อยากมาระบายความรู้สึกและเล่าหลังจากที่ภรรยาขอเลิก

วันนี้มาระบายความรู้สึกหลังภรรยาขอเลิกหลังจากแต่งงานกันมา 7 ปี
มีลูกสาวด้วยกัน 1 คนกำลังได้ 4 ขวบ ยังไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะป่วย หมอให้หยุดก่อน ช่วงกลางวันที่พ่อแม่ไปทำงานจะมียายค่อยเลี้ยง
เริ่มเลย ขออธิบายตัวตนก่อน
        ตัวผม :ทำงานราชการ ไม่ใช่ข้าราชการ ชีวิตธรรมดา ไม่หวือหวาอะไร ไม่เจ้าชู้ แต่เดิมก่อนแต่งงานก็พอตัวตามชีวิตวัยรุ่น หมายถึงเรื่องเที่ยวกินเหล้า หลังแต่งงานเรียกว่าหยุดไปเลยไม่ออกไปเที่ยวกินเหล้าหรือไปเที่ยวพักผ่อนกับเพื่อนๆ อีกเลยตลอด 7 ปีที่แต่งงานมา แต่ก็กินสังสรรค์บ้างแต่จะเป็นที่บ้าน กินกับครอบครัว และตามเทศบาลขึ้นปีใหม่ สงกรานต์ ไม่ได้กินพร่ำเพรื่อเหมือนวัยรุ่นแล้ว ยิ่งมีลูก ยิ่งเอาเวลาส่วนใหญ่ให้กับครอบครัว งานบ้านทั้งหมดผมเป็นคนรับผิดชอบ ปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่างในบ้าน รีดผ้า งานบ้านงานสวน เลี้ยงลูก อาบน้ำป้อนข้าว เอาเข้านอน เล่นด้วยกัน พาไปเล่นนอกบ้านหลังผมเลิกงานเพราะงานผมมีเวลาแน่นอน เลิกงานตรงเวลาทุกวัน และไม่ค่อยมีงานในวันหยุด ทำให้ผมจะมีเวลาอยู่บ้านและมีเวลาเลี้ยงลูก
       ตัวภรรยา : ทำงานราชการ ไม่ใช่ข้าราชการเหมือนกัน เป็นคนค่อนข้างดุ เด็ดขาด ถ้าด่าก็คือปากเจ็บบ้าง ทำงานในส่วนของใกล้ชิดผู้บริหาร (เป็นเลขา) งานยุ่งเสมอ ตามนายไปนั่นไปนี้ อีเว้นท์เยอะเลิกงานไม่เป็นเวลา บางทีก็ทำโอที ทำนอกเวลา ในส่วนนี้ก็จะตรงข้ามกับผมที่กล่าวข้างบน เค้าจะไม่ค่อยมีเวลา เลิกงานค่ำ มีสังสรรค์ข้างนอกบ่อย ผมก็จะปล่อยไปตามใจเค้าตลอด เพราะเข้าใจบริบทของงาน
        ตัวผมกับอดีตภรรยา ก่อนมีลูก เราใช้ชีวิตด้วยกันมาเรียกว่าลุ้มลุกคลุกคลานด้วยกัน ตั้งแต่ทำงานใหม่ๆ วันหยุดก็ไปขายของตลาดนัด คือสู้มาด้วยกัน ตั้งแต่อยู่หอเล็กๆ มาอยู่บ้านเช่า จนมาซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน พอหลังจากมีลูกทำให้ต้องเปลี่ยนการหารายได้เสริมไปทำขนมส่งร้านแทน ยิ่งลูกมาป่วยทำให้เราต้องหาเงินให้มากขึ้น
      เข้าเรื่องเลยละกันครับ สาเหตุความที่ทำให้บ้านแตก ส่วนผมจะบอกต้นเรื่องว่าเรื่องอะไรบ้างเดี๋ยวมาบอกเหตุผลในมุมมองของผม สิ่งที่เค้าบอกว่าทนมาตลอดคือ 1.ผมไม่มีความเป็นผู้นำ  2.เค้าเหนื่อยคนเดียวเหมือนหาเงินเพิ่มอยู่คนเดียว เหมือนว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านคนเดียว 2.ปล่อยปะละเลยไม่ค่อยใส่ใจเค้า วันสำคัญอะไรไม่มีอะไรให้  นี่คือสาเหตุหลักๆ ที่จริงจะมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะ
    ต่อนี้ผมอยากชี้แจงในมุมของผม ในตรงนี้คนอาจจะมองว่าสรุปมันคือการชี้แจงหรือการแก้ตัว ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
1. ในเรื่องความเป็นผู้นำ อันนี้ผมยอมรับ ว่าผมไม่ค่อยแสดงออก เพราะตัวผมเป็นขี้เกรงใจ และตามใจ บางทีก็อยากตามใจเค้าในการตัดสินบางเรื่อง เพราะมันเคยมีหลายๆเหตุการณ์ ที่พอเราตัดสินใจเองแล้ว เค้าก็จะมาด่า มาเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจเราอยู่บ่อยๆ ง่ายๆก็คือเค้าอยากเอาตามใจเค้า จนหลังๆผมก็จะไม่ค่อยอยากตัดสินใจอะไร ถ้าผู้ตามไม่ฟังผู้นำหรือเคารพการตัดสินใจของผู้นำมันก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าบางเรื่องอาจตัดสินใจพลาดไปบ้าง ผู้นำล้วนต้องรับผิดชอบแน่นอน ทำให้ช่วงหลังๆผมก็ไม่ค่อยอยากตัดสินใจอะไร มีอะไรก็ให้เค้าตัดสินใจเลยหรือเราก็จะถามเค้าก่อน สุดท้ายก็จะโดนด่าว่า ไม่มีความคิดเห็นของตนเองบ้าง ทำไมไม่ตัดสินใจไปเลย ซึ่งผมก็นอมรับทั้งหมด
2. เรื่องที่เค้าบอกเค้าเหนื่อยเพราะทำงานหนัก บางทีต้องทำโอที ทำนอกเวลา เหนื่อยคนเดียว อันนี้ถูกต้องครับ ส่วนตัวผมเอง บริบทงานของผมจะไม่มีงานนอกเวลา หรืองานที่ทำโอที คือ รับเงินเดือนอย่างเดียวล้วนๆ   แต่รายได้เสริมของเราสองคนคือ ทำขนมส่งร้าน ผมจะเป็นคนเตรียมวัตถุดิบเตรียมของทั้งหมดให้พร้อม ส่วนเค้าจะเป็นคนทำขนม เราจะทำหลังเลิกงาน อาทิตย์นึงก็ทำ 2-3 ครั้ง แล้วแต่ร้านจะสั่ง  ภาระรับผิดชอบค่าผ่อนบ้านผมจ่ายเองทั้งหมด ค่าน้ำ ค่าไฟ ส่วนภรรยาจ่ายค่าผ่อนรถ ส่วนค่ากิน จิปาถะ ภายในบ้าน ค่าขนมลูก ค่าใช้จ่ายลูกผมจ่ายบ้างเค้าจ่าย ไม่ค่อยได้แยกกัน หากถามว่าทำไมผมไม่ไปหางานทำนอกเวลา คำตอบลูก ครับ ลูกผมป่วย สิ่งที่ผมคิดคือ เลิกงานมาคือต้องกลับมาบ้านเพื่อสับเปลี่ยนกับยาย กลางวันยายดู หลังเลิกงานถึงบ้านก็จะเป็นคิวผมดูทุกอย่างๆจนเอาลูกนอน  
3.เรื่องปล่อยปะละเลย ยอมรับว่าตัวผมเป็นคนแสดงออกความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง แต่เรารักเค้านะ รักมากด้วย แต่ก็ไม่ใช่เฉยชาซะทีเดียว วันสำคัญครบรอบอะไรก็บอกรักตลอด ถ้ามีเงินก็ซื้อของขวัญให้บ้าง แต่ในตัวผม ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยจากเค้า ไม่ต้องซื้อของขวัญให้เลยก็ได้ ผมเป็นคนไม่ยึดติดอะไรเลย เราสองคนไม่เคยทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือ ส่วนใหญ่ผมจะโดนด่ามากกว่า แต่ไม่เคยด่าเค้านะ เงียบมาตลอด ผมไม่เคยดุเค้าด่าเค้า
          เรื่องทั้งหมดอดีตภรรยาผมบอกผมว่า เค้าเก็บความรู้สึกมาตลอด ปี 67 แต่ไม่ได้บอกเลิกอะไรเลย ส่วนตัวผมไม่รับรู้สัญญาณเรื่องอะไรเลย เพราะเราก็ใช้ชีวิตเหมือนปกติมาตลอด จนช่วงต้นเดือน ธ.ค.67  เค้าบอกว่าจะไปกู้เงินสหกรณ์ เพื่อปิดหนี้หลายๆแห่งจะได้รวมหนี้เป็นก้อนเดียว และเงินที่เหลือที่เอามาต่อเติมบ้าน จู่ๆเค้าบอกขอหย่าด้วยเหตุผลเพราะ เป็นการกู้แบบหลายคน ต่างคนต่างค้ำให้กัน ถ้าสมมุติในวงกู้มีคนหนีหนี้ จะได้ไม่ต้องโดนตามสืบทรัพย์คนค้ำและอาจมาถึงสามีคนค้ำ (อันนี้เค้าว่ามางี้) ซึ่งแน่นอนว่าผมคัดค้านไป แต่เค้าไม่ได้ฟังอะไรจนสุดท้ายเราก็ยอมเชื่อ ก็ไปเซ็นหย่า ผ่านไป1เดือนจนตอนต้นเดือน ม.ค.68 เค้าก็บอกเลิกอย่างเป็นทางการ ที่ผมรู้สึกคือ งง ทำอะไรไม่ถูก เหมือนฟ้าผ่าลงมาแบบไม่รู้ตัวอะไรเลย ในใจสับสน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบครอบครัวปกติมากๆๆๆ ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันมาเลย สิ่งที่เค้าบอกก็ประมาณสาเหตุตามข้างบน และมีสาเหตุเรื่องอื่นๆบ้างเช่นบอกว่าผมเข้าไม่ได้กับเพื่อนที่ทำงานเค้า ซึ่งผมก็ งง ตรงนี้ ว่าผมไม่เข้าที่ทำงานเค้ายังไง เจอใครผมก็ไหว้ถ้ารู้จักก็ทักทายตลอด และบอกว่าแม่ผมไม่สนใจเค้า อันนี้ยิ่งไปใหญ่
        เค้าบอกเค้าวางแผนมาตลอด 1 ปี  ตั้งแต่ขอแฟลตที่ทำงานอยู่ โดยอ้างบอกว่าเอาไว้อยู่เพราะเวลามีงานค่ำ เลิกดึก หรืองานไปเช้า จะได้ไม่ต้องรีบ ซึ่งช่วงปี 67 เค้าก็จะไปๆมานอนบ้านบ้าง นอนแฟลตบ้าง จนช่วงหลังๆแม่ยายก็คือแม่ภรรยาเค้าเริ่มไม่พอใจ ว่าทำไมไม่นอนบ้าน จะเลิกงานอะไรดึกตลอด งานอะไรหนักหนา ลูกผัวก็อยู่บ้าน จะไปนอนที่อื่นทำไม ซึ่งตอนนั้นผมก็จะค่อยแก้ตัวแทนภรรยาว่าเค้าทำงานจริงๆ จนมาตอนเค้าบอกเลิก ผมเลย อ๋อ ว่าที่ผ่านมามันคือสิ่งที่เค้าวางแผนเพื่อเตรียมหย่ามา ทั้งขอแฟลตอยู่ ใช้ข้ออ้างกู้เงินเพื่อขอหย่า เค้าบอกเค้าหมดรักเรานานแล้ว
      หลังจากที่โดนบอกเลิก ก็ตามสเต๊ปเลยเลยครับ ก็ต้องง้อ ทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สำเร็จ ภรรยาผมเป็นคนใจแข็งมาก ช่วงระหว่าง ที่โดนบอกเลิกต้น ม.ค.68-จนถึง มี.ค.68 ผมก็ปรับตัวมาตลอดแต่ก็ไม่เป็นผล เค้ายังไม่ใจอ่อน
   ***จุดพีคอยู่ตรงนี้  ยอมรับว่าพอโดนเลิกเราก็จะเริ่มสืบละว่า เค้าไปมีคนใหม่ละยังหรือยังไง ตามเช็คในเฟสของภรรยาไล่ดูคอมเม้นไล่ดูคนกดไลท์ ว่ามีใครเข้าข่ายบ้าง จนกระทั่งปลายมี.ค.68 เซ็นส์ญาณทิพย์ก็ทำงาน บังเอิญผมก็เข้าไปดูเฟสของ ผช.คนนึงซึ่งเป็นคนที่ทำงานเดียวกันของภรรยา  ไปเจอรูปที่โพสสตอรี่ แบบหลายๆรูป ส่วนใหญ่เป็นรูปไปเที่ยวด้วยกัน โอบกอดถ่ายเซลฟี่กันในหลายๆสถานที่ พร้อมมีแคปชั่นว่า "ครบรอบ6 เดือนแล้วจะรักเธอตลอดไป" เท่านั้นแหล่ะ ผมแคปทันที ในใจผมสั่น มือสั่น และผมก็ส่งรูปไปที่แชทภรรยา หาก ลองไล่ไทม์ไลน์ แสดงว่าคบกันมาตั้งแต่ ต.ค.67 ซึ่งมันคือก่อนที่ผมไปหย่ากับเค้าตอน  ธ.ค.67 ยิ่งทำให้เรา อ๋อ เข้าไปอีกว่า สรุปที่ไปอยู่แฟลต เลิกค่ำไม่กลับบ้านหรือบอกติดงานวันนี้นอนแฟลต  ที่แท้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง  หลังจากส่งรูปที่แคปไว้ ไปให้อดีตภรรยา เค้าบอกว่า ที่ผ่านมาไม่ปรับตัวอะไร ตอนนี้จะเรียกร้องเอาอะไร เค้าบอกหมดรักเราก่อน มาคบคนใหม่ อีกอย่างเค้าก็บอกว่า ทุกอย่างมันใช้เวลาไม่ใช่ที่จะเลิกแลัวคบคนใหม่ทันที ผมก็ อึ้ง พูดอะไรไม่ออกเลย
      ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรักและซื่อสัตย์ต่อเค้ามาตลอด ตัวผม ดีบ้าง บกพร่องบ้าง ในวิถีมนุษย์คนนึงบนโลกนี้ที่ไม่ได้เพียบพร้อม แต่สิ่งที่ผมมีคือ ผมไม่หักหลังใครหรือแทงข้างหลังใคร แม้ตอนนี้จะทำอะไรไม่ได้ เพราะถึงแม้รู้ว่าคบกันก่อนหย่า ก็ย้อนหลังกลับไปทำอะไรไม่ได้ เพราะสาระสำคัญมันคงไม่อยู่ที่ การมีคนใหม่ มันคือตัวผมทั้งนั้นที่เป็นสาเหตุและเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด สิ่งที่ผมยอมรับกับเค้าที่เค้าบอกผมถึงสาเหคุที่เลิกกัน ผมนอมรับทุกอย่าง ผมไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ผมสามารถทำได้ในอนาคตต่อไปได้ นั่นคือสิ่งที่ผมมาตลอด หลัง ม.ค.68 ที่เค้าบอกเลิก มาวันนี้ที่รู้ว่ามีคนใหม่ สิ่งที่ผมทำและปรับปรุงตัว คงไม่มีประโยชน์แล้ว
     วันนี้ทุกคนคงคิดว่า ก็สมน้ำหน้าผมแล้ว ที่ผ่านมาทำไมไม่ทำไม่ปรับ มาเสียดายมาทำอะไรตอนที่มันสายไป ผมก็ยอมรับและก้มหน้าก้มตารับในสิ่งที่เกิด ผมสงสารแค่ลูก ลูกอยู่กับผมส่วนใหญ่เพราะผมยังอยู่บ้าน และในใบหย่า ตัวอดีตภรรยาก็ให้ระบุผมเป็นผู้ปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว
  ปัญหาใหญ่ที่เกิดอีกอันนึง พอทางบ้านของอดีตภรรยารู้เรื่องทั้งหมด ทั้งเรื่องหย่า เรื่องที่มีแฟนใหม่แล้ว หรือที่หลอกแม่ว่าทำงานกลับดึกหรือไม่กลับบ้านเลยเพราะสันนิษฐานคงไปอยู่กับคนใหม่  จนสนใจลูกน้อยลงไปมาก ทั้งแม่ยาย พ่อตา พี่สาวภรรยา ยอมรับไม่ได้ จากปัญหาทั้งหมดยิ่งยอมรับเรื่องผช.คนใหม่ของอดีตภรรยาไม่ได้ ถึงขั้นห้ามเอาเข้าบ้าน เพราะอายชาวบ้านเค้า สิ่งที่ผมทำให้ได้คือ ผมคุยกับพ่อตาแม่ยายไปบ้างแล้ว ว่าอย่าไปด่าไปว่าอดีตภรรยา เค้าก็มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น จะไปห้ามกันได้นานขนาดไหน ยอมรับในรักครั้งใหม่ของลูก เพราะนั่นก็เป็นชีวิตที่เหลือของเค้า ผมยอมรับต่อหน้าพ่อตาแม่ยาย เพราะผมก็คือสาเหตุของเรื่องทั้งหมด ได้ขอโทษกราบเท้าท่านทั้งคู่ ที่ไม่สามารถรักษาชีวิตครอบครัวเอาไว้ได้ และทำให้ลูกสาวของท่านเสียใจ
          หลังจากนี้ ชีวิตอดีตภรรยาก็คงเริ่มสุขแล้ว ส่วนตัวผมเองก็คงจะทุกข์ไปอีกนานแสนนาน ข้าวก็กินไม่อร่อย นอนก็ไม่ค่อยหลับ แม้จะมีคนบอกว่า เลิกไปก็หาใหม่ได้ ความตั้งใจของผม ชีวิตที่เหลืออยู่ผมคงให้กับลูกผมแค่คนเดียวแล้ว  ทุกอย่างที่เกิดผมขอนอมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว
         สุดท้าย ความในใจของผม "ผมยังรักอดีตภรรยาของผมเหมือนเดิม และยังคิดถึงเค้าตลอด ทุกสิ่งที่ผ่านผมมีแต่ความหวังดีและความรักที่ให้เค้า"
"สิ่งที่ผมมี ความดีที่ผมทำ บางทีก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการ และสิ่งที่เค้าต้องการก็เป็นสิ่งที่ผมทำได้ไม่ดีพอ"  
ถึงตรงนี้ก็ขอนอมรับคำวิจารณ์ และคำด่าจากทุกท่าน ขอบคุณทุกๆคนครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่