หลังจากแผ่นดินไหว คนที่เคยอยู่คอนโดสูง จะยังกล้าที่จะเข้าอยู่คอนโดสูงอยู่รึเปล่า
หรือ จะย้ายหาบ้านแนวราบอยู่ แถวชานเมือง ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวก อย่าง นนทบุรี บางบัวทอง ศาลายา ปทุมธานี
และยังสงสัยว่า ทำไมออฟฟิศต่างๆ ต้องกระจุกตัวแถว สาทร สีลม เพลินจิต...
ทำไมออฟฟิศไม่ กระจายตัว ออกมาชานเมือง?? ทั้งที่ แถวนั้นแออัด ค่าเช่าก็แพง
ผมเองเคยใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมือง กรุงเทพ หลายสิบปี รู้สึกเลยว่า
อยู่ใจกลางเมืองนั้นวุ่นวายมาก มลพิษ ควันเยอะ เหมือนอยู่ในเตาหมูกะทะ ตลอด24ชม.
ตอนอยู่ใจกลางเมือง ตื่นเช้ามาจะมีเสมหะเยอะ หายใจไม่ค่อยสะดวก
ค่าใช้จ่าย ต่างๆเยอะ ทั้งค่าจอดรถ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เวลาอยากจะพักผ่อน
ต้องใช้เงินไปกับ การกิน การดื่ม ตามร้านอาหาร....
พอได้ย้ายมาอยู่ชานเมือง เหมือนเปิดมุมมองชีวิตใหม่เลย .... อากาศดีกว่ามากๆๆๆ
เดินทางไปไหนสะดวก รถไม่ติด อาหารราคาถูกกว่า ไม่ต้องเสียค่าจอดรถ ควันมลพิษ เสียงน้อยกว่ามากๆ... จะเดินทางเข้าใจกลางเมืองก็รถไฟฟ้า แต่ค่อนข้างแพงมาก ต้องมี2-300ต่อวัน(ค่าจอดรถ ค่าต่อรถด้วย)
หลังแผ่นดินไหว คนจะย้ายไปอยู่ชานเมืองกันมากขึ้นรึเปล่า?
หรือ จะย้ายหาบ้านแนวราบอยู่ แถวชานเมือง ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าสะดวก อย่าง นนทบุรี บางบัวทอง ศาลายา ปทุมธานี
และยังสงสัยว่า ทำไมออฟฟิศต่างๆ ต้องกระจุกตัวแถว สาทร สีลม เพลินจิต...
ทำไมออฟฟิศไม่ กระจายตัว ออกมาชานเมือง?? ทั้งที่ แถวนั้นแออัด ค่าเช่าก็แพง
ผมเองเคยใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมือง กรุงเทพ หลายสิบปี รู้สึกเลยว่า
อยู่ใจกลางเมืองนั้นวุ่นวายมาก มลพิษ ควันเยอะ เหมือนอยู่ในเตาหมูกะทะ ตลอด24ชม.
ตอนอยู่ใจกลางเมือง ตื่นเช้ามาจะมีเสมหะเยอะ หายใจไม่ค่อยสะดวก
ค่าใช้จ่าย ต่างๆเยอะ ทั้งค่าจอดรถ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เวลาอยากจะพักผ่อน
ต้องใช้เงินไปกับ การกิน การดื่ม ตามร้านอาหาร....
พอได้ย้ายมาอยู่ชานเมือง เหมือนเปิดมุมมองชีวิตใหม่เลย .... อากาศดีกว่ามากๆๆๆ
เดินทางไปไหนสะดวก รถไม่ติด อาหารราคาถูกกว่า ไม่ต้องเสียค่าจอดรถ ควันมลพิษ เสียงน้อยกว่ามากๆ... จะเดินทางเข้าใจกลางเมืองก็รถไฟฟ้า แต่ค่อนข้างแพงมาก ต้องมี2-300ต่อวัน(ค่าจอดรถ ค่าต่อรถด้วย)