the white lotus ถ้าอิงตามคอนเซ็ปแล้ว มันคือการนำตัวละครหลักคนเมกัน ไปเที่ยวต่างประเทศ ภาคแรกฮาวาย สองเป็นอิตาลี สามเป็นที่ไทย ซึ่งไม่ได้แค่ใช้ฉากหลังประเทศนั้นๆไปสั่วๆ แต่ยังใส่แก่น เอกลักษณ์ วิธีคิด บริบทบางอย่างของประเทศนั้น ไปในเรื่องที่เล่าไปอย่างแนบเนียนจนไม่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดจนมากเกินไปอีกด้วย จริงๆซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างดังมากในเมกา ได้รางวัล emmy การันตี.แต่ที่ไทยอาจจะไม่ได้ดังขนาดนั้นจนกระทั่ง ss3 ที่ไทยได้เป็น main location และลิซ่าได้ร่วมแสดงด้วย ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะได้รับความสนใจทั้งจากสื่อไทยและคนไทยด้วยกัน
จุดเด่นนอกจากที่กล่าวไปตอนแรก คงเป็นการเล่นมุกตลกร้าย มีเรื่องหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม เสียดสีคนเมกาได้แบบถึงกึ๋น ซึ่งใน ss นี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยังคงนำจุดเด่นที่ทำได้ดีมาใช้ได้อย่างถูกจังหวะ ทุกตัวละครมีปัญหาเป็นของตัวเอง บางตัวละครเรียนรู้ เข้าใจ และเลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา บางคนปล่อยวาง บางคนก็ไม่สามารถปล่อยวางได้ บางตัวละครก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นในแบบที่ตัวเองเป็น บทสรุปของบางตัวละครที่น่าพูดถึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- ไพเพอร์ ที่เปิดซีซั่นเหมือนจะเป็นฝรั่งที่สนใจศาสนาพุทธแบบสุดโต่ง จนเรื่องเฉลยว่าจริงๆนางโกหกครอบครัวที่เดินทางมาค่อนโลกว่ามาทำธีสิส ทั้งที่จริงๆจะมาดูวัดเพื่อจะอยู่ศึกษาธรรมมะต่ออีกเป็นปี แรกๆคิดว่านางปกติในครอบครัว แต่พอรู้เรื่องนี้เริ่มหมั่นไส้นิดๆ ครอบครัวก็สปอยสุดๆ จนนางได้นอนวัด1คืน ถึงรู้ว่านางอยู่แบบนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเรียกยอมรับหรือค้นพบตัวเองดี ซึ่งก็พอมีตัวอย่างในสังคมไทยนะ คนที่เข้าวัดทำบุญ รู้หมดวัดไหนดัง หลวงพ่อวัดไหนดี ทำแบบผิวเผินแต่ทำเหมือนว่าตัวเองธรรมมะธัมโม ฉันเข้าถึงแก่นแท้ แล้วมาตัดสินหรือไม่ก็เหยียดคนที่ไม่ได้อินเท่าตัวเอง แต่พอพูดถึงหลักธรรมคำสอน การจัดการอารมณ์ซึ่งเป็นแก่นแท้ๆของศาสนาพุทธกลับทำไม่ได้
- ทิโมธี เป็นตัวละครที่ผมเอาใจช่วยมาก บทแทบไม่มีอะไรเลย ไม่ได้มีซีนที่หวือหวามากนัก ยกเว้นซีนโชว์ไข่(ฮา) บทมีแต่เครียด เครียดมาก เครียดชิบอ๋าย จนคนดูอย่างเราเครียดตาม ชื่นชมนักแสดงที่สามารถเล่นบทที่ดูไม่น่าสนใจให้ดูน่าติดตามและมี dynamic ได้ขนาดนี้ เอาจริงบทพูดน้อยมาก แต่เราดันเข้าใจหมดว่าเขาคิดอะไร จะทำแบบนี้เพราะอะไร โดยไม่ต้องพูดออกมา ความตลกร้ายคือเราเห็นตัวละครปิดเรื่องครอบครัวล้มละลาย แต่ในฐานะผู้นำครอบครัวก็ยังต้องคอยแบกรับความคาดหวังของคนนู้นคนนี้ตลอดทั้งเรื่อง จนคิดวิธีจบชีวิตต่างๆนาๆ ดันมาจบที่ผลไม้ในโรงแรม น่าจะเป็นตัวละครที่ชอบที่สุด เพราะได้เห็นพัฒนาการทางความคิดตัวละครอย่างแท้จริง ในการรับมือกับปัญหา และค้นพบอะไรคือสิ่งที่สำคัญกับชีวิตกันแน่ 
- แก๊งสามสาวขาเมาท์ ก็นะในสังคมมันมีแบบนี้จริงๆ ที่จบพอคนใดคนนึงออกจากกลุ่มก็จะโดนเม้า จนสุดท้ายความหมั่นไส้ ความอิจฉาก็ประทุขึ้นมา แต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเอง ผมเหมือนคลื่นทะเลที่โดนพัดเข้า-ออกฝั่งที่พอฟังเหตุผลคนนี้มันก็ดูถูกนะ พออีกฝั่งพูดมันก็ดูถูกเหมือนกัน ในตอนที่ทั้งสามคนเคลียร์ใจกัน ไดอาลอกซึ้งกินใจ ถึงแม้จะจำบทไม่ได้ก็ตาม
- ริก & เชลซี คนที่เล่นบทเชลซี จำชื่อไม่ได้แต่เคยเห็นตอนเล่น sex education ซึ่งบุคลิกก็ไม่ได้ต่างจากเรื่องก่อนมาก เหมือนติดเป็น type casting ไปแล้ว ส่วนตัวถ้าเลือกได้คงอยากได้คนอื่นมาเล่นให้ดูสดใหม่มากกว่า แต่ถ้าการแสดงก็ยังเล่นดีเหมือนเดิม ริก หน้ามองจากดาวอังคารคือดูตัวโกงมากก แต่ซีรีส์ก็มีสับขาหลอกจนเดาไม่ถูกเลย พาร์ทตอนอยู่รีสอร์ทคือบทน่าเบื่อมาก จนอีพี5เป็นต้นไปถึงได้เห็น dynamic ของตัวละครนี้หน่อย
- สุดท้ายคือลิซ่ากับไก่ต๊อก บทไก่ต๊อกนี่ติ๋มมากตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง ดู loser และ simp ในเวลาเดียวกัน ถึงขนาดว่าเจ้านายชมก็ยังต้องมาเล่าให้สาวที่ชอบฟัง ตอนทำปืนหายก็น่าหงุดหงิด ส่วนบทของลิซ่า ที่แฟนคลับคาดหวังเยอะมากว่าต้องเป็นบทที่ impact กับเนื้อเรื่องหลัก ก็โดนซีรีส์สับขาหลอกไปเหมือนกัน แต่ส่วนตัวผมไม่ได้ตั้งความหวังอยู่แล้ว แค่ซีรีส์สนุกก็พอ ในเรื่องการแสดงก็ทำธรรมชาติมากๆแม้จะเป็นเรื่องแรก
ข้อเสียใหญ่ๆคือ slow burn มากๆ ถ้าใครไม่ชินกับแนวนี้หรือไม่เคยดู ss1-2 มาก่อนอาจจะเทซีรีส์กลางทางก็ได้ เพราะต้องบอกตามตรงว่าแนวปูเรื่องนานๆ ไม่ใช่อะไรที่ดูง่ายขนาดนั้น ถ่ายลิง ถ่ายทะเลไปแล้วครึ่งตอน(ฮา) ไหนจะตอนจบที่ก็ไม่ได้เล่าให้เคลียร์ จะว่าจบแบบค้าง (crift hanger) ก็ไม่เชิง ที่บางคนอาจจะหงุดหงิด เพราะไม่เน้นเล่าเคลียร์ แต่บางบริบทก็เว้นที่ให้คนดูไปคิดต่อเอาเอง ไม่ได้ตอบทุกคำถามที่เราสงสัยแน่ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- ครอบครัวทิโมธี จัดการกับปัญหาเรื่องบริษัทยังไงต่อ แต่ประเด็นหลักคือเขาได้พบแสงสว่างว่าจะรับมือกับมันยังไงดี แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นแบบไหน
ไม่ก็การปูเรื่องมาตั้งหลายตอนแต่พอจะใส่กันก็ใส่ไม่สุด ดูกั๊กๆ แบบแค่เนี้ย??? สรุปโดยรวมคือเป็นซีรีย์ที่ใส่ message มาได้ดีมากๆเรื่องนึง เกี่ยวกับความหมายของชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง แต่อาจจะเป็นยาที่สรรพคุณดีแต่กลืนยากไปหน่อย ถ้าใครไม่ได้มีภูมิต้านทางของหนังแนว slowburn หรือการจบแบบให้ไปคิดต่อเอาเอง อาจจะดูไปหงุดหงิดไปได้หรืออาจจะง่วงไป(ฮา)
the white lotus SS3 จบ 8ep ซีรีย์น้ำดีที่อืดอาดแต่ดี
จุดเด่นนอกจากที่กล่าวไปตอนแรก คงเป็นการเล่นมุกตลกร้าย มีเรื่องหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม เสียดสีคนเมกาได้แบบถึงกึ๋น ซึ่งใน ss นี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยังคงนำจุดเด่นที่ทำได้ดีมาใช้ได้อย่างถูกจังหวะ ทุกตัวละครมีปัญหาเป็นของตัวเอง บางตัวละครเรียนรู้ เข้าใจ และเลือกที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา บางคนปล่อยวาง บางคนก็ไม่สามารถปล่อยวางได้ บางตัวละครก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นในแบบที่ตัวเองเป็น บทสรุปของบางตัวละครที่น่าพูดถึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ข้อเสียใหญ่ๆคือ slow burn มากๆ ถ้าใครไม่ชินกับแนวนี้หรือไม่เคยดู ss1-2 มาก่อนอาจจะเทซีรีส์กลางทางก็ได้ เพราะต้องบอกตามตรงว่าแนวปูเรื่องนานๆ ไม่ใช่อะไรที่ดูง่ายขนาดนั้น ถ่ายลิง ถ่ายทะเลไปแล้วครึ่งตอน(ฮา) ไหนจะตอนจบที่ก็ไม่ได้เล่าให้เคลียร์ จะว่าจบแบบค้าง (crift hanger) ก็ไม่เชิง ที่บางคนอาจจะหงุดหงิด เพราะไม่เน้นเล่าเคลียร์ แต่บางบริบทก็เว้นที่ให้คนดูไปคิดต่อเอาเอง ไม่ได้ตอบทุกคำถามที่เราสงสัยแน่ๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่ก็การปูเรื่องมาตั้งหลายตอนแต่พอจะใส่กันก็ใส่ไม่สุด ดูกั๊กๆ แบบแค่เนี้ย??? สรุปโดยรวมคือเป็นซีรีย์ที่ใส่ message มาได้ดีมากๆเรื่องนึง เกี่ยวกับความหมายของชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง แต่อาจจะเป็นยาที่สรรพคุณดีแต่กลืนยากไปหน่อย ถ้าใครไม่ได้มีภูมิต้านทางของหนังแนว slowburn หรือการจบแบบให้ไปคิดต่อเอาเอง อาจจะดูไปหงุดหงิดไปได้หรืออาจจะง่วงไป(ฮา)