สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ในสมัยโบราณ (รวมถึงยุคสามก๊ก) การบอกเวลา “เป๊ะ ๆ” แบบเป็นนาทีวินาทีอย่างปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้นนะครับ แต่เขาก็มีวิธีบอกเวลาคร่าว ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืนได้หลายรูปแบบ ซึ่งอาจไม่ได้ตรงเป๊ะทุกนาที แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันและทางการทหาร ตัวอย่างเช่น
1. อาศัยการแบ่งช่วงเวลาตามการเดินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
o ดูทิศทางและความสูงของดวงอาทิตย์: กลางวันใช้ดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์เป็นหลัก (คล้ายการใช้ “นาฬิกาแดด” – Sundial) เพื่อกะเวลา เช่น ตอนเที่ยงดวงอาทิตย์จะอยู่ใกล้จุดกึ่งกลางฟ้าเป็นต้น
o ดวงจันทร์และกลุ่มดาว: กลางคืนอาจสังเกตตำแหน่งดวงจันทร์ หรือกลุ่มดาวบางกลุ่ม (เช่น ดาวเหนือหรือกลุ่มดาวสว่าง ๆ) เพื่อคร่าว ๆ ว่าเป็นช่วงไหนของคืน
2. ใช้ “นาฬิกาน้ำ” (Water Clock) หรือนาฬิกาทราย
o สมัยโบราณในจีน (รวมถึงอารยธรรมอื่น ๆ) จะมีเครื่องวัดเวลาจากการไหลของน้ำ หรือการไหลของทรายในภาชนะ ซึ่งหากตั้งค่าความกว้างของรูให้น้ำหรือทรายไหลด้วยอัตราที่คงที่ ก็ใช้เป็นตัวจับเวลาได้
o เวลาที่ได้อาจมีคนคอยเติมน้ำหรือทรายและจดบันทึกไว้ (มักเป็นหน้าที่ของข้าราชการ / ทหารเวรยาม)
3. ใช้ “ธูปหอมหรือนาฬิกาเทียน”
o จุดเทียนหรือธูปที่มีความยาวหรือมีรอยแบ่งไว้เป็นช่วง ๆ เมื่อติดไฟไปถึงรอยแบ่งไหนก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งนิยมใช้บอกเวลาในตอนกลางคืนเช่นเดียวกับนาฬิกาน้ำ
4. การตีบอกยาม (หรือ “ยาม” และ “เกิง” – 更)
o ในหลายราชวงศ์โบราณของจีน มีการแบ่งเวลากลางคืนเป็น 5 ยามหรือ 5 เกิง (หรือ 5 เวรยาม) เช่น
§ ยามที่หนึ่ง: ประมาณ 1 ทุ่ม – 3 ทุ่ม
§ ยามที่สอง: ประมาณ 3 ทุ่ม – 5 ทุ่ม
§ ยามที่สาม: ประมาณ 5 ทุ่ม – ตี 1
§ ยามที่สี่: ประมาณ ตี 1 – ตี 3
§ ยามที่ห้า: ประมาณ ตี 3 – ตี 5
o หรือหากเป็นยุคสามก๊กก็ยังมีการใช้ “ชั่วยาม” (时辰) แบบหนึ่งวันแบ่งเป็น 12 ชั่วยาม (แต่ละชั่วยาม = 2 ชั่วโมงปัจจุบัน) โดยจะมีการตีฆ้องหรือตีกลองตามจุดเฝ้ายามเพื่อแจ้งเวลาให้คนในเมืองรู้
5. สังเกตบรรยากาศอื่น ๆ
o บางครั้งในชีวิตประจำวันก็อาจกะด้วย “ประสบการณ์” เช่น แสงสว่างหรือความมืด ความดังของเสียงแมลงเสียงไก่ หรือการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัว (เช่น ไก่ขันเวลารุ่งเช้าเป็นตัวช่วยบอกเวลาได้ดีในยุคโบราณ)
ดังนั้น ถ้าถามว่าสมัยโบราณ “เป๊ะมั้ย?” ก็ตอบว่าไม่เป๊ะเท่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แน่นอน แต่เขาก็มีระบบของเขาเอง เช่น ตีเกาะบอกยาม จุดธูปหรือนาฬิกาน้ำกันตลอดคืน มีคนคอยเฝ้าเติมน้ำหรือจดบันทึกเป็นหน้าที่ประจำ ซึ่งละเอียดพอใช้ในการจัดการทางทหาร การทำพิธีกรรม หรือการเดินทางได้
ส่วนถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา พอพระอาทิตย์ตกไปแล้วก็มักกะเวลากันคร่าว ๆ จากความมืดหรือจากกิจวัตรอื่น ๆ (ฟ้าเริ่มมือสนิท แสดงว่าประมาณสอง-สามทุ่ม ฯลฯ) ไม่ต้องเป๊ะเท่านาฬิกาข้อมือทุกวันนี้นั่นเองครับ.
1. อาศัยการแบ่งช่วงเวลาตามการเดินดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
o ดูทิศทางและความสูงของดวงอาทิตย์: กลางวันใช้ดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์เป็นหลัก (คล้ายการใช้ “นาฬิกาแดด” – Sundial) เพื่อกะเวลา เช่น ตอนเที่ยงดวงอาทิตย์จะอยู่ใกล้จุดกึ่งกลางฟ้าเป็นต้น
o ดวงจันทร์และกลุ่มดาว: กลางคืนอาจสังเกตตำแหน่งดวงจันทร์ หรือกลุ่มดาวบางกลุ่ม (เช่น ดาวเหนือหรือกลุ่มดาวสว่าง ๆ) เพื่อคร่าว ๆ ว่าเป็นช่วงไหนของคืน
2. ใช้ “นาฬิกาน้ำ” (Water Clock) หรือนาฬิกาทราย
o สมัยโบราณในจีน (รวมถึงอารยธรรมอื่น ๆ) จะมีเครื่องวัดเวลาจากการไหลของน้ำ หรือการไหลของทรายในภาชนะ ซึ่งหากตั้งค่าความกว้างของรูให้น้ำหรือทรายไหลด้วยอัตราที่คงที่ ก็ใช้เป็นตัวจับเวลาได้
o เวลาที่ได้อาจมีคนคอยเติมน้ำหรือทรายและจดบันทึกไว้ (มักเป็นหน้าที่ของข้าราชการ / ทหารเวรยาม)
3. ใช้ “ธูปหอมหรือนาฬิกาเทียน”
o จุดเทียนหรือธูปที่มีความยาวหรือมีรอยแบ่งไว้เป็นช่วง ๆ เมื่อติดไฟไปถึงรอยแบ่งไหนก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งนิยมใช้บอกเวลาในตอนกลางคืนเช่นเดียวกับนาฬิกาน้ำ
4. การตีบอกยาม (หรือ “ยาม” และ “เกิง” – 更)
o ในหลายราชวงศ์โบราณของจีน มีการแบ่งเวลากลางคืนเป็น 5 ยามหรือ 5 เกิง (หรือ 5 เวรยาม) เช่น
§ ยามที่หนึ่ง: ประมาณ 1 ทุ่ม – 3 ทุ่ม
§ ยามที่สอง: ประมาณ 3 ทุ่ม – 5 ทุ่ม
§ ยามที่สาม: ประมาณ 5 ทุ่ม – ตี 1
§ ยามที่สี่: ประมาณ ตี 1 – ตี 3
§ ยามที่ห้า: ประมาณ ตี 3 – ตี 5
o หรือหากเป็นยุคสามก๊กก็ยังมีการใช้ “ชั่วยาม” (时辰) แบบหนึ่งวันแบ่งเป็น 12 ชั่วยาม (แต่ละชั่วยาม = 2 ชั่วโมงปัจจุบัน) โดยจะมีการตีฆ้องหรือตีกลองตามจุดเฝ้ายามเพื่อแจ้งเวลาให้คนในเมืองรู้
5. สังเกตบรรยากาศอื่น ๆ
o บางครั้งในชีวิตประจำวันก็อาจกะด้วย “ประสบการณ์” เช่น แสงสว่างหรือความมืด ความดังของเสียงแมลงเสียงไก่ หรือการเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัว (เช่น ไก่ขันเวลารุ่งเช้าเป็นตัวช่วยบอกเวลาได้ดีในยุคโบราณ)
ดังนั้น ถ้าถามว่าสมัยโบราณ “เป๊ะมั้ย?” ก็ตอบว่าไม่เป๊ะเท่าวิทยาศาสตร์สมัยใหม่แน่นอน แต่เขาก็มีระบบของเขาเอง เช่น ตีเกาะบอกยาม จุดธูปหรือนาฬิกาน้ำกันตลอดคืน มีคนคอยเฝ้าเติมน้ำหรือจดบันทึกเป็นหน้าที่ประจำ ซึ่งละเอียดพอใช้ในการจัดการทางทหาร การทำพิธีกรรม หรือการเดินทางได้
ส่วนถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา พอพระอาทิตย์ตกไปแล้วก็มักกะเวลากันคร่าว ๆ จากความมืดหรือจากกิจวัตรอื่น ๆ (ฟ้าเริ่มมือสนิท แสดงว่าประมาณสอง-สามทุ่ม ฯลฯ) ไม่ต้องเป๊ะเท่านาฬิกาข้อมือทุกวันนี้นั่นเองครับ.
แสดงความคิดเห็น
สมัยโบราณไม่มีนาฬิกา แล้วรู้เวลากันได้ยังไง??
เขามีช่วงเวลาเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสาม
ดูดวงจันทร์เอาหรือ? รึกะเอา
สมัยโบราณคงไม่เป๊ะ เป็นนาที วินาที ใช่มั๊ย?
ถ้าเป็นปัจจุบัน มืดๆไม่มีอะไรดู ผมก็ไม่รู้ว่าหนึ่งทุ่มหรือสองทุ่ม