สะท้อนทุนจีนที่รุกคืบเข้ามาในไทย รู้จัก ‘ซิน เคอ หยวน’ ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในไทย

Summary
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว นำมาสู่อาคารสตง.ถล่ม การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเหล็กที่ใช้ก่อสร้างบางส่วนไม่ได้มาตรฐานและมาจากบริษัท ‘ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด’ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศไทย มีทุนจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
เส้นทางของบริษัทเหล็กจีนในไทย เริ่มต้นจากที่รัฐบาลจีนสั่งห้ามการใช้เตาหลอมเหนี่ยวนำ (Induction Furnace: IF) ในกระบวนการผลิตเหล็กที่ประเทศจีน เพราะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม และไม่สามารถผลิตเหล็กที่มีคุณภาพได้ บริษัทผลิตเหล็กของจีนหลายเจ้าจึงย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอาเซียน

หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยและใช้กระบวนการผลิตเหล็กแบบ IF และปี 2562 ‘ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด’ มีบริษัทในเครือชื่อ ‘ซิน เคอ หยวน จำกัด’ ซึ่งมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 6,000 ล้านบาท

เหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างในกรุงเทพมหานครถล่มลงมาภายหลังเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 สร้างความตกตะลึงและความสูญเสียอย่างมาก รายงานระบุถึงจำนวนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายที่น่าหดหู่ใจ เพราะส่วนใหญ่เป็นแรงงานก่อสร้าง แรงงานผู้รอดชีวิตก็ยังคงรอคอยการเยียวยาที่ยังไม่ชัดเจน 
สิ่งที่น่าผิดสังเกตคืออาคาร สตง. เป็นอาคารสูงเพียงแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่ได้รับความเสียหายถึงขั้นถล่มลงมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวจุดประกายคำถามมากมายในสังคมเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของการถล่ม ทั้งมาตรฐานการก่อสร้าง และคุณภาพของวัสดุที่นำมาใช้ในการก่อสร้างอาคาร

ในการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร สตง. บางส่วนมาจากบริษัท ‘ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด’ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ในประเทศไทยและมีทุนจีนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ผลการตรวจสอบคุณภาพเหล็กที่เก็บจากซากอาคารพบว่าเหล็กบางส่วน โดยเฉพาะเหล็กข้ออ้อยขนาด 20 มิลลิเมตร และ 32 มิลลิเมตร ไม่ผ่านมาตรฐานด้านแรงดึงและแรงคราก 

นอกจากนี้ ยังพบว่าเหล็กบางส่วนมีน้ำหนักไม่ตรงตามมาตรฐานที่กำหนดและมีส่วนผสมทางเคมีไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมีปริมาณโบรอนมากเกินไป ข่าวดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของบริษัทที่มีทุนจากประเทศจีน
แน่นอนว่าสาเหตุที่ตึก สตง. ถล่ม ไม่ได้มาจากเหล็กเพียงอย่างเดียว จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่านยังระบุมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมกับเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น การออกแบบโครงสร้างของอาคาร กระบวนการก่อสร้างที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และผลกระทบโดยตรงจากแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ทั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงข้อผิดพลาดในการออกแบบ เช่น จำนวนเสาที่ไม่เพียงพอต่อการรับน้ำหนัก และการมีสวนลอยฟ้าบนอาคารที่อาจเพิ่มภาระน้ำหนักมากเกินไป ซึ่งจะต้องติดตามการตรวจสอบต่อไปอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม จุดเริ่มต้นจากการตรวจสอบคุณภาพเหล็กของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ทำให้หลายคนสนใจเส้นทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทสัญชาติจีนแห่งนี้ว่าเป็นมาอย่างไร จึงได้กลายมาเป็นเจ้าใหญ่ครองตลาดเหล็กไทย
ไทยรัฐพลัสชวนสำรวจเส้นทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ตั้งแต่ในประเทศจีนจนถึงการเติบโตเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดเหล็กของประเทศไทย นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอิทธิพลของทุนจีน ต่อมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพในภาคอุตสาหกรรมของไทยด้วย

เส้นทางจากจีนสู่ตลาดเหล็กไทย
แม้ว่าจะยังไม่ปรากฏข้อมูลโดยตรงเกี่ยวกับประวัติการดำเนินงานของบริษัท ซิน เคอ หยวน ในประเทศจีนก่อนปี พ.ศ. 2554 แต่ข้อมูลเริ่มมีความชัดเจนเมื่อบริษัทได้จดทะเบียนก่อตั้งในประเทศไทยในปีดังกล่าว 

มีข้อสังเกตหนึ่งที่อาจเป็นแรงผลักดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตของนายทุนเหล็กจีน คือการที่รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามการใช้เตาหลอมเหนี่ยวนำ (Induction Furnace - IF) ในกระบวนการผลิตเหล็ก รัฐบาลจีนมีนโยบายที่ชัดเจนในการกำจัดการใช้ IF เนื่องจากกระบวนการผลิตดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมและไม่สามารถผลิตเหล็กที่มีคุณภาพได้ ซึ่งบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล เป็นหนึ่งในบริษัทจำนวน 12 แห่งในประเทศไทยที่ยังคงใช้เทคโนโลยี IF ในการผลิต

หลังจากจีนแบนการใช้เตาเหนี่ยวนำหรือกระบวนการผลิตแบบ IF โรงงานผลิตเหล็กสัญชาติจีนจำนวนมากย้ายฐานการผลิตไปอยูที่หลายประเทศในอาเซียน ข้อมูลจากสำนักข่าว BusinessMirror ของฟิลิปปินส์ เผยให้เห็นว่าฟิลิปปินส์เองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากทุนจีนในอุตสาหกรรมเหล็ก เนื่องจากภายหลังที่รัฐบาลจีนประกาศแบนเทคโนโลยี IF กลับมีทุนจีนเข้ามาตั้งโรงงานและผลิตเหล็กด้วยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นจำนวนมาก สำนักข่าวยังระบุอีกด้วยว่าการปล่อยให้ทุนจีนใช้เทคโนโลยีล้าสมัยเหล่านี้ต่อไป เท่ากับยอมรับให้ประเทศเผชิญวิกฤตด้านความปลอดภัยและด้านสิ่งแวดล้อม

ในช่วงเวลาเดียวกัน มีการเพิ่มขึ้นของทุนจีนในอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไทย การไหลบ่าของเงินทุนจีนอาจเป็นผลมาจากนโยบายจีนที่ต้องการลดมลพิษในประเทศ รวมถึงความพยายามของบริษัทจีนในการหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งออกเหล็กจากจีนไปยังประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติที่สำคัญคือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มอบให้โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (Board of Investment - BOI)

บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ได้เติบโตและขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเหล็กของประเทศไทย ทุนจดทะเบียนเริ่มต้นของบริษัทในปี 2554 อยู่ที่ 1.53 พันล้านบาท 

ต่อมา ปี 2562 ได้มีบริษัทในเครือชื่อ ‘บริษัท ซิน เคอ หยวน จำกัด’ ซึ่งมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 6 พันล้านบาท
จากรายงานผลประกอบการในปี 2566 พบว่า บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล มีสินทรัพย์รวม 8.63 พันล้านบาท รายได้รวม 16.32 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 772.32 ล้านบาท ในขณะที่ บริษัท ซิน เคอ หยวน จำกัด มีสินทรัพย์รวม 14.89 พันล้านบาท รายได้รวม 320.80 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 234.33 ล้านบาทในปีเดียวกัน 
ข้อมูลของ เจี้ยนฉี เฉิน ผู้ถือหุ้นใหญ่ในเครือ ซิน เคอ หยวน ปรากฏชื่อเป็นกรรมการบริษัทอีกอย่างน้อย 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท ซิน เส้า หยวน จำกัด, บริษัท เจิ้นหวา อินเตอร์เนชั่นแนล ทัวริซึ่ม และเทรดดิ้ง จำกัด และบริษัท ไทยอินเตอร์สตีล จำกัด 

การเติบโตของทุนจีนในภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้างของไทย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญสำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment - FDI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่ง FDI อันดับหนึ่งของประเทศไทย มูลค่าการลงทุนจากจีนรวมกันเป็นจำนวนหลายพันล้านบาท ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างที่เป็นเป้าหมายหลักของการลงทุนจากจีน
อุตสาหกรรมเหล็กและวัสดุก่อสร้าง มีการลงทุนจากบริษัทจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า 
ปัจจุบันมีการพัฒนากำลังการผลิตเหล็กที่ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทจีนในประเทศไทยรวมกันมากกว่า 12 ล้านตันต่อปี โดยที่ความต้องการใช้เหล็กของทั้งประเทศอยู่ที่ประมาณ 17.1 ล้านตันต่อปี 

บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล และเครือข่ายเป็นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่มีกำลังการผลิตสูงมาก ทั้งเหล็กลวดและผลิตภัณฑ์ 2.8 ล้านตันต่อปี เหล็กเส้นข้ออ้อย 132,000 ตันต่อปี และเหล็กเส้นกลม 66,000 ตันต่อปี ทำให้ซิน เคอ หยวน ขึ้นแท่นผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยกำลังการผลิตถึง 8.6 ล้านตันต่อปี  และยังมีแผนขยายกำลังการผลิตของบริษัทที่อยู่ระหว่างจัดตั้งโรงงานในไทย ประกอบด้วย
โรงงานผลิตเหล็กแผ่นเคลือบ กำลังการผลิต 2.03 ล้านตันต่อปี
โรงงานผลิตท่อเหล็ก กำลังการผลิต 1.7 ล้านตันต่อปี
โรงงานผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็น กำลังการผลิต 450,000 ตันต่อปี
โรงงานผลิตเหล็กโครงสร้าง กำลังการผลิต 30,000 ตันต่อปี
ข้อมูลนี้รายงานโดย Southeast Asia Iron and Steel Institute (SEAISI) ซึ่งระบุว่าโครงการเหล่านี้ได้รับการอนุมัติจาก BOI เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะทำให้บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล ครองตลาดเหล็กไทยได้อย่างสมบูรณ์
เพื่อลดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ส.อ.ท. จึงเรียกร้องให้ภาครัฐจำกัดการก่อสร้างโรงงานเหล็กที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนจีน เนื่องจากจะส่งผลโดยตรงต่อผู้ผลิตในประเทศ

ความสัมพันธ์ทุนจีนกับกฎระเบียบไทย 
มีการวิเคราะห์กันว่ามีหลายปัจจัยที่ดึงดูดให้ทุนจีนเข้ามาในประเทศไทย หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือ การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่มีหน้าที่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่ช่องโหว่บางอย่างเอื้อให้ทุนจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญกว่าชาติอื่นๆ
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลไทยและจีนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ บางครั้งการเข้ามาลงทุนในไทยอาจเป็นทางเลือกสำหรับบริษัทจีนในการหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางการค้าและปัญหามลพิษที่เข้มงวดขึ้นในประเทศจีน

การเข้ามาของทุนจีนในประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับกฎระเบียบและการบังคับใช้กฎหมายของไทย โดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์และการก่อสร้าง ประเทศไทยมีกฎหมายและมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและกระบวนการก่อสร้าง เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) อย่างไรก็ตาม มีข้อสงสัยว่าการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ยังไม่เข้มงวดเพียงพอ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะให้มีการยกระดับมาตรฐานและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังมากขึ้น

ปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนก็เป็นอีกประเด็นที่ท้าทายการบังคับใช้กฎหมายของไทย นอกจากนี้การใช้นอมินีเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายการถือครองหุ้นของชาวต่างชาติในบริษัทไทย ก็เป็นช่องโหว่ที่อาจถูกใช้เพื่อลดทอนประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย
อิทธิพลของทุนจีนในประเทศไทยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ภาคอุตสาหกรรมเหล็กและการก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปยังภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจไทยอย่างกว้างขวาง เช่น ภาคการเกษตร พบว่านักลงทุนจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการควบคุมตลาดทุเรียน ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญของไทย 
ภาคการท่องเที่ยว พบนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดและสร้างรายได้จำนวนมากให้กับประเทศไทย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร และบริษัทนำเที่ยวที่ชาวจีนเป็นเจ้าของก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น 

ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ชาวจีนเข้ามาซื้อและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ 
ยังมีการลงทุนจากจีนในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งรัฐบาลไทยให้การสนับสนุนและส่งเสริม รวมถึงภาคค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ที่มีการเข้ามาของผู้ประกอบการจีนมากขึ้น ล่าสุดยังมีอิทธิพลในภาคสื่อและเทคโนโลยี โดยเฉพาะแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย
กรณีของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล และเหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของทุนจีนในประเทศไทยอย่างชัดเจน 

เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานจากบริษัททุนจีน ตอกย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติกับการปกป้องมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพในอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย รัฐบาลไทยควรพิจารณาเสริมสร้างกฎระเบียบและกระบวนการบังคับใช้กฎหมายให้มีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการเข้ามาของทุนต่างชาติจะนำมาซึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนและไม่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน

Cr. https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105326



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่