วันนี้อยากเขียนเรื่องความชอกช้ำทางจิตใจ (trauma) กับ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือโรคจิตเภทที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทางจิตใจจากเหตุการณ์เลวร้าย
จากกระทู้นี้นะคะ
https://pantip.com/topic/43365252/ เห็นได้ว่าสมาชิกหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ก็มีส่วนนึงที่เข้าใจ เลยอยากมาเขียนไว้เผื่อใครอยากรู้ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้ยังไง
ความชอกช้ำทางจิตใจ (trauma)
คือการตอบสนองทางอารมณ์เวลาเราเจอเหตุการณ์เลวร้าย การตอบสนองจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน หลายๆคนมีความชอกช้ำทางจิตใจจากตอนเด็ก เช่น พ่อแม่ไม่ดูแล ถูกลงโทษรุนแรงหรือทำร้ายจิตใจ ร่างกาย พ่อแม่หย่าร้าง เป็นต้น อันนี้เกิดขึ้นได้ตอนโตเหมือนกันค่ะ พูดง่ายๆคือเกิดได้ทุกเมื่อ ไม่จำกัดอายุหรือเพศ สาเหตุอาจจะมาจากครอบครัว อุบัติเหตุ เรื่องงาน ความสัมพันธ์ เป็นต้น
อาการที่ร่างกายตอบสนองกับเหตุการณ์เลวร้ายมีดังนี้
ฝันร้าย
ไม่มีสมาธิ หลงๆลืมๆ
อารมณ์แปรปรวน
เข้าสังคมน้อยลง
เสียความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบทำ
ตกใจง่าย
มีอาการตื่นตัวตลอด ตอบสนองกับสิ่งรอบตัวรุนแรงกว่าปกติ
การกินและการนอนเปลี่ยนแปลง
รู้สึกผิด อับอาย
หงุดหงิด ความอดทนต่ำ
รู้สึกโกรธ
มีอาการวิตกกังวล
ใครเช็คครบเกือบทุกข้อบ้างคะ ของเรานี่ทุกข้อเลยจ้า 55555555
แล้ว PTSD คืออะไร
PTSD คือโรคที่พัฒนาหลังจากเราเจอเหตุการณ์เลวร้าย คล้ายกับความชอกช้ำทางจิตใจแต่คนละระดับกัน PTSD จะหนักกว่าเยอะค่ะ ระยะเวลาของโรคนานกว่ามากอาจจะหลายเดือนหรือหลายปีและมักจะแย่ลงถ้าไม่เข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ
อาการของ PTSD มีดังนี้
Flashback สมองพาเราย้อนกลับไปในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เหมือนโดนเทเลพอร์ตกลับไปค่ะ
ฝันร้ายติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
มีอาการวิตกกังวลหนัก
อาการป่วยทางกาย ทางใจกลับมาเรื่อยๆ ไม่หายขาด
หลบเลี่ยงการเข้าสังคม
จำอะไรไม่ค่อยได้ หลังเกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้นๆ
รู้สึกเฉยชาหรือสูญเสียความหวัง
มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง เช่น ดื่มแอลกอฮอล ขับรถเร็วอันตราย
รู้สึกผิดหรืออับอายมากๆ
ตื่นตัวและคอยระวังอันตรายเสมอ
หงุดหงิด ความอดทนต่ำ
รู้สึกโกรธ มีพฤติกรรมก้าวร้าวแบบควบคุมตัวเองไม่ได้
จะเห็นได้ว่าอาการของทั้งสองกรณีจะคล้ายๆกัน แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ
อาการความชอกช้ำทางจิตใจ (trauma) จะไม่รุนแรงและนานเท่า PTSD ค่ะ คนทั่วไปเวลาเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ก็อาจจะมีอาการข้างต้นหรือจะคิดถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ขอย้ำว่าปกติมากๆ หลายๆคนอาจจะเจอคนอื่นพูดแบบ “มันไม่ได้แย่อย่างที่คิดซักหน่อย เวอร์ไปเอง” ไม่จริงจ้าาาา คนเราตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆไม่เหมือนกัน แย่มากของเราก็อาจจะแย่มากๆของคนอื่น ไม่แย่ของเราก็อาจจะแย่มากๆของคนอื่นเช่นกัน อาการความชอกช้ำทางจิตใจจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ ความรุนแรงของอาการจะค่อยๆลงลด อาจจะไม่หายไปเลยแต่มันจะไม่หนักเท่าตอนแรกและสามารถใช้ชีวิตต่อได้ตามปกติ ตัวอย่างก็มี เช่น ถ้าครอบครัวมีปัญหาในวัยเด็ก พ่อแม่ทะเลาะตบตีกัน เราโตมาก็อาจจะมีปัญหาในด้านความสัมพันธ์กับคู่ของตัวเอง ไม่ไว้ใจคู่ของตัวเอง เป็นต้น พูดง่ายๆคือมันก็จะยังมีผลกระทบในชีวิตอยู่นั่นล่ะ อยู่ที่ว่าจะกระทบในด้านไหน
มีงานวิจัยพบว่าอาการ PTSD เกิดจากอาการความชอกช้ำทางจิตที่ไม่ได้รับการรักษาและเกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ แบบกรณีจขกท.กระทู้ตัวอย่างที่โดนบูลลี่ซ้ำๆ
เอ๊า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีอาการแบบไหน
คำตอบคือพบจิตแพทย์ค่ะ เค้าจะมีขั้นตอนวินิจฉัย หลายๆคนมีอาการความชอกช้ำทางจิตใจค่อนข้างหนักแต่มันไม่ถึงระดับ PTSD (เราเองงง) มันมีหลายปัจจัย เช่น
- คนทั่วไปส่วนมากเวลาเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายจะมีอาการความชอกช้ำทางจิตใจแต่จะไม่พัฒนาเป็น PTSD
- หลายๆคนมีอาการ PTSD แต่สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เร็ว
- PTSD ไม่ใช่อาการที่พัฒนาจากความเครียดรุนแรง
ขอดักคอก่อนเผื่อมีคนแย้งว่า อ้าว แบบนี้คนที่ฟื้นฟูได้ช้านี่คืออะไร อ่อนแอเหรอ เรียกร้องความสนใจรึเปล่า คำตอบคือเปล่าจ้าาาาา คนเราภูมิคุ้มกันไม่เท่ากันเนอะ เราโตมาในสภาพแวดล้อมต่างกัน คนที่ดูจะสู้ชีวิต ถ้าโดนชีวิตสู้กลับเยอะๆก็ล้มได้ ขึ้นอยู่ว่าจะเร็วจะช้าแค่นั้นเอง
แล้วแบบนี้จะรักษายังไงล่ะ
อาการความชอกช้ำทางจิตสามารถรักษาได้ด้วย
CBT - Cognitive behavioral therapy หรือการบำบัดจิตโดยการปรับความคิด
EMDR - Eye movement desensitization and reprocessing หรือการบำบัดรักษาบาดแผลทางใจจากเหตุการณ์รุนแรง อันนี้คือดีมากเพราะได้ผลกับตัวเรามากที่สุด เคยลอง CBT แล้วไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลนะคะ อะไรที่ได้ผลกับเราอาจจะไม่ได้ผลกับคนอื่น
CPT - Cognitive processing therapy หรือการบำบัดกระบวนการทางความคิด อันนี้ต่างกับ CBT ตรงจะเน้นการฟื้นฟูสภาพจิตใจจากเหตุร้าย CBT ใช้ในหลายๆด้าน พูดง่ายๆคือขอบเขตในการใช้บำบัดจะกว้างกว่า CPT
Prolonged exposure therapy หรือการบำบัดด้วยการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้าย อันนี้เราเคยทำเองซึ่งขอบอกเลยว่าไม่แนะนำถ้าไม่มีความรู้ด้านนี้หรือถ้าไม่เคยผ่านการทำจิตบำบัดมาก่อน ถ้าจะทำควรทำใต้คำแนะนำของจิตแพทย์นะคะ ที่เราทำเองเพราะคุยกับจิตแพทย์แล้วแต่เค้าไม่สามารถออกนอกสถานที่กับเราได้ แล้วเราทำการบำบัดมาก่อนหน้าสามสี่ปีได้เลยเข้าใจปัญหาและขีดจำกัดของตัวเอง แล้วเราไม่ได้ฉายเดี่ยวคนเดียว สามีเราคอยเป็นแบคอัพให้อีกทีค่ะ
กรณี PTSD ก็ใช้การรักษาหลักการเดียวกันแต่มี Narrative exposure therapy เพิ่มเข้ามาด้วย อันนี้เป็นการบำบัดด้วยการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนกัน ต้องทำใต้คำแนะนำของจิตแพทย์ค่ะ ใช้กันกว้างขวางในกลุ่มผู้อพยพสงครามโดยเฉพาะในเด็ก
และโรค PTSD เนี่ยจะกระทบสุขภาพร่างกายและพัฒนาไปเป็นปัญหาด้านสุขภาพเรื้อรัง อาการทางกายก็คลื่นไส้ กล้ามเนื้อตึง หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิต อาการเจ็บปวดตามตัวและอ่อนเพลีย
อย่างนึงที่น่ารู้คือบางคนที่มีอาการ PTSD บางกรณีหายได้แม้ไม่ได้เข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ แต่คนกลุ่มนี้เค้ามีระบบซัพพอร์ตที่ดีค่ะ เช่น ครอบครัว เพื่อน สังคม แต่จะให้ดีที่สุดคือควรพบจิตแพทย์ก่อนนะ ครอบครัวก็ควรเข้าพบเพื่อพูดคุย ทำความเข้าใจในอาการของโรคด้วย
ใครที่สงสัยว่าตัวเองอาจจะมีอาการความชอกช้ำทางจิตหรือ PTSD แนะนำลองพบจิตแพทย์เลยค่ะ ชีวิตจะดีขึ้นเยอะถ้าเราได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เราเองเคยสงสัยว่าตัวเองอาจจะมีอาการ PTSD จากที่ทำงานเพราะหลังจากลาออกแล้วมีอาการ flashback บางทีเวลามีอะไรมากระตุ้น เช่น กลิ่นน้ำหอม เสียงโทรศัพท์ อีเมล ตอนที่มีอาการมากๆคือได้กลิ่นน้ำหอมแล้วเกือบร่วงลงไปนอนกับพื้นถนน เหมือนธรณีสูบค่ะ ใจหล่นไปที่เท้า ร่างกายเข้าโหมด fight, flight, freeze, และ fawn ทันที ขึ้นรถใต้ดินไม่ได้เลยเพราะรู้สึกจะอาเจียน หายใจไม่ออก เจอคนหน้าคล้ายคนที่ทำงานเก่าก็มีอาการแพนิค เราพบจิตแพทย์และทำการบำบัดในระหว่างนี้ด้วยและอาการของเราดีขึ้นตามเวลา โชคดีมากๆที่ไม่ได้พัฒนาไปเป็น PTSD
นี่ผ่านมาสองปีกว่าแล้วอาการบางอย่างก็ยังมีอยู่ ยังคลื่นไส้เวลาได้กลิ่นน้ำหอมหรือได้ยินเสียงโทรศัพท์กับอีเมล แต่มันไม่รุนแรงเท่าช่วงนั้น ไม่มีอาการแพนิคแล้ว หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยให้หลายๆคนเข้าใจอาการของโรคได้ดีขึ้น มันไม่มีใครอยากเป็นหรอกค่ะ ไม่สนุก ไม่มีใครเป็นเพราะอยากเรียกร้องความสนใจ เวลามีอาการนี่ความสนใจของคนทั้งโลกไม่ได้ช่วยอะไรค่ะ รู้สึกเหมือนมีแค่เราในโลกมืดๆ ทุกอย่างมืดไปหมดไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สามีพูดปลอบอยู่ข้างๆแต่เสียงเขามาไม่ถึงเราค่ะ เรามีแต่ความรู้สึกผิดที่เป็นภาระคนอื่นหรือทำให้คนอื่นเสียเวลา รู้สึกแย่ที่รับมือกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่ใจร้ายกับคนอื่นเนอะ เราไม่รู้ว่าเค้าต้องสู้กับอะไรอยู่ทุกวัน
ขอบคณค่ะ
ที่มาข้อมูล
https://mentalhealthcenterkids.com/blogs/articles/trauma-vs-ptsd
ถ้ามีอะไรผิดพลาดรบกวนแจ้งค่ะ จะได้แก้ข้อมูลให้ถูกต้อง
PTSD กับความชอกช้ำทางจิตใจต่างกันยังไง
จากกระทู้นี้นะคะ https://pantip.com/topic/43365252/ เห็นได้ว่าสมาชิกหลายคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ก็มีส่วนนึงที่เข้าใจ เลยอยากมาเขียนไว้เผื่อใครอยากรู้ว่ามันคืออะไร เกิดขึ้นได้ยังไง
ความชอกช้ำทางจิตใจ (trauma)
คือการตอบสนองทางอารมณ์เวลาเราเจอเหตุการณ์เลวร้าย การตอบสนองจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน หลายๆคนมีความชอกช้ำทางจิตใจจากตอนเด็ก เช่น พ่อแม่ไม่ดูแล ถูกลงโทษรุนแรงหรือทำร้ายจิตใจ ร่างกาย พ่อแม่หย่าร้าง เป็นต้น อันนี้เกิดขึ้นได้ตอนโตเหมือนกันค่ะ พูดง่ายๆคือเกิดได้ทุกเมื่อ ไม่จำกัดอายุหรือเพศ สาเหตุอาจจะมาจากครอบครัว อุบัติเหตุ เรื่องงาน ความสัมพันธ์ เป็นต้น
อาการที่ร่างกายตอบสนองกับเหตุการณ์เลวร้ายมีดังนี้
ฝันร้าย
ไม่มีสมาธิ หลงๆลืมๆ
อารมณ์แปรปรวน
เข้าสังคมน้อยลง
เสียความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบทำ
ตกใจง่าย
มีอาการตื่นตัวตลอด ตอบสนองกับสิ่งรอบตัวรุนแรงกว่าปกติ
การกินและการนอนเปลี่ยนแปลง
รู้สึกผิด อับอาย
หงุดหงิด ความอดทนต่ำ
รู้สึกโกรธ
มีอาการวิตกกังวล
ใครเช็คครบเกือบทุกข้อบ้างคะ ของเรานี่ทุกข้อเลยจ้า 55555555
แล้ว PTSD คืออะไร
PTSD คือโรคที่พัฒนาหลังจากเราเจอเหตุการณ์เลวร้าย คล้ายกับความชอกช้ำทางจิตใจแต่คนละระดับกัน PTSD จะหนักกว่าเยอะค่ะ ระยะเวลาของโรคนานกว่ามากอาจจะหลายเดือนหรือหลายปีและมักจะแย่ลงถ้าไม่เข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ
อาการของ PTSD มีดังนี้
Flashback สมองพาเราย้อนกลับไปในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น เหมือนโดนเทเลพอร์ตกลับไปค่ะ
ฝันร้ายติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
มีอาการวิตกกังวลหนัก
อาการป่วยทางกาย ทางใจกลับมาเรื่อยๆ ไม่หายขาด
หลบเลี่ยงการเข้าสังคม
จำอะไรไม่ค่อยได้ หลังเกิดเหตุการณ์เลวร้ายนั้นๆ
รู้สึกเฉยชาหรือสูญเสียความหวัง
มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง เช่น ดื่มแอลกอฮอล ขับรถเร็วอันตราย
รู้สึกผิดหรืออับอายมากๆ
ตื่นตัวและคอยระวังอันตรายเสมอ
หงุดหงิด ความอดทนต่ำ
รู้สึกโกรธ มีพฤติกรรมก้าวร้าวแบบควบคุมตัวเองไม่ได้
จะเห็นได้ว่าอาการของทั้งสองกรณีจะคล้ายๆกัน แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ
อาการความชอกช้ำทางจิตใจ (trauma) จะไม่รุนแรงและนานเท่า PTSD ค่ะ คนทั่วไปเวลาเจอเหตุการณ์ร้ายๆ ก็อาจจะมีอาการข้างต้นหรือจะคิดถึงเหตุการณ์นั้นบ่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ขอย้ำว่าปกติมากๆ หลายๆคนอาจจะเจอคนอื่นพูดแบบ “มันไม่ได้แย่อย่างที่คิดซักหน่อย เวอร์ไปเอง” ไม่จริงจ้าาาา คนเราตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆไม่เหมือนกัน แย่มากของเราก็อาจจะแย่มากๆของคนอื่น ไม่แย่ของเราก็อาจจะแย่มากๆของคนอื่นเช่นกัน อาการความชอกช้ำทางจิตใจจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ ความรุนแรงของอาการจะค่อยๆลงลด อาจจะไม่หายไปเลยแต่มันจะไม่หนักเท่าตอนแรกและสามารถใช้ชีวิตต่อได้ตามปกติ ตัวอย่างก็มี เช่น ถ้าครอบครัวมีปัญหาในวัยเด็ก พ่อแม่ทะเลาะตบตีกัน เราโตมาก็อาจจะมีปัญหาในด้านความสัมพันธ์กับคู่ของตัวเอง ไม่ไว้ใจคู่ของตัวเอง เป็นต้น พูดง่ายๆคือมันก็จะยังมีผลกระทบในชีวิตอยู่นั่นล่ะ อยู่ที่ว่าจะกระทบในด้านไหน
มีงานวิจัยพบว่าอาการ PTSD เกิดจากอาการความชอกช้ำทางจิตที่ไม่ได้รับการรักษาและเกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ แบบกรณีจขกท.กระทู้ตัวอย่างที่โดนบูลลี่ซ้ำๆ
เอ๊า แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเรามีอาการแบบไหน
คำตอบคือพบจิตแพทย์ค่ะ เค้าจะมีขั้นตอนวินิจฉัย หลายๆคนมีอาการความชอกช้ำทางจิตใจค่อนข้างหนักแต่มันไม่ถึงระดับ PTSD (เราเองงง) มันมีหลายปัจจัย เช่น
- คนทั่วไปส่วนมากเวลาเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายจะมีอาการความชอกช้ำทางจิตใจแต่จะไม่พัฒนาเป็น PTSD
- หลายๆคนมีอาการ PTSD แต่สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เร็ว
- PTSD ไม่ใช่อาการที่พัฒนาจากความเครียดรุนแรง
ขอดักคอก่อนเผื่อมีคนแย้งว่า อ้าว แบบนี้คนที่ฟื้นฟูได้ช้านี่คืออะไร อ่อนแอเหรอ เรียกร้องความสนใจรึเปล่า คำตอบคือเปล่าจ้าาาาา คนเราภูมิคุ้มกันไม่เท่ากันเนอะ เราโตมาในสภาพแวดล้อมต่างกัน คนที่ดูจะสู้ชีวิต ถ้าโดนชีวิตสู้กลับเยอะๆก็ล้มได้ ขึ้นอยู่ว่าจะเร็วจะช้าแค่นั้นเอง
แล้วแบบนี้จะรักษายังไงล่ะ
อาการความชอกช้ำทางจิตสามารถรักษาได้ด้วย
CBT - Cognitive behavioral therapy หรือการบำบัดจิตโดยการปรับความคิด
EMDR - Eye movement desensitization and reprocessing หรือการบำบัดรักษาบาดแผลทางใจจากเหตุการณ์รุนแรง อันนี้คือดีมากเพราะได้ผลกับตัวเรามากที่สุด เคยลอง CBT แล้วไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลนะคะ อะไรที่ได้ผลกับเราอาจจะไม่ได้ผลกับคนอื่น
CPT - Cognitive processing therapy หรือการบำบัดกระบวนการทางความคิด อันนี้ต่างกับ CBT ตรงจะเน้นการฟื้นฟูสภาพจิตใจจากเหตุร้าย CBT ใช้ในหลายๆด้าน พูดง่ายๆคือขอบเขตในการใช้บำบัดจะกว้างกว่า CPT
Prolonged exposure therapy หรือการบำบัดด้วยการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้าย อันนี้เราเคยทำเองซึ่งขอบอกเลยว่าไม่แนะนำถ้าไม่มีความรู้ด้านนี้หรือถ้าไม่เคยผ่านการทำจิตบำบัดมาก่อน ถ้าจะทำควรทำใต้คำแนะนำของจิตแพทย์นะคะ ที่เราทำเองเพราะคุยกับจิตแพทย์แล้วแต่เค้าไม่สามารถออกนอกสถานที่กับเราได้ แล้วเราทำการบำบัดมาก่อนหน้าสามสี่ปีได้เลยเข้าใจปัญหาและขีดจำกัดของตัวเอง แล้วเราไม่ได้ฉายเดี่ยวคนเดียว สามีเราคอยเป็นแบคอัพให้อีกทีค่ะ
กรณี PTSD ก็ใช้การรักษาหลักการเดียวกันแต่มี Narrative exposure therapy เพิ่มเข้ามาด้วย อันนี้เป็นการบำบัดด้วยการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนกัน ต้องทำใต้คำแนะนำของจิตแพทย์ค่ะ ใช้กันกว้างขวางในกลุ่มผู้อพยพสงครามโดยเฉพาะในเด็ก
และโรค PTSD เนี่ยจะกระทบสุขภาพร่างกายและพัฒนาไปเป็นปัญหาด้านสุขภาพเรื้อรัง อาการทางกายก็คลื่นไส้ กล้ามเนื้อตึง หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิต อาการเจ็บปวดตามตัวและอ่อนเพลีย
อย่างนึงที่น่ารู้คือบางคนที่มีอาการ PTSD บางกรณีหายได้แม้ไม่ได้เข้ารับการรักษากับจิตแพทย์ แต่คนกลุ่มนี้เค้ามีระบบซัพพอร์ตที่ดีค่ะ เช่น ครอบครัว เพื่อน สังคม แต่จะให้ดีที่สุดคือควรพบจิตแพทย์ก่อนนะ ครอบครัวก็ควรเข้าพบเพื่อพูดคุย ทำความเข้าใจในอาการของโรคด้วย
ใครที่สงสัยว่าตัวเองอาจจะมีอาการความชอกช้ำทางจิตหรือ PTSD แนะนำลองพบจิตแพทย์เลยค่ะ ชีวิตจะดีขึ้นเยอะถ้าเราได้รับการรักษาที่ถูกวิธี เราเองเคยสงสัยว่าตัวเองอาจจะมีอาการ PTSD จากที่ทำงานเพราะหลังจากลาออกแล้วมีอาการ flashback บางทีเวลามีอะไรมากระตุ้น เช่น กลิ่นน้ำหอม เสียงโทรศัพท์ อีเมล ตอนที่มีอาการมากๆคือได้กลิ่นน้ำหอมแล้วเกือบร่วงลงไปนอนกับพื้นถนน เหมือนธรณีสูบค่ะ ใจหล่นไปที่เท้า ร่างกายเข้าโหมด fight, flight, freeze, และ fawn ทันที ขึ้นรถใต้ดินไม่ได้เลยเพราะรู้สึกจะอาเจียน หายใจไม่ออก เจอคนหน้าคล้ายคนที่ทำงานเก่าก็มีอาการแพนิค เราพบจิตแพทย์และทำการบำบัดในระหว่างนี้ด้วยและอาการของเราดีขึ้นตามเวลา โชคดีมากๆที่ไม่ได้พัฒนาไปเป็น PTSD
นี่ผ่านมาสองปีกว่าแล้วอาการบางอย่างก็ยังมีอยู่ ยังคลื่นไส้เวลาได้กลิ่นน้ำหอมหรือได้ยินเสียงโทรศัพท์กับอีเมล แต่มันไม่รุนแรงเท่าช่วงนั้น ไม่มีอาการแพนิคแล้ว หวังว่ากระทู้นี้จะช่วยให้หลายๆคนเข้าใจอาการของโรคได้ดีขึ้น มันไม่มีใครอยากเป็นหรอกค่ะ ไม่สนุก ไม่มีใครเป็นเพราะอยากเรียกร้องความสนใจ เวลามีอาการนี่ความสนใจของคนทั้งโลกไม่ได้ช่วยอะไรค่ะ รู้สึกเหมือนมีแค่เราในโลกมืดๆ ทุกอย่างมืดไปหมดไม่เห็นอะไรทั้งนั้น สามีพูดปลอบอยู่ข้างๆแต่เสียงเขามาไม่ถึงเราค่ะ เรามีแต่ความรู้สึกผิดที่เป็นภาระคนอื่นหรือทำให้คนอื่นเสียเวลา รู้สึกแย่ที่รับมือกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้
เพราะฉะนั้นไม่ใจร้ายกับคนอื่นเนอะ เราไม่รู้ว่าเค้าต้องสู้กับอะไรอยู่ทุกวัน
ขอบคณค่ะ
ที่มาข้อมูล https://mentalhealthcenterkids.com/blogs/articles/trauma-vs-ptsd
ถ้ามีอะไรผิดพลาดรบกวนแจ้งค่ะ จะได้แก้ข้อมูลให้ถูกต้อง