ยินชื่อ "จังหวัดไตรศิรบุรี" มาก่อนหรือเปล่า แต่ถ้าเปิดแผนที่ประเทศไทยในปัจจุบัน คุณจะไม่มีวันเจอชื่อจังหวัดนี้ในรายชื่อใดๆ ไม่ว่าจะในทะเบียนราชการ, แผนที่การปกครอง หรือแม้แต่ในบทเรียนประวัติศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการ แต่มันกลับเป็นชื่อที่ผมได้ยินมาจากชาวบ้านผู้เฒ่าคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่ริมท่าน้ำเกาะยอ จังหวัดสงขลา ในตอนที่ฟ้ายังสลัวอยู่ และเรื่องราวของเขาก็ทำให้ผมต้องลงมือค้นคว้าหลายเดือน เพื่อยืนยันว่า "มันเคยมีอยู่จริง หรือเป็นแค่ตำนาน"
ทุกอย่างเริ่มจากข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ไม่มีใครใส่ใจนัก เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567 ว่ามีชาวบ้านที่เกาะยอพบหีบไม้เก่าแก่ที่ลอยมาติดกับเสาไม้ใต้ท่าน้ำวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง หีบนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรสำคัญ เป็นแค่ไม้เก่าๆ ที่มีคราบน้ำทะเลเกาะทั่ว แต่เมื่อเปิดออก กลับพบของบางอย่างที่น่าตกใจ ภาพถ่ายขาวดำสีน้ำตาลจำนวนมาก แผนที่แบบร่างด้วยมือ ป้ายสนามบิน เครื่องแบบแอร์โฮสเตส และจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนว่า “จาก...สนามบินไตรศิรบุรี” คำๆ นี้สะกิดใจผม เพราะไม่เคยมีสนามบินชื่อนี้ในประวัติศาสตร์การบินไทย
ผมจึงเริ่มลงพื้นที่ และได้พบหญิงชราท่านหนึ่งในเกาะยอ ชื่อ "ยายเป้" ผู้คนเรียกเธอว่า "คนที่อยู่มานานที่สุดของเกาะนี้" ยายเป้เล่าว่า สมัยสาวๆ เธอเคยเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินชื่อ “แอร์ สยามเวย์” สายการบินที่ไม่มีอยู่ในบันทึกของกรมการบินพลเรือน และเธอบอกว่าเธอบินออกจากสนามบินแห่งหนึ่งที่ “ไม่มีอยู่แล้ว” ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2524 นั่นเป็นเที่ยวบินสุดท้ายที่สนามบินแห่งนั้นยังทำการบิน และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ทุกอย่างก็หายไปทั้งจังหวัด
สนามบินไตรศิรบุรี ตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งกลางอ่าวไทย ห่างจากแผ่นดินใหญ่ฝั่งสงขลาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 318.84 กิโลเมตร เกาะนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร เทียบได้กับเกาะช้าง แต่มีภูมิประเทศที่ไม่เหมือนใคร ด้านหนึ่งเป็นผาสูงชัน อีกด้านเป็นชายหาดยาว มีลำธารสายเล็กไหลมาจากยอดเขา สนามบินตั้งอยู่บนที่ราบริมทะเล ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ และมีทางขึ้นเขาเล็กๆ ที่สามารถมองเห็นรันเวย์ได้เต็มสายตา ตัวรันเวย์ยาว 2.9 กิโลเมตร พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ใช้งานได้แม้ในฤดูมรสุม มีหลุมจอดจำนวน 8 หลุมวางขนานไปกับรันเวย์โดยเว้นระยะห่างแบบเดียวกับที่เราเห็นในสนามบินนราธิวาสในปัจจุบัน
อาคารผู้โดยสารของสนามบินไตรศิรบุรี เป็นอาคารไม้สองชั้น สไตล์คลาสสิกยุค 70 สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ด้านบนเป็นหอบังคับการบินแบบครึ่งกระจกมองเห็นวิวทะเล ด้านล่างเป็นพื้นที่รับผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก ห้องพักรอ และเคาน์เตอร์เช็กอินขนาดเล็ก ทุกอย่างดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่บอกเล่าช่วงเวลาแห่งอดีต
สายการบินที่ใช้สนามบินแห่งนี้เป็นหลักคือ แอร์ สยามเวย์ (Air Siamway) สายการบินเอกชนไทยที่แทบไม่มีใครรู้จักในปัจจุบัน พวกเขามีฝูงบินตั้งแต่ Boeing 727, 737, 707 ลำตัวแคบ เครื่องยนต์คู่ หรือสามเครื่องยนต์ ขึ้นลงจากสนามบินนี้เป็นประจำ จุดหมายปลายทางครอบคลุมตั้งแต่กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต ไปจนถึงปีนัง ฮ่องกง และไทเป สีลำตัวของเครื่องบินถูกวาดด้วยลวดลายมังกรไทย ผสมศิลปะลายประมงไทยแบบพื้นบ้าน ทำให้เครื่องบินเหล่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นยิ่งกว่าสายการบินใดในยุคนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้สนามบินนี้แตกต่างจากสนามบินอื่นคือ “เกาะทั้งเกาะ” ที่มันตั้งอยู่ ชาวประมงพื้นบ้านบางคนเชื่อว่าเกาะนี้ไม่ใช่แผ่นดินธรรมดา แต่เป็น “ร่างจำศีล” ของพญานาคที่หลับใหลมาแล้ว 50 ล้านปี ตามตำนานในท้องถิ่น พญานาคจะตื่นจากหลับทุก 5 หมื่นปี และเมื่อถึงเวลานั้น อะไรที่ถูกสร้างอยู่เหนือร่างของเขาจะต้องหายไป ยายเป้เล่าว่าในเที่ยวบินสุดท้ายที่เธอบินออกมาได้ เธอรู้สึกถึงแรงสั่นจากพื้นแผ่นดิน เหมือนบางสิ่งกำลังพลิกตัวใต้โลก เธอหันกลับไปมองทะเลผ่านหน้าต่างเครื่องบิน และเห็นเงาดำขนาดใหญ่โผล่ขึ้นใต้ทะเล ก่อนที่คลื่นยักษ์จะกลืนรันเวย์ด้านปลายจนหายไปในไม่กี่นาที
หลังจากนั้น รัฐบาลกลางออกประกาศไม่ให้มีการค้นหา หรือกล่าวถึงเกาะนี้อีกต่อไป ไม่มีการเปิดเผยข่าวสาร ไม่มีการประกาศการสูญหายของประชาชน ไม่มีแม้แต่เอกสารที่ระบุว่าเคยมีจังหวัดนี้อยู่ในระบบราชการ ทั้งทะเบียนราษฎร์ หมายเลขพื้นที่ ไปรษณีย์ หรือแม้แต่รหัสสนามบินก็ไม่เคยถูกบันทึก
หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยทางธรรมชาติ บางคนก็ว่ารัฐบาลต้องการปกปิดความผิดพลาดในการเลือกพื้นที่ก่อสร้างสนามบินโดยไม่ตรวจสอบธรณีวิทยาอย่างรอบคอบ แต่บางคนก็เชื่อว่าพญานาคได้ “ไล่ผู้บุกรุก” ที่ละเมิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการกลืนทั้งจังหวัดลงใต้ท้องทะเลให้กลายเป็นตำนาน
ในบทความนี้ ผมได้นำภาพถ่ายที่บูรณะจากเอกสารภายในหีบ รวมถึงภาพที่ยายเป้เคยเก็บไว้สมัยยังสาวมาเรียงลำดับตามเวลาและสถานที่ บางภาพเป็นมุม Bird-Eye View ของสนามบิน บางภาพเป็นภาพขาวดำซีเปียของเครื่องบิน Air Siamway ที่จอดอยู่หน้าอาคารไม้ บางภาพถ่ายภายในอาคาร Terminal ที่ว่างเปล่าราวกับไม่มีใครกลับมาใช้มันอีก และแน่นอน ภาพสุดท้ายที่น่าตกใจที่สุดคือ ภาพของอาคารเทอร์มินัลที่กำลังจมลงทะเลช้าๆ ในคืนฝนตก ภาพเบลอๆ ที่ดูแล้วรู้สึกเหมือน “สนามบินนี้มีวิญญาณ”
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงตำนานเล่าขาน หรือบางทีอาจเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้ลืมเลือนไปโดยตั้งใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นี่คือภาพที่ผมบูรณะมาได้ทั้งหมดของสนามบินจังหวัดไตรศิรบุรี...จังหวัดที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ไทยอีกต่อไป
คำว่า “ไตรศิร” ในชื่อจังหวัดไตรศิรบุรี มีรากศัพท์จากคำว่า “ไตร” ที่แปลว่า “สาม” และ “ศิร” หรือ “เศียร” ซึ่งหมายถึง “หัว” หรือ “เศียรพญานาค” เมื่อรวมกันจึงหมายถึง “สามเศียร” หรือ “พญานาคสามเศียร” ที่เคยปรากฏในตำนานเก่าแก่ของทะเลใต้
มีตำนานหนึ่งที่ถูกเล่ากันเฉพาะในกลุ่มชาวประมงโบราณระบุว่า บริเวณตอนกลางของอ่าวไทยนั้น เดิมทีเคยเป็น “รังจำศีลของพญานาคยักษ์สามเศียร” ซึ่งเป็นพญานาคผู้ถือศีล ถือสัตย์ อยู่ในภพภูมิที่เงียบสงบกว่าชาวพญานาคทั่วไป พญานาคตนนี้ได้ห่อร่างตนเองลงใต้ท้องทะเล สร้างเกาะทั้งสามเกาะจากเศียรของตนให้โผล่พ้นขึ้นมาเป็นแผ่นดินให้มนุษย์อยู่อาศัย
เกาะทั้งสามรวมกันถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า “ไตรศิรบุรี” หรือ “เมืองแห่งสามเศียร” และกลายเป็นจังหวัดสมมุติที่ไม่มีใครรู้ว่าก่อตั้งมาได้อย่างไร แต่กลับมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ สนามบิน อาคารไม้ และประชากรหลายหมื่นคนราวกับผุดขึ้นมาโดยไม่มีประวัติ
แต่ในตำนานก็กล่าวต่อไปว่า พญานาคสามเศียรนั้นจำศีลด้วยพลังแห่งธรรม ไม่เคยต้องการให้ผู้ใดมาสร้างสิ่งใดเหนือร่างตน ยิ่งเป็นสิ่งแข็งกระด้างจากเหล็ก คอนกรีต หรือสนามบินลำใหญ่ที่มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์รบกวนโลกแห่งความสงบ วันหนึ่ง เมื่อมนุษย์ได้สร้างสนามบินไตรศิรบุรีทับจุดสำคัญของเศียรที่สาม — เป็นเศียรที่เรียกว่า “ศิรบูรพา” — พญานาคก็เริ่มพลิกตัว
ตามความเชื่อของชาวบ้าน การพลิกตัวของพญานาคนั้นไม่ได้เกิดทันที แต่จะเริ่มจากคลื่นเล็ก ๆ เสียงใต้ดินที่ไม่มีใครได้ยิน ก่อนที่วันหนึ่ง พญานาคจะขยับเพื่อย้ายที่จำศีล และเมื่อร่างทั้งร่างของเขาเคลื่อน เกาะที่สร้างอยู่บนเศียรของเขาก็ต้องทรุดตัว จมลงในความลึกของทะเล ไม่มีอะไรหลงเหลือ ไม่แม้แต่ชื่อของมันในทะเบียนราชการ
เรื่องนี้ไม่เคยมีใครยืนยันได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ชื่อ “ไตรศิรบุรี” ก็ยังคงถูกเล่าขานกันในบางวงแคบ — ในหมู่คนเฒ่าคนแก่ ในหมู่พระธุดงค์ที่เคยนั่งสมาธิกลางคลื่น และในหมู่คนไม่กี่คนที่ยังเชื่อว่า...สิ่งที่เคยอยู่กลางทะเล ไม่ได้หายไปไหน มันแค่หลับไปอีกครั้งเท่านั้นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพที่บูรณะจากเอกสารภายในหีบ


[สารคดีลึกลับ] สนามบินไม้กลางทะเล กับจังหวัดที่ไม่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ –หรือทั้งหมดคือรังพญานาคที่ถูกปลุกให้ตื่น?
ทุกอย่างเริ่มจากข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ไม่มีใครใส่ใจนัก เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567 ว่ามีชาวบ้านที่เกาะยอพบหีบไม้เก่าแก่ที่ลอยมาติดกับเสาไม้ใต้ท่าน้ำวัดเล็กๆ แห่งหนึ่ง หีบนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรสำคัญ เป็นแค่ไม้เก่าๆ ที่มีคราบน้ำทะเลเกาะทั่ว แต่เมื่อเปิดออก กลับพบของบางอย่างที่น่าตกใจ ภาพถ่ายขาวดำสีน้ำตาลจำนวนมาก แผนที่แบบร่างด้วยมือ ป้ายสนามบิน เครื่องแบบแอร์โฮสเตส และจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนว่า “จาก...สนามบินไตรศิรบุรี” คำๆ นี้สะกิดใจผม เพราะไม่เคยมีสนามบินชื่อนี้ในประวัติศาสตร์การบินไทย
ผมจึงเริ่มลงพื้นที่ และได้พบหญิงชราท่านหนึ่งในเกาะยอ ชื่อ "ยายเป้" ผู้คนเรียกเธอว่า "คนที่อยู่มานานที่สุดของเกาะนี้" ยายเป้เล่าว่า สมัยสาวๆ เธอเคยเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินชื่อ “แอร์ สยามเวย์” สายการบินที่ไม่มีอยู่ในบันทึกของกรมการบินพลเรือน และเธอบอกว่าเธอบินออกจากสนามบินแห่งหนึ่งที่ “ไม่มีอยู่แล้ว” ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2524 นั่นเป็นเที่ยวบินสุดท้ายที่สนามบินแห่งนั้นยังทำการบิน และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ทุกอย่างก็หายไปทั้งจังหวัด
สนามบินไตรศิรบุรี ตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งกลางอ่าวไทย ห่างจากแผ่นดินใหญ่ฝั่งสงขลาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 318.84 กิโลเมตร เกาะนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร เทียบได้กับเกาะช้าง แต่มีภูมิประเทศที่ไม่เหมือนใคร ด้านหนึ่งเป็นผาสูงชัน อีกด้านเป็นชายหาดยาว มีลำธารสายเล็กไหลมาจากยอดเขา สนามบินตั้งอยู่บนที่ราบริมทะเล ล้อมรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ และมีทางขึ้นเขาเล็กๆ ที่สามารถมองเห็นรันเวย์ได้เต็มสายตา ตัวรันเวย์ยาว 2.9 กิโลเมตร พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก ใช้งานได้แม้ในฤดูมรสุม มีหลุมจอดจำนวน 8 หลุมวางขนานไปกับรันเวย์โดยเว้นระยะห่างแบบเดียวกับที่เราเห็นในสนามบินนราธิวาสในปัจจุบัน
อาคารผู้โดยสารของสนามบินไตรศิรบุรี เป็นอาคารไม้สองชั้น สไตล์คลาสสิกยุค 70 สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ด้านบนเป็นหอบังคับการบินแบบครึ่งกระจกมองเห็นวิวทะเล ด้านล่างเป็นพื้นที่รับผู้โดยสารขาเข้า-ขาออก ห้องพักรอ และเคาน์เตอร์เช็กอินขนาดเล็ก ทุกอย่างดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่บอกเล่าช่วงเวลาแห่งอดีต
สายการบินที่ใช้สนามบินแห่งนี้เป็นหลักคือ แอร์ สยามเวย์ (Air Siamway) สายการบินเอกชนไทยที่แทบไม่มีใครรู้จักในปัจจุบัน พวกเขามีฝูงบินตั้งแต่ Boeing 727, 737, 707 ลำตัวแคบ เครื่องยนต์คู่ หรือสามเครื่องยนต์ ขึ้นลงจากสนามบินนี้เป็นประจำ จุดหมายปลายทางครอบคลุมตั้งแต่กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต ไปจนถึงปีนัง ฮ่องกง และไทเป สีลำตัวของเครื่องบินถูกวาดด้วยลวดลายมังกรไทย ผสมศิลปะลายประมงไทยแบบพื้นบ้าน ทำให้เครื่องบินเหล่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นยิ่งกว่าสายการบินใดในยุคนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้สนามบินนี้แตกต่างจากสนามบินอื่นคือ “เกาะทั้งเกาะ” ที่มันตั้งอยู่ ชาวประมงพื้นบ้านบางคนเชื่อว่าเกาะนี้ไม่ใช่แผ่นดินธรรมดา แต่เป็น “ร่างจำศีล” ของพญานาคที่หลับใหลมาแล้ว 50 ล้านปี ตามตำนานในท้องถิ่น พญานาคจะตื่นจากหลับทุก 5 หมื่นปี และเมื่อถึงเวลานั้น อะไรที่ถูกสร้างอยู่เหนือร่างของเขาจะต้องหายไป ยายเป้เล่าว่าในเที่ยวบินสุดท้ายที่เธอบินออกมาได้ เธอรู้สึกถึงแรงสั่นจากพื้นแผ่นดิน เหมือนบางสิ่งกำลังพลิกตัวใต้โลก เธอหันกลับไปมองทะเลผ่านหน้าต่างเครื่องบิน และเห็นเงาดำขนาดใหญ่โผล่ขึ้นใต้ทะเล ก่อนที่คลื่นยักษ์จะกลืนรันเวย์ด้านปลายจนหายไปในไม่กี่นาที
หลังจากนั้น รัฐบาลกลางออกประกาศไม่ให้มีการค้นหา หรือกล่าวถึงเกาะนี้อีกต่อไป ไม่มีการเปิดเผยข่าวสาร ไม่มีการประกาศการสูญหายของประชาชน ไม่มีแม้แต่เอกสารที่ระบุว่าเคยมีจังหวัดนี้อยู่ในระบบราชการ ทั้งทะเบียนราษฎร์ หมายเลขพื้นที่ ไปรษณีย์ หรือแม้แต่รหัสสนามบินก็ไม่เคยถูกบันทึก
หลายคนเชื่อว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยทางธรรมชาติ บางคนก็ว่ารัฐบาลต้องการปกปิดความผิดพลาดในการเลือกพื้นที่ก่อสร้างสนามบินโดยไม่ตรวจสอบธรณีวิทยาอย่างรอบคอบ แต่บางคนก็เชื่อว่าพญานาคได้ “ไล่ผู้บุกรุก” ที่ละเมิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยการกลืนทั้งจังหวัดลงใต้ท้องทะเลให้กลายเป็นตำนาน
ในบทความนี้ ผมได้นำภาพถ่ายที่บูรณะจากเอกสารภายในหีบ รวมถึงภาพที่ยายเป้เคยเก็บไว้สมัยยังสาวมาเรียงลำดับตามเวลาและสถานที่ บางภาพเป็นมุม Bird-Eye View ของสนามบิน บางภาพเป็นภาพขาวดำซีเปียของเครื่องบิน Air Siamway ที่จอดอยู่หน้าอาคารไม้ บางภาพถ่ายภายในอาคาร Terminal ที่ว่างเปล่าราวกับไม่มีใครกลับมาใช้มันอีก และแน่นอน ภาพสุดท้ายที่น่าตกใจที่สุดคือ ภาพของอาคารเทอร์มินัลที่กำลังจมลงทะเลช้าๆ ในคืนฝนตก ภาพเบลอๆ ที่ดูแล้วรู้สึกเหมือน “สนามบินนี้มีวิญญาณ”
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงตำนานเล่าขาน หรือบางทีอาจเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้ลืมเลือนไปโดยตั้งใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นี่คือภาพที่ผมบูรณะมาได้ทั้งหมดของสนามบินจังหวัดไตรศิรบุรี...จังหวัดที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ไทยอีกต่อไป
คำว่า “ไตรศิร” ในชื่อจังหวัดไตรศิรบุรี มีรากศัพท์จากคำว่า “ไตร” ที่แปลว่า “สาม” และ “ศิร” หรือ “เศียร” ซึ่งหมายถึง “หัว” หรือ “เศียรพญานาค” เมื่อรวมกันจึงหมายถึง “สามเศียร” หรือ “พญานาคสามเศียร” ที่เคยปรากฏในตำนานเก่าแก่ของทะเลใต้
มีตำนานหนึ่งที่ถูกเล่ากันเฉพาะในกลุ่มชาวประมงโบราณระบุว่า บริเวณตอนกลางของอ่าวไทยนั้น เดิมทีเคยเป็น “รังจำศีลของพญานาคยักษ์สามเศียร” ซึ่งเป็นพญานาคผู้ถือศีล ถือสัตย์ อยู่ในภพภูมิที่เงียบสงบกว่าชาวพญานาคทั่วไป พญานาคตนนี้ได้ห่อร่างตนเองลงใต้ท้องทะเล สร้างเกาะทั้งสามเกาะจากเศียรของตนให้โผล่พ้นขึ้นมาเป็นแผ่นดินให้มนุษย์อยู่อาศัย
เกาะทั้งสามรวมกันถูกตั้งชื่อในภายหลังว่า “ไตรศิรบุรี” หรือ “เมืองแห่งสามเศียร” และกลายเป็นจังหวัดสมมุติที่ไม่มีใครรู้ว่าก่อตั้งมาได้อย่างไร แต่กลับมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ สนามบิน อาคารไม้ และประชากรหลายหมื่นคนราวกับผุดขึ้นมาโดยไม่มีประวัติ
แต่ในตำนานก็กล่าวต่อไปว่า พญานาคสามเศียรนั้นจำศีลด้วยพลังแห่งธรรม ไม่เคยต้องการให้ผู้ใดมาสร้างสิ่งใดเหนือร่างตน ยิ่งเป็นสิ่งแข็งกระด้างจากเหล็ก คอนกรีต หรือสนามบินลำใหญ่ที่มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์รบกวนโลกแห่งความสงบ วันหนึ่ง เมื่อมนุษย์ได้สร้างสนามบินไตรศิรบุรีทับจุดสำคัญของเศียรที่สาม — เป็นเศียรที่เรียกว่า “ศิรบูรพา” — พญานาคก็เริ่มพลิกตัว
ตามความเชื่อของชาวบ้าน การพลิกตัวของพญานาคนั้นไม่ได้เกิดทันที แต่จะเริ่มจากคลื่นเล็ก ๆ เสียงใต้ดินที่ไม่มีใครได้ยิน ก่อนที่วันหนึ่ง พญานาคจะขยับเพื่อย้ายที่จำศีล และเมื่อร่างทั้งร่างของเขาเคลื่อน เกาะที่สร้างอยู่บนเศียรของเขาก็ต้องทรุดตัว จมลงในความลึกของทะเล ไม่มีอะไรหลงเหลือ ไม่แม้แต่ชื่อของมันในทะเบียนราชการ
เรื่องนี้ไม่เคยมีใครยืนยันได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ชื่อ “ไตรศิรบุรี” ก็ยังคงถูกเล่าขานกันในบางวงแคบ — ในหมู่คนเฒ่าคนแก่ ในหมู่พระธุดงค์ที่เคยนั่งสมาธิกลางคลื่น และในหมู่คนไม่กี่คนที่ยังเชื่อว่า...สิ่งที่เคยอยู่กลางทะเล ไม่ได้หายไปไหน มันแค่หลับไปอีกครั้งเท่านั้นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้