แว่นท็อปเจริญ คนเข้าร้านน้อย แต่รายได้ ‘5 พันล้าน’ ?

คนเข้าร้านน้อย แต่รายได้ ‘5 พันล้าน’ ? ‘แว่นท็อปเจริญ’ กำไรเยอะ ตัดวันละ 2-3 อัน ก็อยู่ได้!
เส้นทาง “นพศักดิ์ ตรีพรชัยศักดิ์” แห่ง “แว่นท็อปเจริญ” เริ่มจากทำหน่วยรถเร่ตัดแว่น ชีวิตพลิกผันเพราะพ่อแม่เสียชีวิต สวมหมวกเถ้าแก่ตั้งแต่อายุ 16 ติดปีก “แว่นท็อปเจริญ” ครอบคลุม 2,100 แห่งทั่วประเทศ ตั้งเป้าเป็น Local Brand แห่งอาเซียน
.
อายุ 16 คือช่วงปีที่คาบเกี่ยวระหว่างวัยรุ่นตอนกลางและกำลังเดินทางสู่วัยรุ่นตอนปลาย เทียบกับเด็กยุคนี้คงอยู่ระหว่างเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่สำหรับเด็กชายนพศักดิ์เมื่อ 40 ปีที่แล้ว เขาจำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียนทั้งที่มีวี่แววเป็นตัวเต็งสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ เพราะมีผลการเรียนดีเยี่ยม ได้ที่ 1 ของโรงเรียนแทบทุกปี ทว่า ชีวิตเกิดพลิกผันเมื่อพ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่
.
ท่ามกลางความโชคร้ายก็มีความโชคดีที่ “คุณพ่อเจริญ” ทิ้งมรดกทางความคิดให้ลูกชายต่อยอดได้อีกไกล “นพศักดิ์” สวมบทบาทเถ้าแก่ร้านแว่นตาธุรกิจของพ่อในวัย 16 ปี ได้เก็บเล็กผสมน้อยองค์ความรู้มาบ้างจากการออกหน่วยรถเร่ พร้อมกับเรียนวิชาทำแว่นกับพี่ๆ พนักงานในร้านไปพลาง
.
ยุคสมัยนั้นบริบทครอบครัวคนจีนมีวิธีคิดเรื่องการสร้างกิจการและส่งต่อให้ทายาทด้วยสัดส่วนเท่าๆ กัน หากคนพ่อทำร้านขายยา มีลูก 3 คน ก็จะเปิดร้านขายยาให้ลูกๆ อีก 3 ร้าน หรือถ้ามีลูกคนเดียวก็เปิดอีก 1 ร้านเท่านั้น “นพศักดิ์” ที่เป็นลูกชายคนเดียวเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าเขาคิดอยากเปิดร้านแว่นหลายๆ ร้าน จะทำได้หรือไม่ ติดปัญหาตรงไหน และต้องวางแผนอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จแม้ไม่มีญาติพี่น้องช่วยดูแลสักคนเดียว
.
จากที่พ่อแม่อยากให้สอบเข้าหมอ แต่เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิด “นพศักดิ์” จึงนึกถึงคำสอนพ่อที่ว่า “ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือ ให้ทำธุรกิจแว่นตาจะดีที่สุด” เพราะร้านแว่นตาคู่แข่งน้อย กำไรดี และเป็นงานสบาย เขาจำไว้ขึ้นใจและเร่งสานต่อธุรกิจ “เจริญการแว่น” ตั้งแต่อายุ 16 ปีทันที ศึกษางานไปสักพักก็คิดอยากเปิดร้านเพิ่มอีกหลายสาขา นพศักดิ์มานั่งกางแผนดูความเป็นไปได้ว่า จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เปิดร้านต้องมีคนทำงานที่เป็นทักษะเฉพาะ ต้องวัดสายตาเป็น เจียระไนเลนส์ได้ เลือกโปรดักต์ให้เข้ากับลูกค้า ฯลฯ สารพัดอย่างที่ทำให้รู้ว่า การเปิดร้านแห่งที่ 2 ไม่ใช่เรื่องง่าย
.
40 ปีที่แล้ว คำว่า “ร้านสาขา” หรือการขยายรูปแบบเชนสโตร์ยังไม่มีในไทยด้วยซ้ำ ร้านฟาสต์ฟู้ดที่ขยายหลักร้อยหลักพันแห่งก็ยังไม่เข้ามาตีตลาดในไทยแม้แต่เจ้าเดียว นพศักดิ์ไม่มี “Role Model” ให้เดินตามแต่เขาก็ไม่คิดล้มแผนเปิดร้านใหม่ ขาดคนก็ต้องเร่งรับคนใหม่มาเทรนนิ่ง ระดมเฟ้นหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดสายตา ช่างเทคนิคเจียระไนเลนส์ พนักงานขายมือฉมัง เพื่อ ให้คนเหล่านี้ฝึกเด็กใหม่แล้วกระจายไปตามร้านสาขาในอนาคต
.
ท่ามกลางยุคสมัยที่การทำธุรกิจแบบคนจีนต้องมีพี่มีน้องล้อมรอบ ไปคุยไอเดียเปิดร้านใหม่กับใครก็มักได้รับคำเตือนกลับมาว่า “ระวังเจ๊ง” เพราะไม่มีใครนึกภาพออกว่า การเปิดร้านที่เจ้าของหรือญาติพี่น้องไม่ได้ลงไปดูแลด้วยตัวเองจะเป็นอย่างไร ประกอบกับทุนในการหาทำเลเปิดใหม่ที่ตอนนั้นยังไม่มีไอเดียเรื่องการเช่าเข้ามาเกี่ยวข้อง “ซื้อ” หรือ “เซ้ง” เท่านั้น ที่จะทำให้ได้พื้นที่ไปต่อยอด
.
เด็กอายุเพียง 16-17 ปี ไม่มีเงินทุนหลักล้านในการซื้อตึกทีเดียวหลายๆ แห่ง หากเป็นการซื้อขาดราคก็สูงถึง 10-20 ล้านบาท หรือเซ้งเพื่อเช่าระยะยาวก็ต้องใช้เงินก้อน 7-8 ล้านบาท ทำแบบนี้อย่างไรก็ขยายกิจการไม่ได้ “นพศักดิ์” จึงใช้ลูกตื๊อเปิดใจคุยกับอาแปะเจ้าของตึกตรงไปตรงมาเพื่อขอเช่าด้วยการจ่ายล่วงหน้า 3 เดือน เขาบอกว่า ยุคนั้นคนจีนถือเรื่องนี้มากเพราะกลัวโดนเบี้ยวค่าเช่า แต่ด้วยวาทศิลป์ของนพศักดิ์สุดท้ายจุดเริ่มต้นของการขยายสาขาจึงใช้เงินทุนไปเพียง 15,000 บาทเท่านั้น
.
“คุณพ่อเคยบอกไว้ว่า ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือจะทำธุรกิจอะไรให้ทำแว่นตาดีที่สุด เพราะเป็นงานสบาย กำไรเยอะ กำไรดี อย่าไปทำอย่างอื่นให้ทำแว่น ผมเลยจำฝังหัวว่า ถ้าจะอดตายให้ทำแว่น แต่ก่อนคุณพ่อใช้ชื่อ “เจริญการแว่น” มีหน่วยรถเร่ขายแว่นตาอยู่ทั่วประเทศเราก็มาทำต่อ ตอนนั้นอายุ 16 จริงๆ ผมจบน้อย จบแค่ม.ศ. 3 พอมารับช่วงเราก็ดูว่า คุณพ่อมีร้านอยู่ร้านเดียว แล้วก็มีหน่วยรถเคลื่อนที่ เราก็คิดว่า ทำไมร้านแว่นเปิดหลายๆ สาขาไม่ได้ ซึ่งธุรกิจแว่นตาเป็นธุรกิจสายเลือด คนนอกวงการไม่มีใครมาทำ ณ วันนี้ก็ยังไม่มี ที่มีก็ต้องจบจักษุแพทย์เท่านั้นถึงมาทำได้”

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่