หลายท่านคงชอบกินกุนเชียงนะครับ ผมก็ชอบกิน ง่ายสุดก็ทอดกินแหละ ใส่ตู้อบบ้าง ก็พอกินได้ระดับนึง แต่ที่ผมชอบกินจริงๆก็คือกุนเชียงปิ้ง
วันนี้ได้รับกุนเชียงจากทางไกล มีคนส่งมาให้เพราะกลัวว่าผมจะขาดอาหาร ไม่ได้โฆษณาหรือรีวิวสินค้านะครับ แค่เล่าให้ฟังว่าผมกินยังไง
ก่อไฟเข้าเตานึงครับ แต่ขอบอกไว้เลยว่ามันควรจะเป็นไฟที่ใช้ปรุงอาหารอย่างอื่นมาแล้ว เป็นกองไฟมือสอง คือผ่านช่วงเวลาที่เชื้อเพลิงปลดปล่อยพลังงานช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว เป็นความร้อนขาลง
เอาตะแกรงขึ้นวาง หรือไม่ก็เราเอากุนเชียงเสียบไม้ก็ได้ครับแล้วแต่ถนัดเลย การปิ้งกุนเชียงใช้ไฟอ่อนๆและต้องเฝ้าตลอดเวลานะครับ ย้ำว่าตลอดเวลา กลับด้านหรือหมุนทีละนิดๆ อย่าวางแช่ไว้นานๆผิวหรือเปลือกมันจะไหม้ได้ ค่อยๆหมุนตรวจดูว่าถ้าเห็นเปลือกมันพองออกมาเราก็ขยับหมุนนิดนึง หมุนไปเรื่อยๆ น้ำมันที่อยู่ในตัวของกุนเชียงจะไหลออกมา เราก็แค่หมุนให้น้ำมันเคลือบผิวไปเรื่อยๆ จนสุก
กลิ่นหอมของกุนเชียงปิ้งจะโชยออกมาตอนที่มันสุกดีแล้ว ถ้าคิดว่ามันสุกดีก็แต่งผิวซะหน่อย คือวางบางส่วนให้เกรียมๆ กุนเชียงที่รสดีที่สุดในความคิดของผมคือมันต้องติดเกรียมๆบางส่วน
วันนี้ไม่มีข้าวหมูกรอบหรือข้าวหมูแดง แต่มีกุนเชียง กุนเชียงปิ้งกับข้าวสวยซักจานหรือสองจาน มันจะมีหมูกรอบหรือไม่มีก็คงไม่ต่างกันเพราะวันนี้กินข้าวคนเดียว เป็นอีกมื้อหนึ่งซึ่งอยู่ในความเงียบงัน นั่งกินข้าว นั่งดูข้าว ราวกับว่าผมมองเห็นเมล็ดข้าวทุกเม็ดที่ผมกำลังจะกิน
นานๆทีผมถึงจะได้นั่ง นั่งเฉยๆท่ามกลางสภาพแวดล้อมเดิมๆที่ผมใช้ชีวิตอยู่ นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเก่าที่เดินผ่านไปมาทุกวัน วันละหลายๆรอบ แต่น้อยครั้งที่จะได้นั่งลงแบบนิ่งๆ นั่งฟังเสียงนกร้อง นั่งรอเสียงไผ่สีกันและคอยให้สายลมเย็นเอื่อยๆมากระทบตัว พาอากาศสดใสเติมเข้าไปในลมหายใจอิดโรย
บนโต๊ะก็ไม่มีอะไร จริงๆที่ผมนั่งเล่นก็ไม่ใช่โต๊ะตัวนี้แต่เป็นอีกตัวที่อยู่ข้างๆกัน ขยับไปอีกนิด โต๊ะโล่งๆ บางทีก็เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหรือใบไม้แห้ง ผมชอบที่จะนั่งตรงนี้ ไม่ใช่ชอบโต๊ะตัวนี้ บางทีมันก็แข็งกระด้างและค่อนข้างสกปรก แต่ชอบบรรยากาศของการนั่งที่นี่ ชอบที่ตั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ของมัน อยู่ใต้ต้นไม้ ริมน้ำ และในยามค่ำคืนมันมักจะตั้งเย็นเฉียบอยู่ใต้แสงดาว บางคืนผมก็นั่งที่นี่ บางทีก็หัวค่ำ บางทีหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา เดินออกจากบ้านมานั่งซึมซับความมืด นั่งฟังเสียงความเงียบ นั่งสัมผัสความเหงา
กุนเชียงปิ้งถูกกินไปราวๆครึ่งชิ้น เราควรจะนึกถึงครึ่งชิ้นที่ยังอยู่หรืออีกครึ่งหนึ่งที่หายไป แมวสิบตัวดีกว่าแมวสิบเอ็ดตัวหรือแมวสิบเอ็ดตัวดีกว่า เราควรคิดถึงแมวตัวที่ยังอยู่หรือแมวตัวที่หายไป วันเวลาที่ผ่านเลยโดยที่รู้ตัวก็ดีไม่รู้ตัวก็ดี มันดีกว่าวันเวลาที่เหลืออยู่รึเปล่า หรือวันที่ยังมาไม่ถึงดีกว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ผ่านวันเวลายาวนานอันล่วงเลย เหลือหลายสิ่งหลายอย่างมากมายให้เก็บรักษาและทิ้งไว้ในความทรงจำ
รู้ก็สักแต่ว่ารู้ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น เหงาก็สักแต่ว่าเหงา รู้เห็นความเหงาก็ให้เป็นเพียงแค่สักแต่ว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นบ่อยๆในห้วงแห่งความทรงจำบางเรื่องเป็นสิ่งที่เราอยากจะลืม และกลับกันสิ่งที่ควรระลึกถึงเสมอๆกลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจในอันดับท้ายๆ ความขาดๆเกินๆของโลกและหัวใจคนมันเป็นเสียอย่างนี้
แล้วความหิวก็ผ่านไป แต่ความเหงายังอยู่
หวังว่าเมื่อได้พบเธอ ความเหงามันจะถูกทดแทนด้วยบางสิ่งบางอย่าง เมื่อคิดว่าเธอกำลังจะกลับมา ก็เหมือนว่าข้าวคำสุดท้ายมันอร่อยขึ้นนิดนึง
นี่แหละ รสชาติของชีวิตล่ะ
กุนเชียงปิ้ง
วันนี้ได้รับกุนเชียงจากทางไกล มีคนส่งมาให้เพราะกลัวว่าผมจะขาดอาหาร ไม่ได้โฆษณาหรือรีวิวสินค้านะครับ แค่เล่าให้ฟังว่าผมกินยังไง
ก่อไฟเข้าเตานึงครับ แต่ขอบอกไว้เลยว่ามันควรจะเป็นไฟที่ใช้ปรุงอาหารอย่างอื่นมาแล้ว เป็นกองไฟมือสอง คือผ่านช่วงเวลาที่เชื้อเพลิงปลดปล่อยพลังงานช่วงที่ดีที่สุดไปแล้ว เป็นความร้อนขาลง
เอาตะแกรงขึ้นวาง หรือไม่ก็เราเอากุนเชียงเสียบไม้ก็ได้ครับแล้วแต่ถนัดเลย การปิ้งกุนเชียงใช้ไฟอ่อนๆและต้องเฝ้าตลอดเวลานะครับ ย้ำว่าตลอดเวลา กลับด้านหรือหมุนทีละนิดๆ อย่าวางแช่ไว้นานๆผิวหรือเปลือกมันจะไหม้ได้ ค่อยๆหมุนตรวจดูว่าถ้าเห็นเปลือกมันพองออกมาเราก็ขยับหมุนนิดนึง หมุนไปเรื่อยๆ น้ำมันที่อยู่ในตัวของกุนเชียงจะไหลออกมา เราก็แค่หมุนให้น้ำมันเคลือบผิวไปเรื่อยๆ จนสุก
กลิ่นหอมของกุนเชียงปิ้งจะโชยออกมาตอนที่มันสุกดีแล้ว ถ้าคิดว่ามันสุกดีก็แต่งผิวซะหน่อย คือวางบางส่วนให้เกรียมๆ กุนเชียงที่รสดีที่สุดในความคิดของผมคือมันต้องติดเกรียมๆบางส่วน
วันนี้ไม่มีข้าวหมูกรอบหรือข้าวหมูแดง แต่มีกุนเชียง กุนเชียงปิ้งกับข้าวสวยซักจานหรือสองจาน มันจะมีหมูกรอบหรือไม่มีก็คงไม่ต่างกันเพราะวันนี้กินข้าวคนเดียว เป็นอีกมื้อหนึ่งซึ่งอยู่ในความเงียบงัน นั่งกินข้าว นั่งดูข้าว ราวกับว่าผมมองเห็นเมล็ดข้าวทุกเม็ดที่ผมกำลังจะกิน
นานๆทีผมถึงจะได้นั่ง นั่งเฉยๆท่ามกลางสภาพแวดล้อมเดิมๆที่ผมใช้ชีวิตอยู่ นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเก่าที่เดินผ่านไปมาทุกวัน วันละหลายๆรอบ แต่น้อยครั้งที่จะได้นั่งลงแบบนิ่งๆ นั่งฟังเสียงนกร้อง นั่งรอเสียงไผ่สีกันและคอยให้สายลมเย็นเอื่อยๆมากระทบตัว พาอากาศสดใสเติมเข้าไปในลมหายใจอิดโรย
บนโต๊ะก็ไม่มีอะไร จริงๆที่ผมนั่งเล่นก็ไม่ใช่โต๊ะตัวนี้แต่เป็นอีกตัวที่อยู่ข้างๆกัน ขยับไปอีกนิด โต๊ะโล่งๆ บางทีก็เต็มไปด้วยฝุ่นละอองหรือใบไม้แห้ง ผมชอบที่จะนั่งตรงนี้ ไม่ใช่ชอบโต๊ะตัวนี้ บางทีมันก็แข็งกระด้างและค่อนข้างสกปรก แต่ชอบบรรยากาศของการนั่งที่นี่ ชอบที่ตั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ของมัน อยู่ใต้ต้นไม้ ริมน้ำ และในยามค่ำคืนมันมักจะตั้งเย็นเฉียบอยู่ใต้แสงดาว บางคืนผมก็นั่งที่นี่ บางทีก็หัวค่ำ บางทีหลับไปแล้วก็ตื่นขึ้นมา เดินออกจากบ้านมานั่งซึมซับความมืด นั่งฟังเสียงความเงียบ นั่งสัมผัสความเหงา
แล้วความหิวก็ผ่านไป แต่ความเหงายังอยู่
หวังว่าเมื่อได้พบเธอ ความเหงามันจะถูกทดแทนด้วยบางสิ่งบางอย่าง เมื่อคิดว่าเธอกำลังจะกลับมา ก็เหมือนว่าข้าวคำสุดท้ายมันอร่อยขึ้นนิดนึง
นี่แหละ รสชาติของชีวิตล่ะ