👨‍⚕️หมอตายเพราะทำงานหนักเกินไป 'สหภาพแพทย์' ชี้ระบบสาธารณสุขไทยใกล้ล่มสลาย


จากรายงานของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง การสูญเสียข้าราชการพลเรือนสามัญ ในปีงบประมาณ 2566 โดยมีการระบุว่า กระทรวงสาธารณสุข( สธ.) มีการสูญเสียกำลังคนสูงที่สุด ที่ 9,308 คน โดยเป็นการลาออก 5,268 คน, เกษียณ ​3,843 คน, เสียชีวิต ​188 ​คน และผิดวินัย ​9 ​คน

ในขณะที่ผลการสำรวจความคิดเห็นของแพทย์ที่มีประสบการณ์ในระบบสาธารณสุขของรัฐ โดยสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน พบว่าแพทย์กว่าครึ่งในระบบของภาครัฐทุกสังกัด “พร้อมจะลาออกทันที หากมีโอกาส”

หมอจอย-พญ.ชลทิพย์ ธีระชาติสกุล ตัวแทนสหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงานกล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าสาเหตุหลักนั้นมาจากภาระงานที่หนักของแพทย์ ซึ่งเป็นผลจากนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยที่ผลักดันให้บุคลากรทางการแพทย์ สธ. เป็นผู้รับผิดชอบหลักแต่เพียงฝ่ายเดียว

ทั้งที่นโยบาย และหลายปัญหาที่ต้องการการแก้ไขเป็นปัญหาของสังคมโดยรวม และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่ให้บุคลากรทางการแพทย์รับผิดชอบอยู่ฝ่ายเดียว เช่น ปัญหาเด็กเกิดน้อย ซึ่งสาเหตุหลักมาจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ไม่ใช่ปัญหาอนามัยเจริญพันธุ์โดยตรง

นอกจากนี้ การลาออกของบุคลากรทางการแพทย์สาขาอื่น ๆ ทำให้แพทย์ต้องทำงานหนักขึ้น และการเติมคนใหม่ก็ใช้เวลานาน

ส่วนสาเหตุที่แพทย์ลาออกไปทำงานในภาคเอกชนนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องค่าตอบแทนและภาระงานที่น้อยลง แต่เป็นเพราะภาคเอกชนมีทีมสนับสนุนและเครื่องมือที่พร้อมกว่า ทำให้แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขในการทำงาน

ในขณะที่นโยบายของ สธ. ก็ไปเน้นที่การผลิตบุคลากรแพทย์ ซึ่งผลิดได้ปีละ 3,000 คน เพื่อชดเชยการลาออกปีละ 1,000 คน แต่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการลดการลาออกของแพทย์ที่มีอยู่ในระบบ

และจากรายงานของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่ระบุว่าในปีงบประมาณ 2566 มีบุคลากรเสียชีวิต 188 คนนั้น ถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจ และสะท้อนให้เห็นถึงความเสียสละที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญอย่างหนักหน่วง

เนื่องจากบุคลากรที่เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งเป็นวัยที่ไม่ควรเสียชีวิต สะท้อนว่าพวกเขาอาจทำงานหนักจนเกินไป จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของตนเองซึ่งทำให้ป่วย และเสียชีวิตแทนที่จะได้ทำหน้าที่รักษาชีวิตผู้อื่น

ซึ่งนี่เป็นปัญหาเดิม ๆ ที่เป็นสาเหตุของการทำงานหนัก และยังไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้เกิดคำถามว่าจะต้องเสียสละไปอีกเท่าไหร่ และบุคลากรทางการแพทย์จะต้องแบกรับภาระนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน

“แต่เราจะเสียสละกันได้อีกเท่าไหร่ เพราะปัญหาเดิมไม่ได้ถูกแก้ไขเลย หรือเราต้องเสียสละไปเรื่อยๆ เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แล้วหมอจะแบกปัญหาการทำงานแบบนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน เราจะตั้งคำถามกันได้บ้างหรือไม่ เพราะข้าราชการ สธ. ต้องเสียเลือดเสียเนื้อให้กับระบบสุขภาพกันมากขนาดนี้แล้ว” กล่าว

นอกจากนี้ ตัวเลขการลาออกที่สูงถึง 5,268 คน ก็เป็นอีกภาพสะท้อนของความเสียสละที่บุคลากรทางการแพทย์เลือกที่จะออกจากระบบเพื่อรักษาสุขภาพกายและใจของตนเอง

สำหรับแนวทางการเพิ่มค่าตอบแทนให้บุคลากรทางการแพทย์นั้น พญ.ชลทิพย์ กล่าวว่านี่เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ และไม่มีความยั่งยืน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เหมือน "เอาเงินฟาดลงมาแล้วให้จบกันไป" ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุของปัญหาภาระงานหนักและสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

วิธีการนี้ อาจช่วยให้บุคลากรมีกำลังใจและยืดระยะเวลาการทำงานในระบบได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด และสิ่งที่สำคัญกว่าการเพิ่มค่าตอบแทนในระยะยาวคือ การที่ผู้ใหญ่ ผู้บริหารระดับนโยบาย และผู้บังคับบัญชา จะต้องรับฟังความคิดเห็นของแพทย์ที่อยู่หน้างานอย่างจริงใจ และร่วมลำบากไปกับพวกเขา ไม่ใช่เพียงแค่สร้างความลำบากเพิ่มขึ้น

พญ.ชลทิพย์ กล่าวว่า สิ่งที่สหภาพแพทย์ฯ พยายามขับเคลื่อนในเรื่องการจัดสรรภาระงานและความขาดแคลนบุคลากร ไม่ได้ทำเพื่อความสะดวกสบายของบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ระบบสาธารณสุขล่มสลายในอนาคต

ซึ่งถึงแม้ว่าระบบสาธารณสุขไทยจะได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติว่าดีกว่าอีกหลายประเทศ และติดอันดับโลก แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น บุคลากรทางการแพทย์ต้องแบกรับภาระงานหนักและมีคุณภาพชีวิตที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ เบื้องหลังความสำเร็จของระบบสาธารณสุขของไทยนั้นยังต้องพึ่งพาการระดมทุนและการบริจาคเพื่อจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ และความเสียสละอย่างมากของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งต้องลงทุนทั้งแรงกายและแรงใจเพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนี่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงมีอยู่


ที่มา : The Structure
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่