พระราชบัญญัติอำนาจพิเศษในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน พ.ศ. 2568
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติอำนาจพิเศษในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน พ.ศ. 2568"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
"ภาวะฉุกเฉินฉับพลัน" หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดกะทันหันและคุกคามชีวิตหรือทรัพย์สินในวงกว้าง เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วมฉับพลัน ไฟไหม้รุนแรง หรือการโจมตีฉับพลัน โดยไม่ต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการ
"ผู้มีอำนาจพิเศษ" หมายถึง
(๑) ข้าราชการทุกระดับ
(๒) พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
(๓) อาสาสมัครที่ได้รับการรับรองจากรัฐ (เช่น หน่วยกู้ภัยอาสา)
(๔) ประชาชนทั่วไปที่อยู่ในสถานการณ์และจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้อื่นทันที
(๕) ภาคเอกชนที่ได้รับมอบหมาย (เช่น ทีมรักษาความปลอดภัย หรือบริษัทที่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ)
"เจตนาเพื่อส่วนรวม" หมายถึง การกระทำเพื่อปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน หรือความปลอดภัยของประชาชน โดยปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว
"คณะกรรมการเยียวยา" หมายถึง คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๒
"รัฐมนตรี" หมายถึง รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ พระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อให้บุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจและปฏิบัติการได้ทันทีภายใน ๓๐ นาทีในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
(๒) เพื่อยกเว้นโทษแก่ผู้ที่กระทำการโดยมีเจตนาเพื่อประโยชน์สาธารณะในสถานการณ์ดังกล่าว
มาตรา ๕ ในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน ผู้มีอำนาจพิเศษทุกคนสามารถตัดสินใจและดำเนินการใดๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา
มาตรา ๖ การกระทำตามมาตรา ๕ อาจรวมถึง
(๑) การบุกรุกสถานที่เพื่อช่วยชีวิต
(๒) การยึดทรัพย์สินชั่วคราว (เช่น รถยนต์เพื่อเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ)
(๓) การสั่งอพยพหรือควบคุมฝูงชน
(๔) การทำลายสิ่งกีดขวางเพื่อเปิดทางหนีภัย
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ถือว่าจำเป็น:
(๑) การทุบประตูบ้านที่ไฟไหม้เพื่อช่วยเหลือผู้ติดอยู่ภายใน
(๒) การใช้รถยนต์ส่วนตัวขวางเส้นทางรถไฟเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ หากพบเห็นสิ่งกีดขวางบนราง
(๓) การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้อุปกรณ์ที่หาได้ ณ ขณะนั้น แม้จะไม่ได้มาตรฐานทางการแพทย์เต็มรูปแบบ (เช่น ใช้ผ้าพันแผลจากเสื้อผ้า)
มาตรา ๗ อำนาจตามมาตรา ๕ และมาตรา ๖ ใช้ได้ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในระยะสั้น
มาตรา ๘ ผู้มีอำนาจพิเศษที่กระทำการตามมาตรา ๕ และพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาเพื่อส่วนรวม จะได้รับการยกเว้นโทษทั้งทางวินัย ทางแพ่ง และทางอาญา
มาตรา ๙ การยกเว้นโทษตามมาตรา ๘ ไม่ครอบคลุมถึงการกระทำที่มีเจตนาทุจริต ผลประโยชน์ส่วนตัว หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยไม่จำเป็น
มาตรา ๑๐ รัฐต้องจัดให้มีการฝึกอบรมทักษะการตัดสินใจฉับพลันแก่ข้าราชการ อาสาสมัคร และประชาชนทั่วไปผ่านโครงการอบรมสาธารณะ และจัดหาเทคโนโลยี เช่น ระบบเตือนภัยอัตโนมัติ (เซ็นเซอร์แผ่นดินไหว แอปแจ้งเตือน) เพื่อให้ทุกคนรับรู้สถานการณ์ได้ใน ๕ วินาที และสร้างช่องทางการสื่อสารฉุกเฉิน เช่น สายด่วนหรือวิทยุชุมชน เพื่อประสานงานทันที
งบประมาณสำหรับการดำเนินการตามมาตรานี้จะมาจาก:
(๑) งบประมาณของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับการฝึกอบรม
(๒) กองทุนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอาจได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน สำหรับการจัดซื้อและบำรุงรักษาเทคโนโลยี
มาตรา ๑๑ ผู้มีอำนาจพิเศษต้องรายงานการกระทำและเหตุผลภายใน ๒๔ ชั่วโมงหลังเหตุการณ์สงบ (ถ้าไม่สามารถรายงานได้ทันที เช่น บาดเจ็บ ให้แจ้งเมื่อพร้อม)
มาตรา ๑๒ ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบฉุกเฉิน ประกอบด้วย ตัวแทนจากภาครัฐ ประชาชน และผู้เชี่ยวชาญ มีหน้าที่ประเมินการใช้อำนาจพิเศษย้อนหลังภายใน ๗ วัน หากพบการใช้ในทางที่ผิด คณะกรรมการสามารถเสนอให้ดำเนินคดีได้
มาตรา ๑๓ หากการใช้อำนาจพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้ส่งผลกระทบต่อประชาชน (เช่น ทรัพย์สินเสียหาย) รัฐต้องเยียวยาอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยคณะกรรมการเยียวยา ซึ่งจะคำนึงถึง:
(๑) มูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน ณ วันที่เกิดเหตุ
(๒) ความจำเป็นในการใช้งานทรัพย์สินของผู้เสียหาย
(๓) ขีดจำกัดของงบประมาณที่มีอยู่
(๔) หลักฐานและคำให้การของผู้เสียหายและพยาน
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจพิเศษได้กระทำการโดยสุจริต มีเจตนาเพื่อส่วนรวม และไม่มีเจตนาทุจริตหรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ผู้เสียหายไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีอำนาจพิเศษนั้นเป็นการส่วนตัว แต่ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิได้รับการเยียวยาจากรัฐตามหลักเกณฑ์ในวรรคแรก
หากพิสูจน์ได้ว่าผู้มีอำนาจพิเศษกระทำการโดยมิชอบ ทุจริต ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเกินสมควรแก่เหตุ ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีอำนาจพิเศษนั้นเป็นการส่วนตัวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งนี้ สิทธิในการได้รับการเยียวยาจากรัฐตามวรรคสองไม่กระทบต่อสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีอำนาจพิเศษตามวรรคนี้
วงเงินเยียวยาจากรัฐสำหรับแต่ละกรณีจะไม่เกิน [ระบุจำนวนเงิน] บาท เว้นแต่คณะกรรมการจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ
ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายใน ๓๐ วัน
มาตรา ๑๔ ผู้ที่ใช้อำนาจพิเศษโดยทุจริตหรือเกินความจำเป็นโดยไม่มีเหตุผลสมควร ต้องรับโทษหนักขึ้น ๒ เท่าตามกฎหมายปกติ
มาตรา ๑๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ และออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
เหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ
โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบกับภัยพิบัติและเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ บ่อยครั้ง การตัดสินใจและดำเนินการอย่างรวดเร็วใน ๓๐ นาทีแรกของเหตุการณ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ร่างพระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจและดำเนินการได้ทันทีในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา และยกเว้นโทษแก่ผู้ที่กระทำการโดยมีเจตนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดขอบเขตอำนาจพิเศษ หลักเกณฑ์การใช้อำนาจ การตรวจสอบย้อนหลัง และการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการช่วยเหลือประชาชนและการป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิด
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ:
ปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบท
(ร่าง)พระราชบัญญัติอำนาจพิเศษในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน พ.ศ. 2568
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติอำนาจพิเศษในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน พ.ศ. 2568"
มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
"ภาวะฉุกเฉินฉับพลัน" หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดกะทันหันและคุกคามชีวิตหรือทรัพย์สินในวงกว้าง เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วมฉับพลัน ไฟไหม้รุนแรง หรือการโจมตีฉับพลัน โดยไม่ต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการ
"ผู้มีอำนาจพิเศษ" หมายถึง
(๑) ข้าราชการทุกระดับ
(๒) พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
(๓) อาสาสมัครที่ได้รับการรับรองจากรัฐ (เช่น หน่วยกู้ภัยอาสา)
(๔) ประชาชนทั่วไปที่อยู่ในสถานการณ์และจำเป็นต้องช่วยเหลือผู้อื่นทันที
(๕) ภาคเอกชนที่ได้รับมอบหมาย (เช่น ทีมรักษาความปลอดภัย หรือบริษัทที่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือ)
"เจตนาเพื่อส่วนรวม" หมายถึง การกระทำเพื่อปกป้องชีวิต ทรัพย์สิน หรือความปลอดภัยของประชาชน โดยปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว
"คณะกรรมการเยียวยา" หมายถึง คณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นตามมาตรา ๑๒
"รัฐมนตรี" หมายถึง รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา ๔ พระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
(๑) เพื่อให้บุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจและปฏิบัติการได้ทันทีภายใน ๓๐ นาทีในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
(๒) เพื่อยกเว้นโทษแก่ผู้ที่กระทำการโดยมีเจตนาเพื่อประโยชน์สาธารณะในสถานการณ์ดังกล่าว
มาตรา ๕ ในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน ผู้มีอำนาจพิเศษทุกคนสามารถตัดสินใจและดำเนินการใดๆ ได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา
มาตรา ๖ การกระทำตามมาตรา ๕ อาจรวมถึง
(๑) การบุกรุกสถานที่เพื่อช่วยชีวิต
(๒) การยึดทรัพย์สินชั่วคราว (เช่น รถยนต์เพื่อเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ)
(๓) การสั่งอพยพหรือควบคุมฝูงชน
(๔) การทำลายสิ่งกีดขวางเพื่อเปิดทางหนีภัย
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ถือว่าจำเป็น:
(๑) การทุบประตูบ้านที่ไฟไหม้เพื่อช่วยเหลือผู้ติดอยู่ภายใน
(๒) การใช้รถยนต์ส่วนตัวขวางเส้นทางรถไฟเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ หากพบเห็นสิ่งกีดขวางบนราง
(๓) การปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้อุปกรณ์ที่หาได้ ณ ขณะนั้น แม้จะไม่ได้มาตรฐานทางการแพทย์เต็มรูปแบบ (เช่น ใช้ผ้าพันแผลจากเสื้อผ้า)
มาตรา ๗ อำนาจตามมาตรา ๕ และมาตรา ๖ ใช้ได้ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในระยะสั้น
มาตรา ๘ ผู้มีอำนาจพิเศษที่กระทำการตามมาตรา ๕ และพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาเพื่อส่วนรวม จะได้รับการยกเว้นโทษทั้งทางวินัย ทางแพ่ง และทางอาญา
มาตรา ๙ การยกเว้นโทษตามมาตรา ๘ ไม่ครอบคลุมถึงการกระทำที่มีเจตนาทุจริต ผลประโยชน์ส่วนตัว หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยไม่จำเป็น
มาตรา ๑๐ รัฐต้องจัดให้มีการฝึกอบรมทักษะการตัดสินใจฉับพลันแก่ข้าราชการ อาสาสมัคร และประชาชนทั่วไปผ่านโครงการอบรมสาธารณะ และจัดหาเทคโนโลยี เช่น ระบบเตือนภัยอัตโนมัติ (เซ็นเซอร์แผ่นดินไหว แอปแจ้งเตือน) เพื่อให้ทุกคนรับรู้สถานการณ์ได้ใน ๕ วินาที และสร้างช่องทางการสื่อสารฉุกเฉิน เช่น สายด่วนหรือวิทยุชุมชน เพื่อประสานงานทันที
งบประมาณสำหรับการดำเนินการตามมาตรานี้จะมาจาก:
(๑) งบประมาณของกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับการฝึกอบรม
(๒) กองทุนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และอาจได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน สำหรับการจัดซื้อและบำรุงรักษาเทคโนโลยี
มาตรา ๑๑ ผู้มีอำนาจพิเศษต้องรายงานการกระทำและเหตุผลภายใน ๒๔ ชั่วโมงหลังเหตุการณ์สงบ (ถ้าไม่สามารถรายงานได้ทันที เช่น บาดเจ็บ ให้แจ้งเมื่อพร้อม)
มาตรา ๑๒ ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบฉุกเฉิน ประกอบด้วย ตัวแทนจากภาครัฐ ประชาชน และผู้เชี่ยวชาญ มีหน้าที่ประเมินการใช้อำนาจพิเศษย้อนหลังภายใน ๗ วัน หากพบการใช้ในทางที่ผิด คณะกรรมการสามารถเสนอให้ดำเนินคดีได้
มาตรา ๑๓ หากการใช้อำนาจพิเศษตามพระราชบัญญัตินี้ส่งผลกระทบต่อประชาชน (เช่น ทรัพย์สินเสียหาย) รัฐต้องเยียวยาอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม โดยพิจารณาจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดยคณะกรรมการเยียวยา ซึ่งจะคำนึงถึง:
(๑) มูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สิน ณ วันที่เกิดเหตุ
(๒) ความจำเป็นในการใช้งานทรัพย์สินของผู้เสียหาย
(๓) ขีดจำกัดของงบประมาณที่มีอยู่
(๔) หลักฐานและคำให้การของผู้เสียหายและพยาน
ในกรณีที่ผู้มีอำนาจพิเศษได้กระทำการโดยสุจริต มีเจตนาเพื่อส่วนรวม และไม่มีเจตนาทุจริตหรือแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ผู้เสียหายไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีอำนาจพิเศษนั้นเป็นการส่วนตัว แต่ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิได้รับการเยียวยาจากรัฐตามหลักเกณฑ์ในวรรคแรก
หากพิสูจน์ได้ว่าผู้มีอำนาจพิเศษกระทำการโดยมิชอบ ทุจริต ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเกินสมควรแก่เหตุ ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีอำนาจพิเศษนั้นเป็นการส่วนตัวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งนี้ สิทธิในการได้รับการเยียวยาจากรัฐตามวรรคสองไม่กระทบต่อสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้มีอำนาจพิเศษตามวรรคนี้
วงเงินเยียวยาจากรัฐสำหรับแต่ละกรณีจะไม่เกิน [ระบุจำนวนเงิน] บาท เว้นแต่คณะกรรมการจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ
ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ภายใน ๓๐ วัน
มาตรา ๑๔ ผู้ที่ใช้อำนาจพิเศษโดยทุจริตหรือเกินความจำเป็นโดยไม่มีเหตุผลสมควร ต้องรับโทษหนักขึ้น ๒ เท่าตามกฎหมายปกติ
มาตรา ๑๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ และออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
เหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ
โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยประสบกับภัยพิบัติและเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ บ่อยครั้ง การตัดสินใจและดำเนินการอย่างรวดเร็วใน ๓๐ นาทีแรกของเหตุการณ์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ร่างพระราชบัญญัตินี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องสามารถตัดสินใจและดำเนินการได้ทันทีในภาวะฉุกเฉินฉับพลัน โดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือการอนุมัติจากผู้บังคับบัญชา และยกเว้นโทษแก่ผู้ที่กระทำการโดยมีเจตนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ร่างพระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดขอบเขตอำนาจพิเศษ หลักเกณฑ์การใช้อำนาจ การตรวจสอบย้อนหลัง และการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการช่วยเหลือประชาชนและการป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิด
จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
หมายเหตุ:
ปรับปรุงให้เหมาะสมกับบริบท