เปิดอาณาจักรเนสกาแฟ 1.7 หมื่นล้าน ข้อพิพาทเนสท์เล่-ตระกูลมหากิจศิริ และ “เนสท์เล่” ร่อนแถลงการณ์

เจาะลึก 'เนสกาแฟ' ธุรกิจกาแฟ 1.7 หมื่นล้านที่ร่วมทุนมายาวนาน 30 ปี พร้อมเปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นและผลประกอบการ QCP หลังศาลแพ่งมีนบุรีสั่งห้ามเนสท์เล่ผลิตและจำหน่ายเนสกาแฟในไทยหลังข้อพิพาทกับตระกูลมหากิจศิริ
ข้อพิพาทระหว่าง "เนสท์เล่" บริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ระดับโลก กับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ภายใต้การนำของตระกูล "มหากิจศิริ" กำลังส่งผลกระทบต่ออาณาจักรกาแฟภายใต้แบรนด์ Nescafé (เนสกาแฟ)  มูลค่ากว่า 1.7 หมื่นล้านบาทในประเทศไทย

คำสั่งห้ามจากศาลแพ่งมีนบุรี
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ศาลแพ่งมีนบุรีได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย

คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ QCP ยื่นฟ้องต่อศาล ภายหลังที่เนสท์เล่ได้แจ้งยุติสัญญาการให้สิทธิในการผลิตเนสกาแฟกับ QCP ในปี 2564 ซึ่งการยุติสัญญาดังกล่าวได้ถูกรับรองโดยศาลอนุญาโตตุลาการสากลว่ามีผลทางกฎหมายตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567

ความสัมพันธ์ 30 ปี ระหว่างเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริ
ตั้งแต่ปี 2533 จนถึงปี 2567 ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ถูกผลิตในประเทศไทยผ่าน QCP ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่และตระกูลมหากิจศิริ โดยมี "ประยุทธ มหากิจศิริ" เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น

ภายใต้สัญญาการร่วมทุนนี้ เนสท์เล่มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟนั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่

ผลประกอบการของ QCP
บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2532 ด้วยทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท โดยมีผลประกอบการดังนี้:
ปี 2566: รายได้รวม 17,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากปี 2565
กำไรสุทธิปี 2566: 3,067 ล้านบาท ลดลง 9.8% จากปี 2565
กำไรสุทธิปี 2565: 3,403 ล้านบาท
กำไรสุทธิสูงสุดในปี 2564: 3,704 ล้านบาท
ต้นทุนและค่าใช้จ่ายในปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.7% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของรายได้ ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงเป็น 3,831 ล้านบาทจาก 4,254 ล้านบาทในปี 2565

โครงสร้างผู้ถือหุ้น QCP
บริษัทมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท แบ่งเป็น 50 ล้านหุ้น โดยมีผู้ถือหุ้น 6 ราย ได้แก่:
นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ถือหุ้น 41.80% (20.9 ล้านหุ้น)
เนสท์เล่ เอส.เอ สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ถือหุ้น 30.00% (15 ล้านหุ้น)
วิโทรปา เอส.เอ สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ถือหุ้น 19.00% (9.5 ล้านหุ้น)
นางสุวิมล มหากิจศิริ ถือหุ้น 5.00% (2.5 ล้านหุ้น)
นายประยุทธ มหากิจศิริ ถือหุ้น 3.20% (1.6 ล้านหุ้น)
บริษัท เนสท์เล่เทรดดิ้ง ประเทศไทย จำกัด ถือหุ้น 1.00% (0.5 ล้านหุ้น)

คณะกรรมการบริษัทประกอบด้วย 7 คน ได้แก่ นายประยุทธ มหากิจศิริ, นางสุวิมล มหากิจศิริ, นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ, นางสาวอุษณา มหากิจศิริ, นายรามอน เมนดิวิล กิล, พันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากร และนายสุวิทย์ คำดี




“เนสท์เล่” ร่อนแถลงการณ์ หลังศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต ขาย นำเข้า “เนสกาแฟ” ในไทย

‘เนสท์เล่’ ออกแถลงการณ์ หลังศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต ขาย นำเข้า "เนสกาแฟ" ในไทย เผยกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อขอเพิกถอนคำสั่ง

‘เนสท์เล่’ ออกแถลงการณ์ หลังศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามผลิต-ว่าจ้างผลิต-จำหน่าย และนำเข้า ผลิตภัณฑ์แบรนด์ ‘เนสกาแฟ’ ในประเทศไทย ระบุว่า เนสท์เล่ ห่วงใยผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกรไทย และคู่ค้าซัพพลายเออร์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราว ในการห้ามผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์แบรนด์ Nescafé ในประเทศไทย

เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ ได้ยุติสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนแบบ 50/50 ระหว่างเนสท์เล่ และตระกูลมหากิจศิริ ซึ่งมีคุณประยุทธ มหากิจศิริ เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น โดย ผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ ได้ผลิตในประเทศไทย ผ่านบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 จนถึง พ.ศ.2567 การยุติสัญญาดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายโดยคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยมีผลเป็นการเลิกสัญญาตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2567 ภายใต้สัญญาการร่วมทุนนี้ เนสท์เล่ มีอำนาจในการบริหารงาน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมทั้งการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตเนสกาแฟนั้นเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่

ภายหลังการยุติสัญญา ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ทั้งสองฝ่าย ไม่สามารถตกลงเรื่องการดำเนินงานในอนาคตของบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด ในช่วงเดือนมีนาคม ถึง เมษายน ปี พ.ศ. 2568 นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ ได้ฟ้องร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี เพื่อดำเนินคดีแพ่งกับบริษัทในเครือเนสท์เล่ และกรรมการ และเมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 ศาลแพ่งมีนบุรี ได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้เนสท์เล่ ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ดำเนินการผลิต ว่าจ้างผลิต จำหน่าย และนำเข้าผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป โดยใช้เครื่องหมายการค้า Nescafé ในประเทศไทย โดยที่เนสท์เล่ยังไม่มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งดังกล่าว แต่เนสท์เล่ก็ให้ความเคารพต่อกฎหมายและได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฉบับนี้

โดยเนสท์เล่ได้ออกหนังสือแจ้งลูกค้า อันได้แก่ ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2568 ให้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และแจ้งว่าบริษัทฯ จะไม่สามารถรับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจากร้านค้าเหล่านี้ได้ โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบภายหลัง ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ร้านค้าปลีกที่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอยู่ในร้าน ยังสามารถจำหน่ายได้ตามปกติ

เนสท์เล่ มีความกังวลอย่างยิ่งถึงผลกระทบอันใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นจากคำสั่งศาลนี้ ซึ่งจะส่งผลในการสูญเสียรายได้ของผู้ประกอบการรายย่อย รวมทั้งร้านกาแฟขนาดเล็ก รถเข็นขายกาแฟที่จะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟจำหน่าย และการปรับเปลี่ยนสูตรการชงและวัตถุดิบที่ใช้ ยังอาจส่งผลต่อรสชาติที่เปลี่ยนไป ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ประจำวันของผู้ประกอบการรายย่อยเหล่านี้ อีกทั้งยังส่งผลต่อการขาดรายได้ของพนักงานของลูกค้าและคู่ค้าซัพพลายเออร์ในห่วงโซ่ของเนสกาแฟที่เคยสามารถจัดส่งวัตถุดิบต่างๆ ให้กับเนสกาแฟแต่ต้องหยุดชะงักลง รวมไปถึงเกษตรกรไทยผู้เพาะปลูกกาแฟและเกษตรกรโคนมไทย จะไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตเพื่อเป็นวัตดุดิบให้เนสกาแฟ เนื่องจากคำสั่งศาลห้ามผลิต และว่าจ้างผลิต เนสกาแฟในประเทศไทย ในทุกๆ ปี เนสกาแฟรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบพันธุ์โรบัสต้าในปริมาณมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตทั้งหมดที่ปลูกได้ประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้บริโภคจำนวนหลายล้านคนในประเทศไทย และผู้บริโภคในตลาดส่งออกของเนสกาแฟจะไม่มีผลิตภัณฑ์เนสกาแฟดื่ม

เนสท์เล่ จะดำเนินการอย่างเต็มที่ในการแก้ไขสถานการณ์นี้ และกำลังดำเนินการยื่นคำร้องคัดค้าน เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าวต่อศาล พร้อมยื่นข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ศาลแพ่งมีนบุรีเพื่อการพิจารณาคำร้อง

ทั้งนี้ เนสท์เล่ มุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างยั่งยืน เนสท์เล่จำหน่ายผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ ในประเทศไทยมานานกว่า 130 ปีแล้ว และได้ลงทุนกว่า 22,800 ล้านบาทในประเทศไทย ในระหว่างปี พ.ศ. 2561-2567 โดยเนสท์เล่ยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และคู่ค้าของเรา...

สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4591110/

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่