แค่ได้รักก็คงเพียงพอแล้วมั้ง ฟ่งเคยบอกผม ในวันลอยโคมยี่เป็งที่สุดแสนจะโรแมนติก ผมชอบคำนี้ แต่ในใจนั้นวุ่นวาย เหมือนหัวใจผมหลุดลอยไปกับโคมสว่างไสวในท้องฟ้ากว้างนั่น
ผมรู้ว่าเรารู้สึกดีต่อกันเพียงไหน แต่ผมก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะบอกความในใจที่มากมายกว่านั้นกับฟ่ง
มันเป็นเรื่องยากที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมเลยเมื่อผมเรียกมันว่าความรัก เรื่องมันดูชิงชังน่ารังเกียจและความซับซ้อนของมันมันอาจทำลายทุกอย่างที่เราเคยดีต่อกันจนไม่มีอะไรเหลือ
ยามเธออยู่ในอ้อมกอดผม ทุกค่ำคืนเหล่านั้นเหมือนเทียนสว่างที่รอคอยวันสิ้นแสง ผมรักช่วงเวลานั้นแม้มันจะถึงวันมอดดับไปในวันหนึ่งก็ตาม
ผมได้แต่คิดว่าเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกันอย่างที่ผมปรารถนา เราคงเป็นเพลงที่มีเนื้อเพลงกับท่วงทำนองไม่สัมพันธ์กันเลยอย่างสิ้นเชิง และมันชัดเจนขึ้นทุกวันจากนั้น เมื่อชัดเจนว่าผมไม่ใช่คนที่เธอบอกว่าได้แค่รักก็พอ ในคืนที่ท่าแพสว่างไสวราวกลางวัน
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา เริ่มนับตอนเราเรียนมัธยมปลายด้วยกัน การที่เราสองคนไม่มีแฟนทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ภาพการเป็นเด็กเรียนจึงเป็นยี่ห้อของเราสองคนโดยปริยาย แม้จะฟ่งมีคนมาติดพัน มาขอเป็นแฟนเสมอ แต่เธอก็ไม่ไขว้เขวจากการเรียน ส่วนผมนั้นก็ไม่เคยมองใคร
เราตั้งใจจะลงไปเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วยกันแต่ฟ่งถูกที่บ้านให้เรียนที่นี่ ทางแยกของเราเริ่มต้นตรงนี้ การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเพื่อความสัมพันธ์ที่มีค่าเวลาที่พบกันนั่นยิ่งใหญ่ ทุกทุกนาทีเราไม่เคยห่างหายจากกันไปไหนนั้นมันเป็นอมตะในความฝันเท่านั้น พอเราห่างกันมาก การไม่อยู่ในสายตา จึงเป็นปัญหาของผมแต่เป็นโอกาสของฟ่ง
ผมพยายามจะเปิดเผยความในใจของผมที่มีต่อเธอในวันซ้อมรับปริญญาแต่ไม่สำเร็จ เพราะฟ่งมีแต่เรื่องเล่าของคนนั้นคนนี้ที่มาจีบ ผมรับรู้ เพราะเธอก็ไม่เคยปิดบัง
ช่วงหลังการส่งจดหมายบ้างโทรศัพท์ทางไกลบ้างก็เป็นเพียงถามไถ่สารทุกข์ จนผมหายไปจากชีวิตเธออย่างสมบูรณ์เมื่อเธอบอกจะแต่งงานหลังรับปริญญาไม่ถึงสามเดือน เธอให้ผมลางานไปงานแต่งของเธอที่เชียงใหม่กับผู้ชายที่เธอพูดถึงในคืนนั้นให้จงได้
ในงานสมรส เพื่อน ๆ มอปลายของเราคงถามถึงผมว่าทำไมผมจึงไม่มาทั้งที่เราเป็นเงาของกันและกันตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ที่เชียงใหม่ ผมไม่รู้จะทำตัวยังไง จะแสดงสีหน้ายังไง แล้วต้องเสแสร้งทำเป็นไม่ไม่เป็นตัวของตัวเองได้ยังไงในสถานการณ์แบบนั้น
ผมตัดสินใจลาออกเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกา หวังว่าจะลืมเพลงเก่า และเจอบทเพลงที่มีท่วงทำนองสอดคล้องกับเนื้อเพลงของผมที่อีกฟากฝั่งโลก แต่ไม่เคยเจอ แม้จะได้ทำงานกับนักร้อง ศิลปินทั่วโลกรวมถึงเอเซียมากมาย ในค่ายเพลงที่ผมบริหารและร่วมทุนกับเกาหลีใต้ก็ตาม
วันนี้มีการแถลงข่าวเปิดตัวศิลปินไทย ที่ผมมองเห็นความสามารถที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกได้ไม่ยาก มีสายคู่หนึ่งที่จับจองผมมาตั้งนานแล้วเธอก็เดินผ่านทีมงานตรงเข้ามาทักทาย หัวใจผมสั่นสะท้าน
“ขอบคุณมากนะคะคุณดีออน ที่สนับสนุนเดือน”
”ยินดีครับคุณแม่ น้องเก่งมาก“
”เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหมคะ เป็นลูกครึ่งไทยด้วยนี่“
ผมยิ้มและส่ายหัวปฏิเสธ เธอจ้องหน้าผมนิ่ง น้ำตาคลอ
”หล่อ สมาร์ทสมวัยนะคะ เป็นตัวของตัวเองแล้ว“
”ฟ่งขอโทษ“
ผมแหงนหน้ามองเพดาน น้ำตาไหลลงข้างแก้มจนชุ่มแผงหนวด
”แวะเยี่ยมฟ่งที่เชียงใหม่บ้าง ฝากลูกเดือนด้วยนะคะ“
”เดือน“
ไม่มีใครเรียกชื่อเล่นผมแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว เธอโผเข้ากอดผมแน่น เหมือนเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว ภาพเดียวกับที่เด็กสาวสองคนร้องไห้เมื่อต้องจากกันครั้งแรก
“จากท่าแพถึงซานฟานซิสโก“
ผมรู้ว่าเรารู้สึกดีต่อกันเพียงไหน แต่ผมก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะบอกความในใจที่มากมายกว่านั้นกับฟ่ง
มันเป็นเรื่องยากที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมเลยเมื่อผมเรียกมันว่าความรัก เรื่องมันดูชิงชังน่ารังเกียจและความซับซ้อนของมันมันอาจทำลายทุกอย่างที่เราเคยดีต่อกันจนไม่มีอะไรเหลือ
ยามเธออยู่ในอ้อมกอดผม ทุกค่ำคืนเหล่านั้นเหมือนเทียนสว่างที่รอคอยวันสิ้นแสง ผมรักช่วงเวลานั้นแม้มันจะถึงวันมอดดับไปในวันหนึ่งก็ตาม
ผมได้แต่คิดว่าเราคงไม่ได้เกิดมาเพื่อกันและกันอย่างที่ผมปรารถนา เราคงเป็นเพลงที่มีเนื้อเพลงกับท่วงทำนองไม่สัมพันธ์กันเลยอย่างสิ้นเชิง และมันชัดเจนขึ้นทุกวันจากนั้น เมื่อชัดเจนว่าผมไม่ใช่คนที่เธอบอกว่าได้แค่รักก็พอ ในคืนที่ท่าแพสว่างไสวราวกลางวัน
ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา เริ่มนับตอนเราเรียนมัธยมปลายด้วยกัน การที่เราสองคนไม่มีแฟนทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์นั้น ภาพการเป็นเด็กเรียนจึงเป็นยี่ห้อของเราสองคนโดยปริยาย แม้จะฟ่งมีคนมาติดพัน มาขอเป็นแฟนเสมอ แต่เธอก็ไม่ไขว้เขวจากการเรียน ส่วนผมนั้นก็ไม่เคยมองใคร
เราตั้งใจจะลงไปเรียนที่กรุงเทพฯ ด้วยกันแต่ฟ่งถูกที่บ้านให้เรียนที่นี่ ทางแยกของเราเริ่มต้นตรงนี้ การเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเพื่อความสัมพันธ์ที่มีค่าเวลาที่พบกันนั่นยิ่งใหญ่ ทุกทุกนาทีเราไม่เคยห่างหายจากกันไปไหนนั้นมันเป็นอมตะในความฝันเท่านั้น พอเราห่างกันมาก การไม่อยู่ในสายตา จึงเป็นปัญหาของผมแต่เป็นโอกาสของฟ่ง
ผมพยายามจะเปิดเผยความในใจของผมที่มีต่อเธอในวันซ้อมรับปริญญาแต่ไม่สำเร็จ เพราะฟ่งมีแต่เรื่องเล่าของคนนั้นคนนี้ที่มาจีบ ผมรับรู้ เพราะเธอก็ไม่เคยปิดบัง
ช่วงหลังการส่งจดหมายบ้างโทรศัพท์ทางไกลบ้างก็เป็นเพียงถามไถ่สารทุกข์ จนผมหายไปจากชีวิตเธออย่างสมบูรณ์เมื่อเธอบอกจะแต่งงานหลังรับปริญญาไม่ถึงสามเดือน เธอให้ผมลางานไปงานแต่งของเธอที่เชียงใหม่กับผู้ชายที่เธอพูดถึงในคืนนั้นให้จงได้
ในงานสมรส เพื่อน ๆ มอปลายของเราคงถามถึงผมว่าทำไมผมจึงไม่มาทั้งที่เราเป็นเงาของกันและกันตลอดระยะเวลาหลายปีที่อยู่ที่เชียงใหม่ ผมไม่รู้จะทำตัวยังไง จะแสดงสีหน้ายังไง แล้วต้องเสแสร้งทำเป็นไม่ไม่เป็นตัวของตัวเองได้ยังไงในสถานการณ์แบบนั้น
ผมตัดสินใจลาออกเดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกา หวังว่าจะลืมเพลงเก่า และเจอบทเพลงที่มีท่วงทำนองสอดคล้องกับเนื้อเพลงของผมที่อีกฟากฝั่งโลก แต่ไม่เคยเจอ แม้จะได้ทำงานกับนักร้อง ศิลปินทั่วโลกรวมถึงเอเซียมากมาย ในค่ายเพลงที่ผมบริหารและร่วมทุนกับเกาหลีใต้ก็ตาม
วันนี้มีการแถลงข่าวเปิดตัวศิลปินไทย ที่ผมมองเห็นความสามารถที่จะเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกได้ไม่ยาก มีสายคู่หนึ่งที่จับจองผมมาตั้งนานแล้วเธอก็เดินผ่านทีมงานตรงเข้ามาทักทาย หัวใจผมสั่นสะท้าน
“ขอบคุณมากนะคะคุณดีออน ที่สนับสนุนเดือน”
”ยินดีครับคุณแม่ น้องเก่งมาก“
”เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนไหมคะ เป็นลูกครึ่งไทยด้วยนี่“
ผมยิ้มและส่ายหัวปฏิเสธ เธอจ้องหน้าผมนิ่ง น้ำตาคลอ
”หล่อ สมาร์ทสมวัยนะคะ เป็นตัวของตัวเองแล้ว“
”ฟ่งขอโทษ“
ผมแหงนหน้ามองเพดาน น้ำตาไหลลงข้างแก้มจนชุ่มแผงหนวด
”แวะเยี่ยมฟ่งที่เชียงใหม่บ้าง ฝากลูกเดือนด้วยนะคะ“
”เดือน“
ไม่มีใครเรียกชื่อเล่นผมแบบนี้มาหลายสิบปีแล้ว เธอโผเข้ากอดผมแน่น เหมือนเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว ภาพเดียวกับที่เด็กสาวสองคนร้องไห้เมื่อต้องจากกันครั้งแรก