ช่วงนี้มีเวลาก็เลยอยากมานั่งพิมพ์ประสบการณ์หรือเรื่องราวที่นึกขึ้นได้เพิ่มเติมในผู้ที่ติดตามได้อ่านกันต่อนะครับ
ห้องเช่าที่บ้านผมทำอยู่นั้น จริงๆจะเรียกห้องเช่าก็อาจไม่ถูกนัก เพราะมันมีลักษณะเป็นตึกแถว 2 ชั้น
บางทีเราก็เรียกมันว่า "บ้านเช่า" บางทีก็เรียกว่า "ห้องเช่า" บางครั้งเราก็ใช้คำว่า "ตึกแถว"
โดยตึกแถวที่เราให้เช่า 1คูหา = 2ชั้น = นับเป็น1ห้องเช่า
ใน1ห้องเช่ามี 1 ห้องน้ำที่ชั้นล่าง 1ห้องครัว ชั้นสองถ้าซอยแบ่งดีๆได้ 2ห้องนอนสบายๆ ส่วนชั้นล่างก็เป็น Common Room ของครอบครัวตามอัธยาศัย
โดยคิดค่าเช่าเดือนละ 3,500 บาทต่อ1ห้องเช่า
เราอยู่กับธุรกิจนี้มาหลายปีครับ เห็นวัฎจักร การเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นการมาถึงของรถไฟฟ้าที่หากสร้างเสร็จแล้วก็อยู่ในระยะที่สามารถเดินเท้าถึงได้พอให้เหงื่อซึมๆ , การมาถึงของทางด่วน , การเติบโตของที่อยู่อาศัยแนวตั้ง ที่เริ่มคืบคลานเข้ามา , พื้นที่ใกล้เคียงเริ่มมีการเปลี่ยนมือเปลี่ยนเจ้าของ แม้แต่ลักษณะของผู้เช่าเองก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตามที่ผมได้กล่าวไปในกระทู้ก่อนๆ
ในขณะที่สภาพสังคมโดยรอบเปลี่ยนแปลง อายุของตึกเราก็เพิ่มมากขึ้นครับ
ตึกแถวจำนวนห้อง300ห้อยๆ400หย่อนๆ ในราคาค่าเช่าที่เริ่มต้นเดือนละ 3,500 บาท ถ้าต้องทำการ Major Renovation แน่นอนครับว่าต้องใช้เงินทุนมหาศาล จากการดำรงชีวิตอย่างปลอดหนี้ปลอดพันธะธนาคาร ก็มิวายต้องไปยืนกุมไข่ขอกู้เป็นแน่แท้ ซึ่งนั่นไม่ใช่รูปแบบชีวิตที่บ้านผมต้องการ
และการทำเช่นนั้น แน่นอนครับว่า เราไม่สามารถคงราคาค่าเช่าในเรทเดิม เพื่อเป็นที่พักสำหรับมนุษย์แรงงานชนชั้นกรรมาชีพหรือผู้ที่ต้องการ "ตั้งหลัก" ให้ชีวิต จากการทำธุรกิจในรูปแบบ "ลูกทุ่ง" คู่แข่งของเราก็จะกลายเป็น ผู้เจนสนามอสังหาฯอย่างลุมพินี , พฤกษา , เสนา , ออริจิ้น ขึ้นมาทันที
เราไม่ไหวครับ
ดังนั้น ค่าเช่าราคา 3,500 บาท/ห้อง/เดือนนั้น จึงเป็น "การให้เช่าตามสภาพ"
พูดกันง่ายๆ เราให้เช่าสถานที่สำหรับการซุกหัวล้มตัวลงนอน ในสังคมชาวบ้านๆ แต่อยู่ในทำเลที่ดีในกรุงเทพกลางตลาดพร้อมขนส่งสาธารณะที่รายรอบ ทุกคนต้องช่วยกันดูแล อยากได้สภาพแวดล้อมแบบไหน ลูกบ้านก็ต้องช่วยกันสร้างขึ้นมาเอง เป็นหูเป็นตา แนะนำคนที่ดีให้มาอยู่ร่วมกันเพื่อเป็นสังคมที่ดีและปลอดภัยของพวกเขาเอง
ปัจจุบันนี้เราใช้วิธีการ "คัดคนเข้ามาอยู่" ครับ กล่าวคือ คนจะเข้ามาอยู่ใหม่ต้องมีลูกบ้านที่อยู่กับเราและมีประวัติการจ่ายค่าเช่าที่ดีและมีวิถีชีวิตที่ไม่เป็นปัญหากับชุมชมแนะนำเข้ามา หลังจากนั้น ก็นัดสัมภาษณ์ดูตัวกัน สอบถามลักษณะการทำงาน ชีวิตความเป็นอยู่ จะอยู่กันกี่คน? มีเด็กมั้ย? มีวัยรุ่นมั้ย? มีคนทำงานกี่คน? เป็นต้น ไอ้ประเภทคนนิรนามที่โทรมาถามห้องว่าง โทรจิกจะเอาๆ โทรเช้าโทรเย็น บอกเลยว่า ทรงนี้โดนไล่มาจากที่อื่นทั้งนั้น และมีโอกาสเป็น Trouble maker สูงมาก บอกตรงๆ เข็ดแล้วครับกับการเน้นปริมาณ ไอ้ประเภทเน้นห้องเต็ม แต่เต็มไปด้วยขี้ อันนี้พอกันที ถามว่าตอนนี้มีบ้านว่างมั้ย? คำตอบคือ ว่างประมาณ 10ห้องครับ แต่ก็รู้สึกเฉยๆ ดีกว่าเอาอะไรก็ไม่รู้มายัดๆให้เต็ม แล้วมาไล่ตามเช็ดตามล้างทีหลัง
เอ้อ...ขอขยายความถึงคำว่า "ให้เช่าตามสภาพ" สักหน่อย
บ้านเช่าของเรามีหลังคาที่สามารถกันแดดให้คุณได้ แต่กันฝนมั้ย? เอาตรงๆ ก็อาจมีรั่วบ้าง
ผนังถลอก สีกระเทาะ ฝ้าไม่สวย ส้วมตัน หน้าต่างหลุด อยากปูกระเบื้อง เราไม่ทำให้ครับ ผู้เช่าไปจัดการเอาเองเพราะเราให้เช่าตามสภาพ
บันไดผุ ปลวกกินคาน ต้องการถมเถ เราซ่อมให้ แต่ค่าวัสดุกับค่าแรงคนละครึ่งนะ ผ่อนกันไป บวกเพิ่มไปกับค่าเช่า เดือนละ 500 หรือ 750 ตามแต่ผู้เช่าจะไหว หมดสัญญาถ้าไม่อยู่ต่อแต่ยังผ่อนค่าซ่อมไม่หมด คนที่จะมาอยู่ใหม่รับช่วงค่าซ่อมที่ค้างต่อ
ถามว่ามีด้วยหรอทำบ้านเช่าแต่ลูกบ้านต้องมาช่วยผ่อนช่วยซ่อม ก็มีที่นี่แหละครับ
เพราะเราย้ำกับลูกบ้านทุกท่านเสมอๆว่า ราคา 3,500 บาทนี้ "เราให้เช่าตามสภาพ"
และการทำแบบนี้นั้น เป็นการให้ผู้เช่ามีส่วนร่วมในการรักษาตึกของเราให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่ใช่ผลักภาระทุกอย่างให้กับผู้ให้เช่าเพียงฝ่ายเดียว
ถ้าคุณคิดว่าระบบนี้มันไม่ยุติธรรม และในราคานี้คุณสามารถหาตึกแถวสองชั้นที่มีพร้อมสมบูรณ์ทั้งทำเลและสภาพห้องตรงตามบรีฟหลุดมาจากหนังสือบ้านและสวนได้เราก็ร่วมอนุโมทนาสาธุ
อย่างไรก็ตาม ผมสัมผัสได้ว่า คอนเซปต์การ "ให้เช่าตามสภาพ" นั้นกำลังถูกตั้งขอกังขาจากบรรดาผู้เช่าที่เป็นเด็กยุคใหม่
ระหว่างตึกแถว2ชั้น ราคา 3,500 น้ำไฟจ่ายตามการใช้งานจริง กับ อพาร์ตเมนท์1ห้องราคา 3,500 บาทต่อเดือนพ่วงขายน้ำขายไฟ
ในขณะที่คนรุ่นก่อนเห็นประโยชน์จากพื้นที่ใช้สอยของตึกแถวสองชั้นที่สามารถพลิกแพลงรูปแบบการใช้สอย มีพื้นที่อรรถประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดทำอะไรเล็กๆน้อยๆ หรืออยู่รวมเป็นครอบครัวใหญ่เพื่อหารค่าใช้จ่าย
คนรุ่นใหม่มักจะเลือกอย่างหลัง เพราะทุกอย่างพร้อมสรรพหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ ไม่ต้องมาทำความสะอาด มาทาสี มาซ่อมแซม
เด็กจบใหม่วัยเริ่มสร้างครอบครัวในยุคนี้นั้น อยากแยกตัวออกมาอยู่อย่างสันโดษ ต้องการอะไรง่ายๆ สมบูรณ์พร้อม มาถึงก็เปิดซองกินเลย
นี่เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากการนั่งคุยกับผู้ที่มาสัมภาษณ์จะขอเช่าบ้าน หลายครั้งที่ผู้จะเช่าและผู้ให้เช่ามีคอนเซปต์ไม่ตรงกัน มันก็ไปต่อกันไม่ได้
ขอพูดถึงเรื่องลูกบ้านสักนิด ไม่ได้จะนินทาแต่มีเรื่องนึงที่คาใจและเกิดเป็นคำถามในใจมาตลอดเวลาไปเดินเก็บค่าเช่า
คือ ทำไมคนเราถึงไม่ชอบเรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีตของตน , ตระหนักรู้ดีชั่ว , สิ่งใดควรไม่ควร และมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขรวมถึงอบรมสอนสั่งลูกหลานไม่ให้เดินตามอดีตของตัวเองที่อาจไม่สวยงามนัก???
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพละกัน มีผู้เช่าจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ประสบความสำเร็จหรือสมบูรณ์ในชีวิตครอบครัว
ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุของการมีลูกก่อนวัยอันควร , การประพฤติผิดกาเม , การติดการพนันหรืออบายมุขจนครอบครัวแตกแยก หรือที่เห็นได้บ่อยและดาษดื่น คือปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
ที่ผมเห็น มีครอบครัวจำนวนไม่น้อยเลยส่งต่อ ”มรดกบาป“ พวกนี้ให้แก่ลูกหลานในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อบอวลไปด้วยควันกัญชา สุรา การพนัน และยาเสพติด ไอ้ตอนคลอดลูกมาใหม่ๆ นี่โอ๋อย่างงั่นโอ๋อย่างงี้ ฝันจะปั้นให้เป็นดาวเป็นเดือน แต่พอหมดช่วงเห่อก็ด่าไอ้เห้ไอ้5 เด็กบางคนพูดคำว่า “kวy” เป็นก่อนจะเรียกชื่อพ่อชื่อแม่ได้เสียอีก บางทีเด็กพูดไม่เพราะพ่อแม่ตายายก็ตี ถามว่าไอ้ที่พูดไม่เพราะนี่ใครสอน? ก็พวกเมิงนั่นแหละทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่าง ละเลยเลี้ยงเด็กเหมือนเลี้ยงหมา ปล่อยให้ไปคุ้ยดินคุ้ยทราย แต่ในขณะปากก็คาดหวังให้เรียนหนังสือสูงๆ ฝันให้เป็นหมอ เป็นวิศวะ เป็นคนสุภาพ เป็นเจ้าคนนายคน แต่การกระทำการอบรมการประพฤติตนเป็นแบบอย่างของบุพการีกลับวิ่งสวนทาง
โบราณว่า “หว่านพืชเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้น” เด็กไม่ใช่มะละกอนะที่จะหว่านเมล็ดไปแล้วหวังให้กลายพันธุ์เป็นมะม่วง
สุดท้ายเด็กเหล่านี้ก็โตมาย่ำรอยเท้าพ่อกับแม่แตกหน่อขยายกอเป็นวัชพืชทับถมเพิ่มน้ำหนักให้สังคมสืบต่อไป
จากกระทู้ก่อนๆ มีคนถามว่า ทำธุรกิจนี้เคยมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลมั๊ย?
เอาจริงๆนะครับ ตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ทำธุรกิจนี้ เราพยายามยึดคติ "กินขี้หมาดีกว่าค้าความ" ครับ
เพราะเมื่อเป็นคดีความเมื่อไหร่ ทนายเอาไปรับประทานหมด ค่าเช่าเดือนละ 3,500 บาท ค้างค่าเช่า 6 เดือน ถ้าจะต้องฟ้องขับไล่ ค่าทนายอย่างต่ำๆพ่อก็ล่อไปครึ่งแสนแล้วครับ จะไปเอาที่ไหนมาคุ้ม
ส่วนใหญ่พวกที่ค้างค่าเช่าไว้จะ "แพ้ภัย" และจากไปเอง
บ้างก็จากไปเพราะ "ยางอาย" มันทำงาน
บ้างก็จากไปเพราะอยู่ไม่ได้ เนื่องจากเจ้าหนี้หลายรายมารุมล้อมหน้าบ้าน เจ้าหนี้บางส่วนก็เพื่อนบ้านร้านตลาดด้วยกันเนี่ยแหละครับ อยู่ด้วยกันโกงกันเอง
คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีหนี้เฉพาะค่าเช่าครับ หนี้รายวัน ไฟแนนซ์ต่างๆ รายล้อมรอบเอวไปหมด ขืนทู่ซี้อยู่ต่อไม่วายนอนจมกองteenเจ้าหนี้
แต่ผมก็ต้องยอมรับว่า บางกรณีก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนทางกฎหมาย
ยกตัวอย่างเช่น เคยมีกรณีลูกบ้านห้องนึง ค้างค่าเช่าแล้วล้อคบ้านหนีไปดื้อๆ ทิ้งข้าวของไว้ในบ้านด้วยนะ
เราในฐานะเจ้าของบ้านจะดุ่มๆตัดประตูเข้าไปขนข้าวขนของเขาออกมาขายซาเล้ง อาจจะได้ไปทัวร์ห้องกรงนะครับ
สิ่งที่ผมทำคือต้องใช้กำลังวิชาเผือกศึกษา สืบจนทราบว่าหนีไปอยู่แห่งหนตำบลใด แล้วผมขับรถเอาจดหมายไปให้เซ็นถึงที่ทำงานใหม่เลยว่าสละสิทธิ์ในทรัพย์และอนุญาตให้ผู้เช่าเข้าไปดำเนินการในห้องนั้นได้ แม่มช้อคตาตั้งไปเลย
เคยมีเคสที่ต้องพึ่งทนายขอคำสั่งศาลเพือขออนุญาตเปิดบ้านเข้าไปขนของออกมาก็มี
แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับ ค่าทนายเอาไปรับประทานเสียหมด ปวดตับจริงๆ
ผมถึงไม่แปลกใจที่ได้ยินข่าวเจ้าหนี้ยกพวกรุมกระทืบ ทุบหม้อข้าว จานชาม ไล่พวกเหนียวหนี้ไป คือมันง่ายและเห็นผลรวดเร็วพร้อมทั้งต้นทุนต่ำครับ อยากฝากผู้อ่านไว้นิดนึง เวลาฟังข่าวตามสื่อต่างๆเรื่องการทวงหนี้โหด ดักตบดักตี อย่าไปอินเนื้อข่าวใส่อารมณ์สงสารมากนัก ถ้ามีโอกาสลองไปถามๆบรรดาเพื่อนบ้านของเหยื่อที่โดนยำteenดู บางทีคนรอบข้างเขาอาจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “สมควรตาย”
กระทู้นี้คร่าวๆเอาเท่านี้ก่อนนะครับ
ขอบคุณที่ติดตาม
สวัสดีครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


(กระทู้ 3) -- ความน่าปวดหัวของการทำห้องเช่าราคาถูกหากินกับรากหญ้าและกรรมาชีพ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้