WAVE…..HARD LANDING!!!

              ไม่ได้ผิดไปจากที่คาดมากนัก...สำหรับ Performance Q-4-67 ของบริษัท Wave

              สุดท้าย บ. Wave ก็จัดส่งงบการเงินประจำปี 2567 เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับผลขาดทุนอีกมโหฬาร เป็นจำนวนมากกว่า 1.0 พันล้านบาท โดยบริษัทชี้แจงว่า “เกิดจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากรายการพิเศษทางบัญชีที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานที่แท้จริง (ผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินค้าคงเหลือ จำนวน 1,030.86 ล้านบาทและสินทรัพย์จำนวน 37.98 ล้านบาท)” ซึ่งแม้ว่าผลขาดทุนในครั้งนี้จะเป็นขาดทุนทางบัญชี แต่ก็มีผลกระทบทั้งงบดุล และงบกำไรขาดทุนของบริษัทอย่างมีนัยยะครับ

              ยัง...ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ !!!
              ผู้สอบบัญชียังไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทฯ อีกด้วย...อืม..นะ  โดยบริษัท Wave ชี้แจงว่าการที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นนั้น “ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหารหรือผิดมาตรฐานการบัญชี แต่เกิดจากข้อจำกัดของสถานการณ์ธุรกิจคาร์บอนเครดิตในปัจจุบันทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานการตรวจสอบที่เหมาะสมได้อย่างเพียงพอเกี่ยวกับราคาตลาดโดยประมาณที่คาดว่าจะขายได้ตามลักษณะการประกอบธุรกิจ”
              แปลง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีราคาตลาดของ Carbon Credit ให้อ้างอิงนั่นเอง

              เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเราในฐานะนักลงทุนคงต้องกลับมาคิดพิจารณาทบทวน ทั้งเรื่องความเสี่ยง และอนาคตของบริษัทว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป?
              หากเรามองในเรื่องความเสี่ยง แน่นอนว่าความเสี่ยงด้านการเงิน กับเรื่องอนาคตของธุรกิจ New S Curve นี้น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องคิดทบทวนเป็นเรื่องแรก ๆ

              สำหรับความคิดของผมนั้น ความเสี่ยงด้านการเงินก็เป็นปัญหาใหญ่พอสมควร เนื่องจากอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าผลขาดทุนมากกว่า 1.0 พันล้านบาทในครั้งนี้ มีผลกระทบทั้งงบดุล และงบกำไรขาดทุนของบริษัทอย่างมีนัยยะ  เพราะมันทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นกว่า 3-400 ล้านบาท  ในด้านส่วนของผู้ถือหุ้น หรือส่วนทุนนั้นก็ลดลงอย่างมาก จากผลขาดทุนสะสมที่เพิ่มขึ้นมโหฬาร สิ่งที่ตามมาก็คืออัตราส่วน D/E เพิ่มขึ้นจาก 0.5 เท่า มาเป็น 3.5 เท่า จะขอกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินก็ยากขึ้นมาก 
ฉะนั้นถ้าบริษัทต้องการเงินทุนเพิ่มก็มีเหลือไม่กี่ทางครับ หนึ่งในนั้นก็คือการเพิ่มทุน (อีกแล้ว 5555) แต่ก็หวังว่าจะไม่เกิดขึ้น.....

O.k.  ต่อมาเป็นความเสี่ยงทางด้านธุรกิจ New S Curve (Carbon Credit) ของบริษัท  ความคิดเห็นส่วนตัวของผม ก็ยังเชื่อว่าพอจะมีอนาคต
แม้ว่ามันยังไม่ชัดเจนว่าจะไปทางไหน แต่ดูภาพรวมของธุรกิจนี้จากความสนใจของภาครัฐในบ้านเรา  หรือในระดับนานาชาติ กฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจ Carbon Credit   และจากการที่บริษัทมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบการเงิน (บริษัทส่งงบเร็วกว่าที่ผมคาดไว้มากครับ 555) หรือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็พอจะมั่นใจได้ว่าบริษัทน่าจะทำธุรกิจนี้อย่างจริงจังต่อไป

แต่มันคนละเรื่องกับผลประกอบการของบริษัทนะครับ เพราะการขาดทุนมากมายขนาดนี้ จะทำให้กลับมากำไรได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จริงไหมครับ?  ยกเว้นเสียแต่ว่า บริษัทสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ดีขึ้น หรือสามารถขาย REC/Carbon Credit ได้มากขึ้น  และถ้าอนาคตประเทศไทยมีการซื้อขาย Carbon Credit ที่เป็นมาตรฐานสากล สามารถนำราคาตลาดมาอ้างอิงได้ และราคาอ้างอิงนั้นสูงกว่าราคาต้นทุน บริษัทก็มีโอกาสกลับมากำไรเร็วกว่าคาดก็ได้ครับ

สรุปโดยรวมผมยังมองไปในทิศทางบวกอยู่ครับ (ย้ำว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) และก็หวังว่า การ HARD LANDING ในครั้งนี้จะเป็น
จุดเริ่มต้นของการ Take Off ที่ดีของบริษัทต่อไปครับ
 
ปล.  "สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม คนหนึ่งตาแหลมคม มองเห็นดาวอยู่พราวพราย". ครับ
 
หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ
ดช.จุ่น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่