การอภิวัฒน์การศึกษาในปี 2538 มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การศึกษาของประเทศไทย

กระทู้สนทนา
การอภิวัฒน์การศึกษาในปี 2538 มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การศึกษาของประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่มรายได้ของครัวเรือนในหลายภูมิภาค แม้จะมีวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 หรือที่เรียกกันว่าภาวะวิกฤตต้มยำกุ้ง การลงทุนในทุนมนุษย์ผ่านการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานของระบบการศึกษากลับส่งผลบวกต่อรายได้ครัวเรือนในระยะยาวได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้:

การเปรียบเทียบรายได้ครัวเรือนตามภูมิภาค (2533-2543)

ภาคกลาง มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 123.31%
ภาคใต้ เพิ่มขึ้น 116.00%
กรุงเทพฯและปริมณฑล เพิ่มขึ้น 115.30%
ภาคเหนือ เพิ่มขึ้น 83.34%
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่มขึ้น 77.28%


การเพิ่มขึ้นของรายได้ครัวเรือนในแต่ละภูมิภาคแสดงให้เห็นถึงผลบวกจากการพัฒนาโครงสร้างการศึกษา โดยเฉพาะในภาคกลางที่มีการเพิ่มขึ้นสูงสุด ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางการศึกษาและการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาทั่วประเทศในช่วงเวลานั้น
การอภิวัฒน์การศึกษาในปี 2538 และผลกระทบในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (วิกฤตต้มยำกุ้ง)

ในปี 2538 การอภิวัฒน์การศึกษาทั่วประเทศมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการขยายโอกาสในการเรียนรู้ โดยเฉพาะการสร้างโรงเรียน ศูนย์การเรียนรู้ ห้องสมุด และศูนย์วิทยาศาสตร์ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในทุกภูมิภาคมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและพัฒนาความรู้ใหม่ ๆ ที่จะช่วยยกระดับทักษะในการทำงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดแรงงาน

ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศหดตัว แต่รายได้ของครัวเรือนกลับมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากการปฏิรูปการศึกษา เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่รายได้เติบโตอย่างโดดเด่นถึง 115.30% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนในด้านการศึกษามีบทบาทในการสร้าง "อาวุธทางปัญญา" ให้กับประชาชน สามารถช่วยให้พวกเขามีความสามารถในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่

สรุปผลกระทบจากการอภิวัฒน์การศึกษา:

การเพิ่มรายได้ครัวเรือน: การอภิวัฒน์การศึกษาช่วยให้ประชาชนในทุกภูมิภาคสามารถเพิ่มทักษะและความสามารถในการทำงาน ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แม้จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

การลดความเหลื่อมล้ำ: แม้ว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีรายได้ต่ำสุดในปี 2533 แต่ก็ยังมีการเติบโตอย่างชัดเจน (77.28%) แสดงถึงการกระจายโอกาสทางการศึกษาในพื้นที่ด้อยโอกาส

ผลกระทบต่อความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจ: ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นในเศรษฐกิจ ทำให้สามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจได้ดี และลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย

โดยสรุป การปฏิรูปการศึกษาในปี 2538 เป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ที่สร้างรากฐานสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว แม้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ แต่ผลกระทบจากการพัฒนาการศึกษาช่วยให้รายได้ครัวเรือนยังคงเติบโต และสร้างความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในอนาคต.

ยุคมืดการบริการ การศึกษา 2504 - 2538




คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ยุคอภิวัฒน์การศึกษา 2538

!


ปี 2542

ปัญหา ผู้ปกครองจน การคมนาคม ไม่สะดวก ลำดับที่ 37 ของโลก


บทความ เดือนกันยายน 2542
คุณตุลย์ ณ ราชดำเนิน ผู้เขียน

15 ปี ปฏิรูปการศึกษาไทย
          เลาะเลียบคลองผดุงฯ
          ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com
          ผ่านมาวันนี้ย่างเข้าสู่เดือนกันยายน 2556 หากนับเอาเดือน สิงหาคม ปี 2542 เป็นวันที่บรรดานักปฏิรูปการศึกษายุคนั้น ประกาศถึงความสำเร็จและภาคภูมิใจที่สามารถผลักดันให้เกิดกฎหมายการศึกษาแห่งชาติ ก่อเกิดคุณอนันต์แก่ประเทศชาติเป็นล้นพ้น อันส่งผลต่อคุณภาพของคนไทยในอนาคต ผ่านมา 15 ปีพอดี

          จากคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกขานกันว่า 9 อรหันต์การศึกษาในสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา ส่วนใหญ่หัวนอกและไม่ยอมฟังเสียงท้วงติงของคนศธ. มั่นใจว่าการปรับโครงสร้างและการ กระจายอำนาจจัดการศึกษา การจัดการเรียนรู้ที่ถือผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และการพัฒนาวิชาชีพครู ตามแนวคิดของตนนั้นถูกต้อง

          นับแต่นั้นมา ศธ.จากที่เคยมีโครงสร้าง 14 กรม ยุบรวมเหลือ 5 องค์กรหลัก คือ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ .) และสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.)

          กระนั้นก็ดียังมีเรื่องที่โต้แย้งและถกเถียงในความเห็นไม่เพียงเรื่องการพัฒนาวิชาชีพครู และเขตพื้นที่การศึกษาจะลงตัวที่จำนวนเท่าไร ตามมาด้วยการศึกษาที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หรือ ไชลด์เซ็นเตอร์

          จากวลีเด็ดของนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ทำเอาคำขวัญวันเด็กของนายกรัฐมนตรี ปี 2545 แทบตกพื้นที่ข่าว คือ การวิจารณ์ถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนไชลด์เซ็นเตอร์ของคุณครู มีสภาพไม่ต่างไปจาก ควายเซ็นเตอร์ เนื่องจากครูไม่เข้าใจและยังไม่มีแหล่งเรียนรู้นอกห้องพอที่จะทำให้เข้าถึงการเรียนรู้ด้วยตนเองได้

          ผ่านไป 7 ปีตรงกับ 23 ส.ค. 2549 สมศ.เปิดผลการออกประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานรอบแรก พ.ศ. 2544-2548 จำนวน 30,010แห่ง ไม่ได้มาตรฐานขั้นต่ำถึง 20,000 แห่ง และอยู่ขั้นโคม่าหรือ ICU กว่า 15,000 แห่ง

          เดือนสิงหาคมที่เพิ่งจะผ่านมาครบ 15 ปี อยากให้ลองทบทวนกันว่า นับแต่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เปลี่ยนรมว.ศธ.และรัฐมนตรีช่วยมาแล้วเท่าใด น่าจะเป็นสถิติสูงสุดในโลก

          ส่วนใหญ่เมื่อมาแล้วมักพยายามสร้างให้มีผลงานใหม่ๆ มั่นใจตนเองถึงความรู้ ความเก่งและเฉลียวฉลาดเหนือกว่าคนการศึกษาที่ทำงานมายาวนาน
          ก็อย่างที่เห็นและเป็นไป 15 ปี ปฏิรูปการศึกษา มีอะไรที่ไปถึงฝั่งอย่างที่คิดกันมั่ง ช่วยบอกที


มกราคม 2567 การศึกษาไทย หลงทางกลางป่าช้า ปี 2001-2024 / 2544 -2567

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ปี 2025/ 2568

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่