มันก็น่าแปลก ที่ประเทศไทยเรานั้นก็มีโรงเรียนที่ถูกยุติการสอนไปหลายสถาบัน แต่ทำไมรัฐฯถึงไม่ใช้ที่ดินส่วนนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ที่ผมกล่าวมานี่ ผมเองก็ไม่ได้คิดจะก่อดราม่าอะไร เพียงแต่ว่าที่ดินเหล่านั้น โรงเรียนร้าง ไม่สิ สำนักงานอาคารที่ยุติบทบาทการทำงานของตึกเหล่านั้น บางกรณีถ้าใช้ที่ดินเหล่านั้นสร้างอาคารอื่นของราชการก็ดีไป หรือเอกชนบางองค์กรที่เงินถึงๆ เขาก็คงซื้อที่ดินเหล่านั้น ถ้าเป็นกรุงเทพแถบในตัวเมืองก็ดีไป มีบริษัทเอกชนมาจับจองเพื่อสร้างสถานที่ใหม่ๆ อาคารใหม่ๆก็ดีไป เพราะสถานที่เหล่านั้นก็มีพื้นที่กว้างขวาง อีกประการสถานที่เหล่านั้นก็มีมากพอสมควร จากข้อมูลล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 พบว่าประเทศไทยมีโรงเรียนที่ไม่มีนักเรียนหรือมีนักเรียนเป็นศูนย์จำนวน 346 แห่ง โดยในจำนวนนี้ได้มีการแจ้งปิดแล้ว 75 โรงเรียน สาเหตุหลักมาจากจำนวนนักเรียนที่ลดลงและการขาดแคลนอัตรากำลังครูและผู้บริหาร กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา
ยังไม่รวมสถานที่อื่นๆที่ยังสร้างไม่เสร็จ หรือตึกร้างต่างๆในกรุงเทพหรือที่อื่นๆในไทยที่จำนวนตึกร้างและอาคารสำนักงานที่ถูกยุติการใช้งานในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2563 กรุงเทพมหานครได้สำรวจพบว่ามีอาคารที่หยุดการก่อสร้างหรือถูกทิ้งร้างทั้งหมด 509 อาคาร โดยในจำนวนนี้ 475 อาคารถือว่ามีความเสี่ยงต่อประชาชน โดยเฉพาะแหล่งSong Sumอบายมุขที่ถึงแม้ผู้ดูแลจะพยายามปิดป้ายเตือนห้ามเข้าไปหรือถึงขั้นจ้างหน่วยรักษาความปลอดภัยมาควบคุมดูแลสถานที่ของเขาก็ตาม
ซึ่งนั้นหมายความว่า สถานที่เหล่านั้นต่างไม่มีโอกาสที่จะใช้งานได้ อาจเป็นเพราะเจ้าของที่เหล่านั้นไม่มีทุนทรัพย์มากพอจะดูแล หรือเหตุผลอื่นๆก็ตาม ถึงกระนั้นก็เป็นความน่าเสียดาย คิดดูซิครับ สถานที่ร้างเหล่านั้น ถ้ามีเงินถึงก็สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะสถานศึกษาที่ร้างนั้น ใหญ่ กว้างขวาง หลายสถาณศึกษาบางแห่งหากโครงสร้างแข็งแรงก็สามารถอยู่ได้ยาวๆไป
และยิ่งช่วงนี้ข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในไทย(ไม่ได้เอาเหตุอุบัติภัยมาพูดให้เสียหาย) ตึกที่สร้างใหม่บางตึกกลับพังทลายลงมา นั่นเป็นเพราะเจ้าของโครงการ...(ผมเขียนต่อไม่ได้เดี๋ยวโดนแบน)แต่ในทางกลับกัน ตึกที่ร้างนั้นกลับแข็งแรงทนรับแรงแผ่นดินไหวเหล่านั้นได้ จนถึงขั้นมีคำกล่าวจากเพจบางเพจว่า สามารถทนรับแรงจากแผ่นดินไหวแม้แต่ฝุ่นยังไม่กระจายทีเดียว
ความน่าเสียดายนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเพราะ เศรษฐกิจ,การเมือง,การเงิน,จุดอิ่มตัว,สภาพสังคม ฯลฯ ทำให้สถานที่เหล่านั้นกลายเป็นที่ร้าง หดหู่ วังเวง สกปรกจนถึงขนลุก บางทีมีเรื่องเล่าเรื่องลี้ลับที่เอามาคุยกันสนุกปากก็มี
มันช่างน่าเสียดาย ที่สถานที่ร้างเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้พัฒนาต่อไปได้ แต่ถ้ามีโอกาส สถานที่เหล่านั้นจะน่าสนใจเพียงใด
ทำไมเอกชนไทยถึงไม่ค่อยซื้อโรงเรียนร้าง วิทยาลัยร้าง และอาคารร้างทำสำนักงานบริษัท
ที่ผมกล่าวมานี่ ผมเองก็ไม่ได้คิดจะก่อดราม่าอะไร เพียงแต่ว่าที่ดินเหล่านั้น โรงเรียนร้าง ไม่สิ สำนักงานอาคารที่ยุติบทบาทการทำงานของตึกเหล่านั้น บางกรณีถ้าใช้ที่ดินเหล่านั้นสร้างอาคารอื่นของราชการก็ดีไป หรือเอกชนบางองค์กรที่เงินถึงๆ เขาก็คงซื้อที่ดินเหล่านั้น ถ้าเป็นกรุงเทพแถบในตัวเมืองก็ดีไป มีบริษัทเอกชนมาจับจองเพื่อสร้างสถานที่ใหม่ๆ อาคารใหม่ๆก็ดีไป เพราะสถานที่เหล่านั้นก็มีพื้นที่กว้างขวาง อีกประการสถานที่เหล่านั้นก็มีมากพอสมควร จากข้อมูลล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 พบว่าประเทศไทยมีโรงเรียนที่ไม่มีนักเรียนหรือมีนักเรียนเป็นศูนย์จำนวน 346 แห่ง โดยในจำนวนนี้ได้มีการแจ้งปิดแล้ว 75 โรงเรียน สาเหตุหลักมาจากจำนวนนักเรียนที่ลดลงและการขาดแคลนอัตรากำลังครูและผู้บริหาร กระทรวงศึกษาธิการจึงมีนโยบายควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา
ยังไม่รวมสถานที่อื่นๆที่ยังสร้างไม่เสร็จ หรือตึกร้างต่างๆในกรุงเทพหรือที่อื่นๆในไทยที่จำนวนตึกร้างและอาคารสำนักงานที่ถูกยุติการใช้งานในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามเวลาและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ในปี พ.ศ. 2563 กรุงเทพมหานครได้สำรวจพบว่ามีอาคารที่หยุดการก่อสร้างหรือถูกทิ้งร้างทั้งหมด 509 อาคาร โดยในจำนวนนี้ 475 อาคารถือว่ามีความเสี่ยงต่อประชาชน โดยเฉพาะแหล่งSong Sumอบายมุขที่ถึงแม้ผู้ดูแลจะพยายามปิดป้ายเตือนห้ามเข้าไปหรือถึงขั้นจ้างหน่วยรักษาความปลอดภัยมาควบคุมดูแลสถานที่ของเขาก็ตาม
ซึ่งนั้นหมายความว่า สถานที่เหล่านั้นต่างไม่มีโอกาสที่จะใช้งานได้ อาจเป็นเพราะเจ้าของที่เหล่านั้นไม่มีทุนทรัพย์มากพอจะดูแล หรือเหตุผลอื่นๆก็ตาม ถึงกระนั้นก็เป็นความน่าเสียดาย คิดดูซิครับ สถานที่ร้างเหล่านั้น ถ้ามีเงินถึงก็สามารถพัฒนาต่อยอดเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะสถานศึกษาที่ร้างนั้น ใหญ่ กว้างขวาง หลายสถาณศึกษาบางแห่งหากโครงสร้างแข็งแรงก็สามารถอยู่ได้ยาวๆไป
และยิ่งช่วงนี้ข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในไทย(ไม่ได้เอาเหตุอุบัติภัยมาพูดให้เสียหาย) ตึกที่สร้างใหม่บางตึกกลับพังทลายลงมา นั่นเป็นเพราะเจ้าของโครงการ...(ผมเขียนต่อไม่ได้เดี๋ยวโดนแบน)แต่ในทางกลับกัน ตึกที่ร้างนั้นกลับแข็งแรงทนรับแรงแผ่นดินไหวเหล่านั้นได้ จนถึงขั้นมีคำกล่าวจากเพจบางเพจว่า สามารถทนรับแรงจากแผ่นดินไหวแม้แต่ฝุ่นยังไม่กระจายทีเดียว
ความน่าเสียดายนี้อาจเกิดขึ้นเป็นเพราะ เศรษฐกิจ,การเมือง,การเงิน,จุดอิ่มตัว,สภาพสังคม ฯลฯ ทำให้สถานที่เหล่านั้นกลายเป็นที่ร้าง หดหู่ วังเวง สกปรกจนถึงขนลุก บางทีมีเรื่องเล่าเรื่องลี้ลับที่เอามาคุยกันสนุกปากก็มี
มันช่างน่าเสียดาย ที่สถานที่ร้างเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้พัฒนาต่อไปได้ แต่ถ้ามีโอกาส สถานที่เหล่านั้นจะน่าสนใจเพียงใด