โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสิ้นปี 2025 ขึ้นเป็น 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมที่คาดไว้ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยอ้างถึงปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ ได้แก่ ปริมาณเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF สูงกว่าคาด และความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ โกลด์แมน แซคส์ ยังปรับเพิ่ม ช่วงคาดการณ์ราคาใหม่เป็น 3,250-3,520 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 3,100-3,300 ดอลลาร์สหรัฐ และยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางรายใหญ่ในทวีปเอเชีย จะยังคงเข้าซื้อทองคำในปริมาณที่สูงต่อเนื่องไปอีก 3-6 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายการสำรองทองคำที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ ธนาคารยังปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์ทองคำจากธนาคารกลางเป็น 70 ตันต่อเดือน จากเดิมที่ 50 ตัน เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และ คาดว่าจีนจะยังคงเข้าซื้อทองคำในอัตราที่รวดเร็วต่อเนื่องไปอีก 3-6 ปี
ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% รวม 2 ครั้งในปี 2025 และอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 ซึ่งจะสนับสนุนให้มีเงินไหลเข้าสู่ ETF ทองคำ
พร้อมกันนี้ธนาคารมองระบุถึงความเสี่ยงที่อาจผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่ทำให้เฟดต้องลดดอกเบี้ยลงมากขึ้น ซึ่งอาจผลักดันราคาทองคำสิ้นปี 2025 ไปอยู่ที่ระดับ 3,410 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
นอกจากนี้ ความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อาจหนุนการถือครองทองคำผ่าน ETF กลับไปสู่ระดับช่วงโควิด-19 ซึ่งอาจผลักดันราคาไปถึง 3,680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2025
อย่างไรก็ตาม แม้โกลด์แมน แซคส์จะยังคงแนะนำให้ลงทุนในทองคำ แต่ก็เตือนว่ามี 2 ปัจจัยที่อาจกดดันราคาทองคำชั่วคราว และเป็นโอกาสเข้าซื้อที่ดีกว่า ได้แก่ การเจรจาข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อาจกระตุ้นให้เกิดการขายเก็งกำไรทองคำชั่วคราว แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ทองคำในระยะยาว รวมไปถึงการเทขายหุ้นอย่างรุนแรง โดยโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า แรงขายนี้จะเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากความต้องการทองคำเชิงโครงสร้างจากธนาคารกลางและกองทุน ETF จะยังคงแข็งแกร่ง
ที่มา/อ่านข่าวต้นฉบับที่:
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=Sms2SWJTdXdlWE09&fbclid=IwY2xjawJSxYtleHRuA2FlbQIxMQABHbWsCmZc8-_i9s5Xv-eZxusLnUWMttAdcIrSEHd6zH9ipsY7DM9tt8-0ww_aem_dLO2Jb9FI3e6X3xqStgjOQ
Goldman Sachs เพิ่มเป้าราคาทองปลายปีนี้ แตะ 3,300 ดอลล์ รับแรงซื้อธนาคารกลาง – ETF
โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำสิ้นปี 2025 ขึ้นเป็น 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมที่คาดไว้ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยอ้างถึงปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ ได้แก่ ปริมาณเงินที่ไหลเข้าสู่กองทุน ETF สูงกว่าคาด และความต้องการทองคำจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ โกลด์แมน แซคส์ ยังปรับเพิ่ม ช่วงคาดการณ์ราคาใหม่เป็น 3,250-3,520 ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 3,100-3,300 ดอลลาร์สหรัฐ และยังคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางรายใหญ่ในทวีปเอเชีย จะยังคงเข้าซื้อทองคำในปริมาณที่สูงต่อเนื่องไปอีก 3-6 ปี เพื่อบรรลุเป้าหมายการสำรองทองคำที่ตั้งไว้
นอกจากนี้ ธนาคารยังปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์ทองคำจากธนาคารกลางเป็น 70 ตันต่อเดือน จากเดิมที่ 50 ตัน เนื่องจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น และ คาดว่าจีนจะยังคงเข้าซื้อทองคำในอัตราที่รวดเร็วต่อเนื่องไปอีก 3-6 ปี
ทีมนักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% รวม 2 ครั้งในปี 2025 และอีก 1 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 ซึ่งจะสนับสนุนให้มีเงินไหลเข้าสู่ ETF ทองคำ
พร้อมกันนี้ธนาคารมองระบุถึงความเสี่ยงที่อาจผลักดันราคาทองคำให้สูงขึ้นกว่าคาดการณ์เดิม ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ที่ทำให้เฟดต้องลดดอกเบี้ยลงมากขึ้น ซึ่งอาจผลักดันราคาทองคำสิ้นปี 2025 ไปอยู่ที่ระดับ 3,410 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
นอกจากนี้ ความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อาจหนุนการถือครองทองคำผ่าน ETF กลับไปสู่ระดับช่วงโควิด-19 ซึ่งอาจผลักดันราคาไปถึง 3,680 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2025
อย่างไรก็ตาม แม้โกลด์แมน แซคส์จะยังคงแนะนำให้ลงทุนในทองคำ แต่ก็เตือนว่ามี 2 ปัจจัยที่อาจกดดันราคาทองคำชั่วคราว และเป็นโอกาสเข้าซื้อที่ดีกว่า ได้แก่ การเจรจาข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อาจกระตุ้นให้เกิดการขายเก็งกำไรทองคำชั่วคราว แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ทองคำในระยะยาว รวมไปถึงการเทขายหุ้นอย่างรุนแรง โดยโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า แรงขายนี้จะเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากความต้องการทองคำเชิงโครงสร้างจากธนาคารกลางและกองทุน ETF จะยังคงแข็งแกร่ง
ที่มา/อ่านข่าวต้นฉบับที่:
https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?ref=A&id=Sms2SWJTdXdlWE09&fbclid=IwY2xjawJSxYtleHRuA2FlbQIxMQABHbWsCmZc8-_i9s5Xv-eZxusLnUWMttAdcIrSEHd6zH9ipsY7DM9tt8-0ww_aem_dLO2Jb9FI3e6X3xqStgjOQ