บทที่ 1: เสียงในหมอก
เสียงเครื่องบันทึกดังขึ้นเบาๆ บนโต๊ะไม้เก่าภายในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานเกรอะฝุ่น แสงแดดเช้าส่องผ่านม่านสีหม่นอย่างเกียจคร้าน ภายในห้องเงียบราวกับลมหายใจของโลกหยุดชะงัก ดานี นั่งอยู่ลำพังกับความเงียบนั้น เสียงจากเทปเก่าดังขึ้นแผ่วเบา ดังพอให้ได้ยินแต่ไม่ชัดเจนพอจะทำให้รู้สึกปลอดภัย
"วันที่ 102... คืนนี้ ฉันเห็นมันอีกแล้ว เครื่องจักรขนาดยักษ์ในทุ่งโล่งที่ไม่รู้จัก มันหมุนอยู่ช้า ๆ เหมือนกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง... และฉัน... ไม่แน่ใจว่าฉันเป็นมนุษย์หรือแค่ตัวทดลอง"
เสียงนั้นคือเสียงของเธอเอง เมื่อหลายเดือนก่อนในค่ำคืนที่เธอพาตัวเองไปไกลเกินกว่าที่นักจิตวิทยาควรจะไป
เธอใช้เห็ดสายพันธุ์หนึ่งที่พบในป่าอเมซอนซึ่งขึ้นชื่อว่ามีฤทธิ์กระตุ้นสภาวะจิตตื่นรู้ระดับลึก เธอไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนั้น แต่เธอเป็นคนแรกในโครงการที่เห็น “มัน” — เครื่องจักรขนาดยักษ์ที่ไม่ควรมีอยู่ในสภาวะจิตใจมนุษย์ทั่วไป
เครื่องจักรสีเทา... สูงตระหง่านเหมือนอาคารสำนักงานหลายร้อยชั้น สายไฟเหมือนเส้นเลือดพาดผ่านฟ้า... และตัวเธอเอง ลอยอยู่ในแทงก์ของเหลวใสในห้องทดลองขนาดยักษ์ ดานีจำได้แม่น เสียงก้องในหัวขณะนั้นพูดเพียงว่า: “กำลังบันทึกข้อมูลการตอบสนองของตัวทดลองหมายเลข 71-D”
เธอสะดุ้งตื่นในเช้าวันถัดมา แต่โลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ดานีไม่สามารถบอกใครได้อย่างเปิดเผย เธอคือนักจิตวิทยาของโครงการบำบัดทางจิตขั้นสูง ผู้ควรมีเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับทุกการวินิจฉัย แต่ในหัวของเธอ มีแต่ภาพจำที่ไร้ที่มาและเต็มไปด้วยความกลัว
เมื่อเธอเริ่มพูดถึงสิ่งที่เห็น คนในทีมเริ่มมองเธอแปลกๆ บางคนแนะให้เธอพัก บางคนบอกว่าเธอควรเข้าโปรแกรมบำบัดของตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่เธอไม่หยุด
เธอเชื่อว่า สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่แค่ผลหลอนจากสารกระตุ้นสมอง แต่มันคือความจริง — ความจริงที่มนุษย์ไม่อยากยอมรับ
ไม่นานเธอก็เริ่มตั้งกลุ่มลับทางออนไลน์ขึ้นมาภายใต้ชื่อ
“ผู้ตื่นรู้” กลุ่มที่รวมคนที่เคยเห็นสิ่งคล้ายกัน บางคนเห็นเครื่องจักร บางคนเห็นห้องทดลอง บางคนได้ยินเสียงพูดในหัวว่า “การทดลองเฟสที่ 4 เริ่มต้นแล้ว” สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ — ทุกคนเคยใช้เห็ดชนิดเดียวกันนี้ในการบำบัด
และจากที่นั่น เธอก็ได้รับข้อความหนึ่งจากผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่า ลูกชายของเธอวาดภาพบางอย่างที่คล้ายกับสิ่งที่ดานีเคยเล่าในฟอรัมลับ
นาโม — เด็กชายอายุแปดขวบที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกขั้นลึก ไม่ค่อยพูด ไม่สบตา แต่กลับวาดภาพซ้ำ ๆ ทุกวันเป็นเวลาหลายปี ภาพของโครงข่ายกลมซ้อนกันหลายชั้น มีเส้นแสงโยงถึงศูนย์กลางคล้ายระบบประสาทหรือเครือข่ายควอนตัม
แม่ของนาโมบอกว่า เขาเรียกภาพเหล่านั้นว่า “สนามทดลองแห่งดวงจิต” และเคยพูดเบา ๆ ว่า “โลกที่นี่เป็นแค่สนามเล่นจริง ๆ เราอยู่เพื่อให้พวกเขาเห็น”
ดานีไม่ลังเล เธอเดินทางออกจากเมืองหลวง ไปยังชานเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านของนาโมตั้งอยู่ แม้จะขัดกับกฎของโครงการ แต่เธอรู้ว่ามีบางอย่างที่สำคัญกว่ากฎ... ความจริง
เมื่อไปถึง เด็กชายหันมามองเธอเพียงแวบเดียว แล้วพูดขึ้นทันที:
“เครื่องจักรเริ่มจำเธอได้แล้ว... ดานี”
หัวใจเธอแทบหยุดเต้น เด็กคนนี้ไม่เคยเจอเธอมาก่อน ไม่รู้จักเธอ แล้วเขารู้ชื่อเธอได้อย่างไร?
แม่ของเขาก็ชะงัก ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวปนความสับสน
บนพื้นห้องที่นาโมใช้วาดภาพ มีรูปกระจายอยู่เต็มไปหมด ภาพเหล่านั้นไม่ได้เป็นแค่ศิลปะของเด็ก แต่เหมือนภาพแปลนของระบบบางอย่าง เหมือนแผนที่ของวงจรจักรวาล
ดานีหยิบภาพหนึ่งขึ้นมา ในมุมนั้นมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือเด็ก:
137.002
เธอจำได้ทันที — นั่นคือค่าคงที่ละเอียดของโครงสร้างจักรวาล (Fine-Structure Constant) ตัวเลขที่เธอเคยเห็นในภาวะหลอนจากเห็ดในคืนนั้น
นาโมยื่นมือมาหยิบปากกาแล้วเขียนคำว่า "Field 7-B" ไว้ใต้ตัวเลขนั้น
“พวกเขากำลังจะปิดสนามนั้น” เขาพูดเสียงเรียบ “แล้วเปิดสนามใหม่แทน... ถ้าเธอไม่รีบไป เธอจะออกไปไม่ได้อีกเลย”
คืนนั้น ดานีไม่อาจข่มตาหลับ แม้เธอจะปิดไฟ นอนบนเตียงของโรงแรมเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรจากบ้านนาโม แต่ใจของเธอเหมือนลอยอยู่กลางจักรวาลที่ไร้เสียง
มือถือสั่น — ข้อความใหม่จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก:
"Elion กำลังรอเธอที่วัดป่า เขามีคำตอบ"
เธอลุกขึ้นทันที… เธอไม่รู้ว่าใครคือ Elion แต่ในใจของเธอรู้ดีว่า — ทุกอย่างมันเริ่มเชื่อมโยงกันแล้ว
และเธอไม่สามารถถอยกลับได้อีกต่อไป.... To be coutinues
นวนิยาย Science-Fi วิทยาศาสตร์ เรื่อง "ร่างทดลอง"
บทที่ 1: เสียงในหมอก
เสียงเครื่องบันทึกดังขึ้นเบาๆ บนโต๊ะไม้เก่าภายในห้องทำงานเล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างบานเกรอะฝุ่น แสงแดดเช้าส่องผ่านม่านสีหม่นอย่างเกียจคร้าน ภายในห้องเงียบราวกับลมหายใจของโลกหยุดชะงัก ดานี นั่งอยู่ลำพังกับความเงียบนั้น เสียงจากเทปเก่าดังขึ้นแผ่วเบา ดังพอให้ได้ยินแต่ไม่ชัดเจนพอจะทำให้รู้สึกปลอดภัย
"วันที่ 102... คืนนี้ ฉันเห็นมันอีกแล้ว เครื่องจักรขนาดยักษ์ในทุ่งโล่งที่ไม่รู้จัก มันหมุนอยู่ช้า ๆ เหมือนกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง... และฉัน... ไม่แน่ใจว่าฉันเป็นมนุษย์หรือแค่ตัวทดลอง"
เสียงนั้นคือเสียงของเธอเอง เมื่อหลายเดือนก่อนในค่ำคืนที่เธอพาตัวเองไปไกลเกินกว่าที่นักจิตวิทยาควรจะไป
เธอใช้เห็ดสายพันธุ์หนึ่งที่พบในป่าอเมซอนซึ่งขึ้นชื่อว่ามีฤทธิ์กระตุ้นสภาวะจิตตื่นรู้ระดับลึก เธอไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนั้น แต่เธอเป็นคนแรกในโครงการที่เห็น “มัน” — เครื่องจักรขนาดยักษ์ที่ไม่ควรมีอยู่ในสภาวะจิตใจมนุษย์ทั่วไป
เครื่องจักรสีเทา... สูงตระหง่านเหมือนอาคารสำนักงานหลายร้อยชั้น สายไฟเหมือนเส้นเลือดพาดผ่านฟ้า... และตัวเธอเอง ลอยอยู่ในแทงก์ของเหลวใสในห้องทดลองขนาดยักษ์ ดานีจำได้แม่น เสียงก้องในหัวขณะนั้นพูดเพียงว่า: “กำลังบันทึกข้อมูลการตอบสนองของตัวทดลองหมายเลข 71-D”
เธอสะดุ้งตื่นในเช้าวันถัดมา แต่โลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ดานีไม่สามารถบอกใครได้อย่างเปิดเผย เธอคือนักจิตวิทยาของโครงการบำบัดทางจิตขั้นสูง ผู้ควรมีเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับทุกการวินิจฉัย แต่ในหัวของเธอ มีแต่ภาพจำที่ไร้ที่มาและเต็มไปด้วยความกลัว
เมื่อเธอเริ่มพูดถึงสิ่งที่เห็น คนในทีมเริ่มมองเธอแปลกๆ บางคนแนะให้เธอพัก บางคนบอกว่าเธอควรเข้าโปรแกรมบำบัดของตัวเองเสียด้วยซ้ำ แต่เธอไม่หยุด
เธอเชื่อว่า สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่แค่ผลหลอนจากสารกระตุ้นสมอง แต่มันคือความจริง — ความจริงที่มนุษย์ไม่อยากยอมรับ
ไม่นานเธอก็เริ่มตั้งกลุ่มลับทางออนไลน์ขึ้นมาภายใต้ชื่อ “ผู้ตื่นรู้” กลุ่มที่รวมคนที่เคยเห็นสิ่งคล้ายกัน บางคนเห็นเครื่องจักร บางคนเห็นห้องทดลอง บางคนได้ยินเสียงพูดในหัวว่า “การทดลองเฟสที่ 4 เริ่มต้นแล้ว” สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือ — ทุกคนเคยใช้เห็ดชนิดเดียวกันนี้ในการบำบัด
และจากที่นั่น เธอก็ได้รับข้อความหนึ่งจากผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่า ลูกชายของเธอวาดภาพบางอย่างที่คล้ายกับสิ่งที่ดานีเคยเล่าในฟอรัมลับ
นาโม — เด็กชายอายุแปดขวบที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกขั้นลึก ไม่ค่อยพูด ไม่สบตา แต่กลับวาดภาพซ้ำ ๆ ทุกวันเป็นเวลาหลายปี ภาพของโครงข่ายกลมซ้อนกันหลายชั้น มีเส้นแสงโยงถึงศูนย์กลางคล้ายระบบประสาทหรือเครือข่ายควอนตัม
แม่ของนาโมบอกว่า เขาเรียกภาพเหล่านั้นว่า “สนามทดลองแห่งดวงจิต” และเคยพูดเบา ๆ ว่า “โลกที่นี่เป็นแค่สนามเล่นจริง ๆ เราอยู่เพื่อให้พวกเขาเห็น”
ดานีไม่ลังเล เธอเดินทางออกจากเมืองหลวง ไปยังชานเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านของนาโมตั้งอยู่ แม้จะขัดกับกฎของโครงการ แต่เธอรู้ว่ามีบางอย่างที่สำคัญกว่ากฎ... ความจริง
เมื่อไปถึง เด็กชายหันมามองเธอเพียงแวบเดียว แล้วพูดขึ้นทันที:
“เครื่องจักรเริ่มจำเธอได้แล้ว... ดานี”
หัวใจเธอแทบหยุดเต้น เด็กคนนี้ไม่เคยเจอเธอมาก่อน ไม่รู้จักเธอ แล้วเขารู้ชื่อเธอได้อย่างไร?
แม่ของเขาก็ชะงัก ดวงตาเต็มไปด้วยความกลัวปนความสับสน
บนพื้นห้องที่นาโมใช้วาดภาพ มีรูปกระจายอยู่เต็มไปหมด ภาพเหล่านั้นไม่ได้เป็นแค่ศิลปะของเด็ก แต่เหมือนภาพแปลนของระบบบางอย่าง เหมือนแผนที่ของวงจรจักรวาล
ดานีหยิบภาพหนึ่งขึ้นมา ในมุมนั้นมีตัวเลขเขียนด้วยลายมือเด็ก: 137.002
เธอจำได้ทันที — นั่นคือค่าคงที่ละเอียดของโครงสร้างจักรวาล (Fine-Structure Constant) ตัวเลขที่เธอเคยเห็นในภาวะหลอนจากเห็ดในคืนนั้น
นาโมยื่นมือมาหยิบปากกาแล้วเขียนคำว่า "Field 7-B" ไว้ใต้ตัวเลขนั้น
“พวกเขากำลังจะปิดสนามนั้น” เขาพูดเสียงเรียบ “แล้วเปิดสนามใหม่แทน... ถ้าเธอไม่รีบไป เธอจะออกไปไม่ได้อีกเลย”
คืนนั้น ดานีไม่อาจข่มตาหลับ แม้เธอจะปิดไฟ นอนบนเตียงของโรงแรมเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรจากบ้านนาโม แต่ใจของเธอเหมือนลอยอยู่กลางจักรวาลที่ไร้เสียง
มือถือสั่น — ข้อความใหม่จากเบอร์ที่ไม่รู้จัก:
"Elion กำลังรอเธอที่วัดป่า เขามีคำตอบ"
เธอลุกขึ้นทันที… เธอไม่รู้ว่าใครคือ Elion แต่ในใจของเธอรู้ดีว่า — ทุกอย่างมันเริ่มเชื่อมโยงกันแล้ว
และเธอไม่สามารถถอยกลับได้อีกต่อไป.... To be coutinues