คนแถวนั้นเรียกชายคนนี้ว่าลุง หากจะไล่เรียงไปว่าแกชื่ออะไรก็หาคนตอบได้ยากเต็มที่ ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ คนที่รุ่นราวคราวเดียวกับแกนั้นหาได้ยาก และยิ่งยากยิ่งกว่าหากจะพบเจอแกบนถนนหนทางอื่น นอกจากบ้านแกและตลาดนัด ผมลองเลียบเคียงถามผู้คนอื่นที่อยู่รอบ ๆ เกี่ยวกับเรื่องของแก เรื่องอายุ หรือเป็นอยู่อย่างไรคนเดียว ลำพังไร้ญาติมิตร ก็ไม่ได้คำตอบอะไรมากนัก นอกจากคำบอกเล่าว่าแกเคยเป็นทหาร
ภาพที่ชินตาผู้คนคือ ชายชราร่างผอมเดินหิ้วข้าวสวยที่หุงขายในตลาดในมือข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเป็นปลาทูนึ่งสองสามเข่งและของอื่น ๆ ด้วยเคยเป็นทหารมาก่อน วัยนี้แล้วร่างผอมนั้นยังเดินหลังตรงไปยังบ้านเก่าหลังเดียวที่ไม่ได้ปลูกโดยโครงการบ้านจัดสรร บ้านปูนชั้นเดียว มีบริเวณด้านหน้ากว้าง มุมซ้ายมีต้นมะม่วงใหญ่ ด้านขวามีอ่างน้ำสองสามอ่าง ถาดใส่ทรายทำจากกล่องขนมคุ๊กกี้ แมวไทยตัวโตนอนเล่นอยู่บนโต๊ะปูนข้างบ้าน
บ้านหลังนี้มีชีวิตชีวาจากความเงียบ เมื่อเสียงไวโอลินบรรเลงในเวลาราวทุ่มครึ่งทุกวัน ลุงเล่นเพลงได้แทบทุกเพลงโดยไม่ต้องดูโน้ต บางหนเพลงใหม่ที่เปิดจากตลาดนัดที่แกเพิ่งเดินจากมา ถ้าแกชอบ แกฮัมจำทำนองได้ เสียงจากคันชักก็สีออกมาเป็นโน้ตตัวเดียวกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่จังหวะนั้นจะละมุน หวานแว่ว อบอุ่น ไม่เร่าร้อน ผมยืนฟัง เรียกว่ารอคอยฟังแทบทุกคืนนั่นเอง ผมรักเสียงไวโอลิน นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ผมมาหยุดรอเพื่อจะทักทายแกในวันนี้
“สวัสดีครับลุง” ผมยกมือไหว้
“มีอะไรหรือหนุ่ม”
“ผมชื่อนพครับ ชอบเพลงที่ลุงเล่น”
“จะให้สอนเหรอ” ผู้อาวุโสยิ้มละมัย"
“เปล่าหรอกครับ อยากมานั่งดู ผมเคยเรียนมาตอนเด็ก ๆ ไม่ได้เล่นมานานแล้ว”
เท่านั้นเอง ที่เส้นอะไรสักอย่างมาบรรจบทำให้คนสองวัยได้รู้จักกัน ทำให้ผมรู้อีกอย่างว่าบ้านเก่าและสะอาดเรียบร้อย ทว่าฝาบ้านเต็มไปด้วยชั้นหนังสือสะสมและเอกสารภาษาต่างประเทศหลากหลาย ไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเคยเป็นทหาร หรือ ทำงานราชการอะไรเลย
“ลุงเป็นหนอนหนังสือ และเคยรับราชการทหารแบบที่ชาวบ้านเขาบอกใช่ไหมครับ ?”
ผมถามขึ้นในอีกสองวันที่เอาไวโอลินคู่กายของผมมาให้ลุงช่วยตั้งบาร์และขึ้นสายให้ใหม่
“ทหารน่ะเคยเป็น แต่หนอนน่ะยังเป็นอยู่”
“ดนตรีล่ะครับ”
ผมถามอีก
“ดนตรี หนังสือและแมว คือชีวิตที่เหลือ”
ลุงยิ้มหลังยื่นไวโอลินให้ผม
"สายกลางมันขาดไปเส้น ดีนะหมุดไม่หายไป สายที่เหลือช่วยประคองคอไม่ให้คดได้ เปลี่ยนให้แล้ว"
สายเส้นที่ขาดมันยังมีประโยชน์ ก็เพิ่งจะรู้จากลุงในวันนี้เอง
ผมทดสอบด้วยการเล่นเพลงไล่คีย์ และเพลงลูกกรุงอีกสองเพลงกับลุง มันไพเราะกว่าในชั้นเรียนดนตรีที่ผมเกลียด คุณหมอบอกว่าดนตรีจะช่วยทำให้ผมดีขึ้นจากโรคซึมเศร้าที่เป็น โรคที่เห็นแต่ภาพมายาและเทพผู้ทรงฤทธิ์มาบงการชีวิตผม ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนจริงจัง และดิ่งลึกไปในทุกงานที่ทำ เข้าข้างตัวเองว่าการทำงานในบริษัทข้ามชาติมาสิบกว่าปี มันเครียด เครียดบรรลัย เป็นตัวการทำให้ผมป่วย มันลุกลามไปถึงทำลายความชื่นชอบในชีวิตผมให้มีอะไรเหลือ รวมทั้งหนังสือที่เคยหลงใหล ผมก็ไม่อยากเตะต้องมันอีกเลย
“หนังสือเล่มไหนที่ลุงชอบที่สุด ผมเหมือนเด็กช่างซัก แกไม่ตอบ แต่ยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มหนาแล้วส่งให้ผม
“รู้จัก One Hundred Years of Solitude ของ กาเบรียล มาร์เกซไหม ?”
“ครับ”
“ภาษาสเปน ?”
“อื้มม ใช่ ตอนนั้นนะ ฉันเผลอไปอ่าน บ้าบรรลัย ไม่รู้ได้รางวัลและคนชื่นชอบไปได้ไง”
ลุงเดินไปเปิดไฟที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือเล่มหนาพอกันแต่ดูใหม่กว่ามาอีกเล่ม พร้อมอุ้มแมวอ้วนมาวางบนตักกลิ่นปลาทูจากปากแมวแรงจนผมมึนหัว
“ฉันศรัทธาในตัวเขา อะไรก็ไม่รู้วันหนึ่งฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อการตอนเคลื่อนไหว พอจบ ทางการผู้ชนะเรียกว่าเราผู้ขบถต่อความมั่นคงของชาติ ฉันลี้ภัยไปต่างแดนอยู่นาน เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้แค่สิบปี ฉันโทษเขาเต็ม ๆ”
อดีตเสนาธิการทหารราบ หัวเราะเสียงดัง
“อันนี้ใหม่หน่อย ฉบับแปล อ่านง่าย สำนวนเขาดี หดหู่แต่สวยงาม เหมือนหลุดพ้นจากคำสาป เอาไปอ่านสิ”
ผมหยิบหนังสือที่คุ้นทั้งปกและตัวหนังสือมาลูบไล้อ่อนโยน
“ฉันได้รับการบำบัด และเข้าใจตัวเองมากขึ้น เพราะเล่มนี้นะ”
ผมยิ้มอย่างมีความสุข มองเห็นเส้นมาบรรจบกันอีกเส้นหนึ่งแล้ว
“ชายแก่ผู้โดดเดี่ยวกับแมวอ้วนและปลาทูจากตลาดนัด”