ก็อปข้อความจาก
เฟสบุ๊คหลวงพ่อเยื้อนศิษย์
หลวงปู่ดูลย์
เฟสบุ๊คนี้>>
https://www.facebook.com/share/p/1fjtWZ4Rqz/
ตอนที่ 6 จิตดิ่ง
เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงความเป็นธรรมดาของจิต
ซึ่งจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง มีสติรักษาจิตจนเหมือนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว
สภาวะเช่นนั้น จิตไม่เกาะเกี่ยวกับอะไรอีกต่อไป เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญ
มั่นหมายในสิ่งที่นอกเหนือไปกว่าจิตที่มีสติกำกับอยู่ เช่นนั้นเอง
ที่หลวงพ่อมักชอบเรียกเสมอว่า จิตเข้าใน คือ จิตปลอดภัย
จิตในขณะนั้นจะเป็นจิตปัจจุบัน แต่จะไม่ติดกับสิ่งใด อีกทั้งไม่มีอดีต
ไม่มีอนาคต อีกต่อไป
ขณะนั้น ผู้ปฏิบัติจะพบว่า จิตสบายๆ เพราะปราศจากความกังวล ห่วงหา
อาวรณ์ กับอะไรอีก เช่นนั้น จิตจะปฏิวัติจิต กลายเป็นจิตปลอดภัย
มีสติเต็มเปี่ยม และเป็นจิตที่ว่างๆ โปร่งๆ สบายๆ อย่างอธิบายไม่ได้
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ จิตเริ่มปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว
และเริ่มทวนกระแสเข้าหาตัวรู้นั่นเอง
จิตจะดิ่ง เป็นเพียงคำพูดที่หมายเอาถึงความชัดเจนของจิตเห็นจิต
เราไม่ได้เห็นรูปลักษณะที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรมดาใดๆ
แต่เป็นความรู้สึกๆอยู่เช่นนั้น ด้วยความรู้สึกระลึกถึงบางอย่างเท่านั้น
บางท่านจะรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง แต่เป็นการตกลงไปในฐานที่ตั้งของจิต
ไม่หวั่นไหว เคลื่อนที่จิตไปนั้นโน้นนี่ แต่เป็นเหมือนฐานของจิตละเอียดลงๆ
ไปๆ อย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่มีที่หมายที่จะสิ้นสุด จิตจึงไม่สนใจอาการเหล่านั้น
แต่อัศจรรย์ จิตจะหลับมาอยู่ที่ผู้รู้เช่นเดิม สติจะไม่พร่องไปเลย ผู้รู้จะรู้สึก
อยู่อย่างนั้นแน่นหนา มั่นคงยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ได้หมายเอาอากรเป็นสำคัญ
อีกต่อไป
เมื่อจิตเป็นเช่นนั้น จิตใจจะสง่างามมาก ไม่ได้สง่างามเพราะมีสิ่งใดมาประดับตกแต่ง
แต่เป็นความรู้สึกที่องอาจ อาจหาญ มั่นคงนั่นเอง
ในขณะนั้น เรารู้สึกได้ว่า ใจดวงนี้ไม่ตาย คงมีเพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ตาย
จิตจะแยกออกจากร่างกายโดยสมบูรณ์ในขณะนั้น ทวนเข้าสู้ผู้รู้แน่วแน่ไม่หวั่นไหว
เมื่อถึงสภาวะนั้น จิตแยกออกจากขันธ์ แยกตัวออกจากรูป เวทนา สังขาร สัญญา
วิญญาณ โดยปราศจากความอยาก ความเห็น แต่จะเป็นความรู้สึกที่มีสติมั่นคง
แต่ที่ยากของการปฏิบัติคือ เรามักไม่เคยสังเกตเห็นถึงการแยกออกจากกันเช่นนั้น
เพราะโดยปกติเรามักเอาเวทนามาพิจารณา โดยการเอาจิตไปรวมกับเวทนา รวมกัน
เช่นนี้ ก็เนื่องจากมันเป็นของง่าย ที่จะจับมาพิจารณา
ซึ่งที่พลาดคือ แทนที่จะปล่อยวางตามธรรมดา ผู้ปฏิบัติมักควานหาแล้วนำกลับมาพิจารณา
เพ่อจะให้เห็น ให้รู้ ให้ชัดเจน ซึ่งนั้นเกิดจากความไม่รู้นั่นเอง
วิธีปฏิบัติต่อไปคือ ให้เรากลับไปที่ฐานที่ตั้งจิตเช่นเดิม ให้ตั้งสติอยู่กับผู้รู้ ให้รู้สึกอยู่ภาย
ในเช่นนั้น รู้อยู่ภายในใจ ซึ่งกายจะกลายเป็นเพียงเครื่องอาศัยของจิตเท่านั้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
จิตก็พ้นไปจากการกระทบของกายใน
ขณะนั้น
จิตจะแจ่มแจ้ง เป็นจิตปัจจุบัน ไม่เกี่ยวข้องกับอดีตที่ผ่าน และไม่กังวลถึงอนาคตอีก
เมื่อผู้ปฏิบัติรู้อยู่ในจิตอยู่อย่างนั้นต่อไป
จิตจะเรียนรู้ว่า รู้ในจิตแตกต่างจากรู้ในกาย
ผู้รู้ในจิตนั้นปราศจากรูป นาม ปราศจากธาตุ 4 ขันธ์ 5
เมื่อพิจารณาได้เต็มที่พอควรแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ปัจจุบันเองโดยธรรมดา
ดังนั้น การปฏิบัติของเรา คงเหลือแต่รู้สึกอยู่กับผู้รู้อยู่อย่างนั้นไม่คาดเคลื่อนไปไหน
จิตขณะนั้นจะปล่อยให้ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอยู่อย่างนั้น
แต่จิตไม่เกี่ยวข้องทั้งสิ่งเหล่านั้น
โดยเฉพาะอย่างเวทนาและเวทนาทางจิต
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้ เกิดเนื่องจากเพราะเราให้ค่าสิ่งต่างๆนั่นเอง เหตุคือ
จิตของเราส่งออกนอกฐานที่ตั้งของจิต นั่นเอง
ดังนั้น เหตุที่ต้องมีฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อเป็นที่ระลึกของจิต
น่าประหลาดใจ จิตขณะนั้นหากมีทุกข์มาก จิตจะยิ่งแจ่มใส เพราะความไม่เกี่ยวข้องกันนั่นเอง
จิตที่เป็นธรรมชาติ จะมีความรู้ที่ปราศจากรูปร่าง แต่จะเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน
ไม่เกาะเกี่ยวกับขันธ์ กับธาตุ แยกออกเป็นส่วนไม่เกี่ยวข้องเศร้าหมองต่อกัน
เป็นสภาวะที่เป็นปกติ ไม่ใช่เป็นทาสของอะไร
การปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว ก็ให้สติรักษาจิตนั้นทั้งขณะภาวนา และเลิกภาวนาแล้ว
ไม่ใช่การปล่อยเวลาปล่อยอิริยาบถต่างไปในแต่ละวันแต่ละเวลา แต่ให้มีเสมอๆตลอดเวลา
เหมือนดั่งที่หลวงปู่ดูลย์สอนว่า “จงทำญาณให้เห็นจิต ดั่งตาเห็นรูป เหตุต้องละใช้
ผลเหตุเกิด” นั่นเอง
เขมปัญโญคฤหัสถ์
จิตหลุดพ้นเป็นแบบนี้นี่เลยจิตดิ่งวูบ เหมือนคนตกต้นไม้
เฟสบุ๊คหลวงพ่อเยื้อนศิษย์
หลวงปู่ดูลย์
เฟสบุ๊คนี้>> https://www.facebook.com/share/p/1fjtWZ4Rqz/
ตอนที่ 6 จิตดิ่ง
เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงความเป็นธรรมดาของจิต
ซึ่งจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง มีสติรักษาจิตจนเหมือนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว
สภาวะเช่นนั้น จิตไม่เกาะเกี่ยวกับอะไรอีกต่อไป เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญ
มั่นหมายในสิ่งที่นอกเหนือไปกว่าจิตที่มีสติกำกับอยู่ เช่นนั้นเอง
ที่หลวงพ่อมักชอบเรียกเสมอว่า จิตเข้าใน คือ จิตปลอดภัย
จิตในขณะนั้นจะเป็นจิตปัจจุบัน แต่จะไม่ติดกับสิ่งใด อีกทั้งไม่มีอดีต
ไม่มีอนาคต อีกต่อไป
ขณะนั้น ผู้ปฏิบัติจะพบว่า จิตสบายๆ เพราะปราศจากความกังวล ห่วงหา
อาวรณ์ กับอะไรอีก เช่นนั้น จิตจะปฏิวัติจิต กลายเป็นจิตปลอดภัย
มีสติเต็มเปี่ยม และเป็นจิตที่ว่างๆ โปร่งๆ สบายๆ อย่างอธิบายไม่ได้
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ จิตเริ่มปล่อยวางทุกสิ่งแล้ว
และเริ่มทวนกระแสเข้าหาตัวรู้นั่นเอง
จิตจะดิ่ง เป็นเพียงคำพูดที่หมายเอาถึงความชัดเจนของจิตเห็นจิต
เราไม่ได้เห็นรูปลักษณะที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรมดาใดๆ
แต่เป็นความรู้สึกๆอยู่เช่นนั้น ด้วยความรู้สึกระลึกถึงบางอย่างเท่านั้น
บางท่านจะรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง แต่เป็นการตกลงไปในฐานที่ตั้งของจิต
ไม่หวั่นไหว เคลื่อนที่จิตไปนั้นโน้นนี่ แต่เป็นเหมือนฐานของจิตละเอียดลงๆ
ไปๆ อย่างหาที่สุดไม่ได้ ไม่มีที่หมายที่จะสิ้นสุด จิตจึงไม่สนใจอาการเหล่านั้น
แต่อัศจรรย์ จิตจะหลับมาอยู่ที่ผู้รู้เช่นเดิม สติจะไม่พร่องไปเลย ผู้รู้จะรู้สึก
อยู่อย่างนั้นแน่นหนา มั่นคงยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ได้หมายเอาอากรเป็นสำคัญ
อีกต่อไป
เมื่อจิตเป็นเช่นนั้น จิตใจจะสง่างามมาก ไม่ได้สง่างามเพราะมีสิ่งใดมาประดับตกแต่ง
แต่เป็นความรู้สึกที่องอาจ อาจหาญ มั่นคงนั่นเอง
ในขณะนั้น เรารู้สึกได้ว่า ใจดวงนี้ไม่ตาย คงมีเพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่ตาย
จิตจะแยกออกจากร่างกายโดยสมบูรณ์ในขณะนั้น ทวนเข้าสู้ผู้รู้แน่วแน่ไม่หวั่นไหว
เมื่อถึงสภาวะนั้น จิตแยกออกจากขันธ์ แยกตัวออกจากรูป เวทนา สังขาร สัญญา
วิญญาณ โดยปราศจากความอยาก ความเห็น แต่จะเป็นความรู้สึกที่มีสติมั่นคง
แต่ที่ยากของการปฏิบัติคือ เรามักไม่เคยสังเกตเห็นถึงการแยกออกจากกันเช่นนั้น
เพราะโดยปกติเรามักเอาเวทนามาพิจารณา โดยการเอาจิตไปรวมกับเวทนา รวมกัน
เช่นนี้ ก็เนื่องจากมันเป็นของง่าย ที่จะจับมาพิจารณา
ซึ่งที่พลาดคือ แทนที่จะปล่อยวางตามธรรมดา ผู้ปฏิบัติมักควานหาแล้วนำกลับมาพิจารณา
เพ่อจะให้เห็น ให้รู้ ให้ชัดเจน ซึ่งนั้นเกิดจากความไม่รู้นั่นเอง
วิธีปฏิบัติต่อไปคือ ให้เรากลับไปที่ฐานที่ตั้งจิตเช่นเดิม ให้ตั้งสติอยู่กับผู้รู้ ให้รู้สึกอยู่ภาย
ในเช่นนั้น รู้อยู่ภายในใจ ซึ่งกายจะกลายเป็นเพียงเครื่องอาศัยของจิตเท่านั้น แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
จิตก็พ้นไปจากการกระทบของกายใน
ขณะนั้น
จิตจะแจ่มแจ้ง เป็นจิตปัจจุบัน ไม่เกี่ยวข้องกับอดีตที่ผ่าน และไม่กังวลถึงอนาคตอีก
เมื่อผู้ปฏิบัติรู้อยู่ในจิตอยู่อย่างนั้นต่อไป
จิตจะเรียนรู้ว่า รู้ในจิตแตกต่างจากรู้ในกาย
ผู้รู้ในจิตนั้นปราศจากรูป นาม ปราศจากธาตุ 4 ขันธ์ 5
เมื่อพิจารณาได้เต็มที่พอควรแล้ว จิตจะดิ่งลงสู่ปัจจุบันเองโดยธรรมดา
ดังนั้น การปฏิบัติของเรา คงเหลือแต่รู้สึกอยู่กับผู้รู้อยู่อย่างนั้นไม่คาดเคลื่อนไปไหน
จิตขณะนั้นจะปล่อยให้ขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอยู่อย่างนั้น
แต่จิตไม่เกี่ยวข้องทั้งสิ่งเหล่านั้น
โดยเฉพาะอย่างเวทนาและเวทนาทางจิต
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในกายในใจนี้ เกิดเนื่องจากเพราะเราให้ค่าสิ่งต่างๆนั่นเอง เหตุคือ
จิตของเราส่งออกนอกฐานที่ตั้งของจิต นั่นเอง
ดังนั้น เหตุที่ต้องมีฐานที่ตั้งของจิต ก็เพื่อเป็นที่ระลึกของจิต
น่าประหลาดใจ จิตขณะนั้นหากมีทุกข์มาก จิตจะยิ่งแจ่มใส เพราะความไม่เกี่ยวข้องกันนั่นเอง
จิตที่เป็นธรรมชาติ จะมีความรู้ที่ปราศจากรูปร่าง แต่จะเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน
ไม่เกาะเกี่ยวกับขันธ์ กับธาตุ แยกออกเป็นส่วนไม่เกี่ยวข้องเศร้าหมองต่อกัน
เป็นสภาวะที่เป็นปกติ ไม่ใช่เป็นทาสของอะไร
การปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว ก็ให้สติรักษาจิตนั้นทั้งขณะภาวนา และเลิกภาวนาแล้ว
ไม่ใช่การปล่อยเวลาปล่อยอิริยาบถต่างไปในแต่ละวันแต่ละเวลา แต่ให้มีเสมอๆตลอดเวลา
เหมือนดั่งที่หลวงปู่ดูลย์สอนว่า “จงทำญาณให้เห็นจิต ดั่งตาเห็นรูป เหตุต้องละใช้
ผลเหตุเกิด” นั่นเอง
เขมปัญโญคฤหัสถ์