ตบทรัพย์ คลีนิคเสริมความงาม

จากที่พบ วันที่ 6 มีค 2568 ได้เข้าไปห้าง เพื่อไปทานอาหารพอทานเสร็จ  ได้เดินเล่น ชั้น G สักพัก พอจะกลับได้ขึ้นบันไดเลื่อน มาชั้น 1(ที่จะไปลานจอดรถ) พบพนักงานขายยืนรอทางขึ้นหลายท่าน ชักจูงให้เข้าไปนั่งพูดคุย เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ไม่มีสารตกค้าง ไม่เจ็บ ไม่ต้องฉีด มีดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์หลายคน เช่น คุณเจนนี่ เทียนโพธิสุวรรณ, คุณอเล็กซ์ ทีละเดช ก็ใช้บริการที่ร้าน พร้อมเปิดภาพจากมือถือให้ดู เชิญไปตรวจสอบสภาพผิวหน้า และพูดคุยโน้มนาวอยู่ตลอด อีกสักพักก็มี พนง.ขาย น.อีกคน เข้ามาพูดคุย นำเสนอแนะนำคอร์ส (เขียนเป็นตัวย่อภาษาอังกฤษ) ราคา 25,000 บาท และชักจูง ยัดเยียดให้ซื้อบริการ และตื้อให้รูดบัตรชำระ ถามมีบัตรเครดิตของอะไรบ้าง ถามสะดวกรูดเต็ม หรือผ่านชำระแบบแต่มีดอกเบี้ย จึงเลือกรูดเต็ม และทาง พนง.ขายได้ ขอบัตร ปชช.พร้อมพาลูกค้าไปจุดรูดบัตรเครดิต พอรูดเสร็จ แล้วก็พาลูกค้ากลับมานั่งที่โต๊ะพูดคุยต่อ แล้วก็ถามเพื่อนว่าห้องว่างหรือยัง ว่างไหม และถามลูกค้าลองทำหน้าสักครั้ง (เป็นการชักชวนจาก พนง.ขายให้ลองทำ และไม่ได้แจ้งว่าทดลองทำครั้งนี้จะรวมในคอร์สที่เสียคชจ.แล้ว)

พอเข้าไปนอนในห้องเล็กบนเตียง ก็จะมี พนง.ทำหน้าเช็ดทำความสะอาดหน้า และนำเจลมาป้ายที่หน้าทำ และใช้เครื่องนวดวนไปมาเหมือนร้านทั่วไป ในขณะที่ทำหน้าอยู่จะมี พนง.ขาย น.เข้ามาพูดคุย ชักจูง นำเสนอชวนเป็น VIP แจงควรทำโน่นนี่นั่น คุ้มมาก ราคา 100,000 บาท ก็เลี่ยงตอบว่ายอดเงินไม่พอ เขาก็ขอดูวงเงินในบัตรเครดิตว่าคงเหลือเท่าไร แล้วก็ออกไป พออีกสักพักก็เข้ามาในห้องอีก แจ้งเสนอราคาพิเศษ 50,000 บาท ก็เลี่ยงไม่ตอบรับ พอลองท าหน้าเสร็จ ก็มานั่งด้านนอก พนง.ขาย น. ก็พยายามเชียร์ขายคอร์ส ราคา 50,0000 บาท ตื้อขาย ไม่ปล่อย จนรู้สึกอึดอัด อยากออกจากตรงนั้น แต่ก็ไปไม่ได้ เพราะ พนง.ขาย ยังไม่คืน บัตร ปชช.เลย ก็แจ้งไปว่ามี Plan จะไปเที่ยว มี คชจ.ที่จะใช้อยู่ พนง.ขาย น. ก็พยายามเชียร์ขายคอร์ส ราคา 35,000 บาทอีก (แสดงท่าทาง พูดน้ำเสียงไม่พอใจ “ปิดจบนะ” สัมผัสได้) เรารู้สึกหงุดหงิดและรำคาญ อึดอัด อยากออกจากจุดตรงนั้น แต่ไปไหนไม่ได้เพราะบัตร ปชช.อยู่กับเขา แล้ว พนง.ขาย น. ก็เรียก พนง.อีกคนมารับช่วงต่อ พาไปจุดชำระเงินยืนบัตรให้ พนง.ยกเลิกยอดเดิม 25,000. และรูดยอดใหม่ 35,000.- แล้ว พนง.ก็นำสัญญามาให้พร้อมแฟ้มที่มีบัตร ปชช.มากรอกข้อมูลทำสัญญาให้ลงนามในเอกสารและแจ้งว่าได้กี่ครั้ง และแจ้งครั้งที่ทดลองเมื่อครู่นี้รวมอยู่ในคอร์ด้วยแล้ว แล้วก็กลับบ้าน

วันที่ 7 มีค 2568 รีบไปห้างฯ จุดออกบูธ เพื่อไปแจ้งความประสงค์ยกเลิกที่ชำระไปเมื่อวาน กับจุดชำระเงิน ทาง พนง.ชำระเงินเรียก พนง.ขาย น. มารับเชิญไปนั่งที่โต๊ะสอบถามทำไมคืน จึงแจ้งว่ารู้สึกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างจากเดิม ไม่คุ้มกับ คชจ.ที่เสียไปเลย ทาง พนง.ขาย น. แจ้งว่าคืนไม่ได้ ถ้าคืนก็ต้องใช้เวลา 90 วัน และกดเครื่องคิดเลขให้ดูยอดเงินที่คืน จะได้แค่ 21,750 บาท (เพราะเมื่อวานลองทำแล้ว ของฟรีไม่มีในโลก) และ พนง.ขาย น. แจ้งเป็นบริษัทใหญ่ มีทนายความดูแลเกี่ยวกับสัญญาเป็นอย่างดี และลูกค้าก็ลงนามในสัญญาเองแล้ว ถ้าจะไปแจ้งความหรือร้องเรียนก็เชิญจะติดต่อกลับไปภายหลัง (โดย พนง.ไม่ได้ให้กรอกเอกสาร หรือแนะน าอะไรเลย) จึงเดินออกจากบูธ รู้สึกโกรธและถูกหลอกเสมือนโดนตบทรัพย์ ไม่รู้จะยังไงต่อ ยืนคิดสักพักก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นชั้น2 เพื่อไปหาสถานที่ตั้งคลินิก ทางร้านเชิญให้ทานนั่ง และแจ้งเข้าไปคุยในห้อง แต่ปฏิเสธขอคุยด้านนอก แต่ยังไม่ได้แจ้งรายละเอียดอะไร ก็มีลูกค้าอีกกลุ่มเข้ามาเชิญลูกค้าเข้าห้องเล็ก เพื่อขอคืนเงิน พูดเสียงดัง เกี่ยวกับ คชจ.ที่เสียเป็น >100,000 บาท แล้วทาง ผจก.ร้าน ก็แจ้งให้เขียนคำร้องไว้ก่อน ขอเคลียร์ลูกค้ากลุ่มนี้ก่อน ไม่ยากให้เสียงดัง รบกวนลูกค้าที่ใช้บริการทำหน้าด้านใน ทาง พนง.หน้าเคาเตอร์จึงยืนเอกสาร “คำร้องขอ
บอกเลิกสัญญา” ให้เขียน และขอถ่ายเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน

วันที่ 8 มีค 2568 คิดถึงคำพูดของ พนง.ขาย น. แจ้งบริษัทฯ เขาใหญ่มีทนายความที่เก่ง เอกสารสัญญาลูกค้าก็ลงนามเอง จึงรู้สึกกังวลและกังวลจะได้เงินคืน แจ้งร้องเรียนเข้าไป สคบ.และแจ้งความไว้แล้ว

วันที่ 24 มีค 2568 ผจก.ร้าน ได้ติดต่อมาแจ้งจะคืนเงินให้ แต่ลูกค้าได้ทดลองใช้แล้ว จะต้องเสีย คชจ.6,000 บาท ถ้ายอมรับได้ ก็มาลงนามในเอกสารที่ร้านแต่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ทำ ว่ามีคุณภาพ เหมาะสมกับราคา 6,000 จริงเหรอ??  จะให้หน่อยงานใดตรวจสอบ พิสูจน์ได้อย่างไร??

พฤติกรรมที่ พนง.ขาย ที่เหนียวรั้ง และไม่แจงให้ทราบเกี่ยวกับ คชจ. การให้ทดลองทำ  รวมถึงการยึดบัตร ปชช.ไป ผิดพระราชบัญญัติ PAPB หรือไม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่