อาถรรพ์เพลงอโหกุมาร กับเงามืดในโรงเรียนเทพศิรินทร์
ในช่วงสงครามเอเชียบูรพา โรงเรียนเทพศิรินทร์กลายเป็นสถานที่หลบภัยของประชาชนและทหารที่บาดเจ็บ ตึกเก่าแก่ทั้ง แม้นนฤมิตร, โชฎึก เลาหะเศรษฐี, เยาวมาลย์อุทิศ และ ปิยราชอุทิศ ถูกใช้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวและที่หลบภัย ทว่าความตายและความทุกข์ทรมานที่สั่งสมอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ได้ก่อให้เกิดตำนานสุดหลอนที่ยังคงถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้
เสียงเพลงที่ไม่ควรถูกขับร้อง
“อโหกุมาร” เป็นบทเพลงเก่าแก่ที่เกี่ยวกับการจากลาและความสูญเสีย ว่ากันว่าหากมีใครร้องเพลงนี้ในเวลายามวิกาล ภายในโรงเรียนเทพศิรินทร์ จะมีเสียงร้องไห้แผ่วเบาดังมาจากมุมมืด และอาจพบเห็นเงาแห่งความเศร้าสลดของเหล่าผู้วายชนม์ในสงคราม
คืนหนึ่ง กลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องอยู่เวรเฝ้าตึกแม้นนฤมิตร หลังจากเสร็จงาน พวกเขาตัดสินใจท้าทายตำนานเมืองด้วยการร้องเพลงอโหกุมารกันที่หน้าตึก ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด เสียงเพลงที่พวกเขาขับร้องสะท้อนก้องไปทั่วโรงเรียน
ทันทีที่ท่อนสุดท้ายจบลง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนจะมีเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู
“เจ้า…เรียกข้าหรือ…”
เงาร่างของชายในชุดนักเรียนเก่าคร่ำคร่า ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ใบหน้าไร้ซึ่งลูกตา มีเพียงเบ้าตาลึกโบ๋ที่เหมือนถูกเผาจนดำไหม้
เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มกรีดร้องลั่น ก่อนจะทรุดลงไปกับพื้น เพื่อนๆ รีบวิ่งไปช่วย แต่แล้วก็มีมือเย็นเฉียบคว้าข้อเท้าของเขาไว้ เป็นมือซีดขาวของใครบางคนที่โผล่ออกมาจากพื้นไม้เก่า!
พวกเขาหนีออกมาจากตึกอย่างบ้าคลั่ง ทิ้งเพื่อนคนหนึ่งที่ยังหมดสติอยู่ข้างในไป จนเมื่อครูและภารโรงเข้ามาตามหาในเช้าวันรุ่งขึ้น เด็กคนนั้นก็นั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิม น้ำตาไหลอาบหน้า พร่ำเพ้อเพียงประโยคเดียวว่า
“พวกเขายังอยู่ที่นี่…พวกเขาไม่ไปไหน…”
อาถรรพ์แห่งตึกต้องห้าม
ตึกโชฎึก เลาหะเศรษฐี เป็นตึกที่เคยถูกใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม ในคืนที่เงียบสงัด หากเดินผ่านตึกนี้ อาจได้ยินเสียงลากเตียงเหล็กดังครืดคราด หรือเสียงสวดมนต์ของแพทย์ทหารที่เคยปฏิบัติงานอยู่ที่นี่
ตึกเยาวมาลย์อุทิศ ว่ากันว่าเคยถูกใช้เป็นที่เก็บศพของทหารและประชาชนที่เสียชีวิตในระหว่างการทิ้งระเบิด นักเรียนหลายคนเคยเห็นร่างของหญิงสาวในชุดไทยเก่าแก่ยืนอยู่ที่หน้าต่างชั้นสองของตึก พร้อมเสียงสะอื้นแผ่วเบา
ตึกปิยราชอุทิศ เคยเป็นหอพักของนักเรียนบางกลุ่มในช่วงสงคราม มีเรื่องเล่าถึงเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเพราะถูกไฟไหม้ในระหว่างการโจมตี หากใครเดินผ่านตึกนี้ในเวลากลางคืน อาจได้กลิ่นไหม้หรือเสียงเด็กหัวเราะแผ่วๆ มาจากทางเดินที่ไม่มีใครอยู่
บทสรุปของคำสาป
แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด แต่เรื่องราวเหล่านี้ยังคงถูกเล่าขานกันในหมู่นักเรียนเทพศิรินทร์ หากใครคิดลองดีด้วยการร้องเพลง “อโหกุมาร” ในเวลากลางคืน ณ สถานที่เหล่านี้ พึงระวังให้ดี เพราะสิ่งที่ถูกปลุกขึ้นมา อาจไม่ยอมกลับไปโดยง่าย…
อาถรรพ์อโหกุมาร เทพศิรินทร์
ในช่วงสงครามเอเชียบูรพา โรงเรียนเทพศิรินทร์กลายเป็นสถานที่หลบภัยของประชาชนและทหารที่บาดเจ็บ ตึกเก่าแก่ทั้ง แม้นนฤมิตร, โชฎึก เลาหะเศรษฐี, เยาวมาลย์อุทิศ และ ปิยราชอุทิศ ถูกใช้เป็นโรงพยาบาลชั่วคราวและที่หลบภัย ทว่าความตายและความทุกข์ทรมานที่สั่งสมอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ได้ก่อให้เกิดตำนานสุดหลอนที่ยังคงถูกเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้
เสียงเพลงที่ไม่ควรถูกขับร้อง
“อโหกุมาร” เป็นบทเพลงเก่าแก่ที่เกี่ยวกับการจากลาและความสูญเสีย ว่ากันว่าหากมีใครร้องเพลงนี้ในเวลายามวิกาล ภายในโรงเรียนเทพศิรินทร์ จะมีเสียงร้องไห้แผ่วเบาดังมาจากมุมมืด และอาจพบเห็นเงาแห่งความเศร้าสลดของเหล่าผู้วายชนม์ในสงคราม
คืนหนึ่ง กลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องอยู่เวรเฝ้าตึกแม้นนฤมิตร หลังจากเสร็จงาน พวกเขาตัดสินใจท้าทายตำนานเมืองด้วยการร้องเพลงอโหกุมารกันที่หน้าตึก ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัด เสียงเพลงที่พวกเขาขับร้องสะท้อนก้องไปทั่วโรงเรียน
ทันทีที่ท่อนสุดท้ายจบลง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนจะมีเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู
“เจ้า…เรียกข้าหรือ…”
เงาร่างของชายในชุดนักเรียนเก่าคร่ำคร่า ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ใบหน้าไร้ซึ่งลูกตา มีเพียงเบ้าตาลึกโบ๋ที่เหมือนถูกเผาจนดำไหม้
เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มกรีดร้องลั่น ก่อนจะทรุดลงไปกับพื้น เพื่อนๆ รีบวิ่งไปช่วย แต่แล้วก็มีมือเย็นเฉียบคว้าข้อเท้าของเขาไว้ เป็นมือซีดขาวของใครบางคนที่โผล่ออกมาจากพื้นไม้เก่า!
พวกเขาหนีออกมาจากตึกอย่างบ้าคลั่ง ทิ้งเพื่อนคนหนึ่งที่ยังหมดสติอยู่ข้างในไป จนเมื่อครูและภารโรงเข้ามาตามหาในเช้าวันรุ่งขึ้น เด็กคนนั้นก็นั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิม น้ำตาไหลอาบหน้า พร่ำเพ้อเพียงประโยคเดียวว่า
“พวกเขายังอยู่ที่นี่…พวกเขาไม่ไปไหน…”
อาถรรพ์แห่งตึกต้องห้าม
ตึกโชฎึก เลาหะเศรษฐี เป็นตึกที่เคยถูกใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม ในคืนที่เงียบสงัด หากเดินผ่านตึกนี้ อาจได้ยินเสียงลากเตียงเหล็กดังครืดคราด หรือเสียงสวดมนต์ของแพทย์ทหารที่เคยปฏิบัติงานอยู่ที่นี่
ตึกเยาวมาลย์อุทิศ ว่ากันว่าเคยถูกใช้เป็นที่เก็บศพของทหารและประชาชนที่เสียชีวิตในระหว่างการทิ้งระเบิด นักเรียนหลายคนเคยเห็นร่างของหญิงสาวในชุดไทยเก่าแก่ยืนอยู่ที่หน้าต่างชั้นสองของตึก พร้อมเสียงสะอื้นแผ่วเบา
ตึกปิยราชอุทิศ เคยเป็นหอพักของนักเรียนบางกลุ่มในช่วงสงคราม มีเรื่องเล่าถึงเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเพราะถูกไฟไหม้ในระหว่างการโจมตี หากใครเดินผ่านตึกนี้ในเวลากลางคืน อาจได้กลิ่นไหม้หรือเสียงเด็กหัวเราะแผ่วๆ มาจากทางเดินที่ไม่มีใครอยู่
บทสรุปของคำสาป
แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด แต่เรื่องราวเหล่านี้ยังคงถูกเล่าขานกันในหมู่นักเรียนเทพศิรินทร์ หากใครคิดลองดีด้วยการร้องเพลง “อโหกุมาร” ในเวลากลางคืน ณ สถานที่เหล่านี้ พึงระวังให้ดี เพราะสิ่งที่ถูกปลุกขึ้นมา อาจไม่ยอมกลับไปโดยง่าย…