กำลังอยากได้รถไฟฟ้าคันเล็กๆ ไว้ส่งลูก มีเงื่อนไขแบบนี้ ควรซื้อมั้ย

กระทู้คำถาม
รบกวนครับ พอดีจะซื้อรถไฟฟ้ามาใช้สักคันเล็กๆ ไว้รับส่งลูก แต่มีปัจจัยแบบนี้
1. ที่บ้านมีรถสองคัน  คันนึงคือ everest ใช้มา 7 ปี ก็ใช้งานได้ดีงามดีเยี่ยม มาก  ใช้คันนี้รับส่งลูก วันละ 30 กิโลไปกับ เสาร์อาทิตย์นิดๆหน่อยก็วันละ 30กิโล   น้ำมันเดือนนึงมี 4-5 พันบาท  ใช้มา 7 ปี
2. คันที่สอง เป็น Outback อาทิตย์นึงใช้ทีนึง สำหรับออกไปนู่นไปนี่

คือกำลังจะคิดว่า ค่าซ่อมบำรุงของ Everest กำลังจะคืบคลานเข้ามา และเสียค่าน้ำมันเดือนละ 4-5000 บาท

กำลังคิดว่า
1. ใช้รับส่งลูกวิ่งใกล้ๆ เก็บ Everest ไว้ด้วย และเอาตัวไฟฟ้าตันเล็กๆ มาใช้งานวิ่งในเมืองอย่างเดียว เช่นพวก lumin
2. ใช้ Everest แบบเดิมไป ซ่อมบำรุงเอา
3. หรือปล่อย Everest ออกไป เอาไปถอย ไฟฟ้าคันใหญ่นิดนึง เผื่อวิ่งไปไหนมาไหนวันหยุดแทน outback ได้ด้วย

ทั้งสามเงื่อนไข แบบนี้สมเหตุสมผลมั้ยครับ ที่จะถอยไฟฟ้าออกมา ถ้าเข้าเงื่อนไข 1 ก็ถอยคันเล็กๆ ออกมาใช้
ถ้าเป็นเงื่อนไข 3 ก็ได้คันใหญ่นิดนึง ผ่อนเพิ่มอีกหน่อย แตต้องปล่อย Everest ออกไป  แต่สุดท้ายยังไงก็ยังมี outback แต่ถ้าได้ใหญ่หน่อย ไปไหนมาไหนแทน outback ก็ประหยัดกว่ามั้ยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
จากโจทย์ของคุณ มี 3 ตัวเลือกที่ต้องพิจารณา ซึ่งแต่ละตัวเลือกมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ผมจะช่วยวิเคราะห์ให้ครับ

ตัวเลือกที่ 1: ซื้อรถไฟฟ้าคันเล็ก เช่น Lumin ใช้วิ่งรับส่งลูก เก็บ Everest ไว้

✅ ข้อดี

ลดค่าน้ำมันไปได้พอสมควร (เพราะ Everest กินน้ำมันเยอะ)

ค่าซ่อมบำรุง Everest ยังถูกกว่าค่าผ่อนรถใหม่ (ถ้าสภาพยังดี)

รถไฟฟ้าคันเล็ก ราคาถูก ผ่อนสบาย ค่าดูแลต่ำ

เหมาะกับการขับในเมืองระยะสั้น


❌ ข้อเสีย

ยังคงต้องดูแล Everest อยู่ (ค่าซ่อมบำรุงอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุรถ)

ถ้าต้องการเดินทางไกลกับครอบครัว วันหยุดยังต้องใช้ Everest หรือ Outback


🔹 สรุป: ถ้าหลักๆ คิดเรื่องประหยัดค่าน้ำมัน และต้องการลดภาระเรื่องค่าผ่อนรถไฟฟ้า แนะนำตัวเลือกนี้ครับ


---

ตัวเลือกที่ 2: ใช้ Everest ต่อไป ไม่ซื้อรถเพิ่ม

✅ ข้อดี

ไม่ต้องเสียเงินก้อนใหม่

ค่าซ่อมบำรุง Everest อาจถูกกว่าค่าผ่อนรถใหม่ (ถ้าไม่มีปัญหาใหญ่)

ขับขี่คุ้นเคย ไม่ต้องปรับตัว


❌ ข้อเสีย

ค่าน้ำมันยังสูงเท่าเดิม

ซ่อมบำรุงอาจแพงขึ้นในอนาคต

ไม่มีการลดค่าใช้จ่ายระยะยาว


🔹 สรุป: ถ้ารถยังใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาจุกจิก และยังไม่อยากเพิ่มภาระหนี้สิน ตัวเลือกนี้ก็ไม่ได้แย่ครับ


---

ตัวเลือกที่ 3: ขาย Everest แล้วซื้อรถไฟฟ้าคันใหญ่ขึ้น (ที่แทน Outback ได้ด้วย)

✅ ข้อดี

ลดภาระค่าน้ำมันได้มาก

รถใหม่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าซ่อมบำรุงในช่วงแรก

ถ้าเลือก EV ขนาดกลาง-ใหญ่ ใช้งานได้ทั้งวันธรรมดาและท่องเที่ยววันหยุด

ประหยัดกว่า Outback (ถ้าใช้ไฟฟ้าแทนบ่อยขึ้น)


❌ ข้อเสีย

ต้องผ่อนเพิ่ม (แล้วแต่รุ่นที่เลือก)

ถ้าซื้อ EV ขนาดใหญ่ราคาสูง อาจใช้เวลานานกว่าจะคุ้มค่า

หากเดินทางไกลมากๆ อาจต้องวางแผนชาร์จไฟ


🔹 สรุป: ถ้าคุณยอมรับค่าผ่อนเพิ่มได้ และมองระยะยาวว่า EV คันใหม่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงไปได้ ตัวเลือกนี้ก็น่าสนใจครับ


---

สรุปภาพรวม

ถ้าอยากลดค่าใช้จ่ายรายเดือน และยังใช้ Everest ได้อยู่ → ตัวเลือก 1 (ซื้อ EV คันเล็กมาเสริม)

ถ้าคิดว่า Everest ยังโอเค และไม่อยากเพิ่มภาระการเงิน → ตัวเลือก 2 (ใช้รถเดิมต่อ)

ถ้าคิดระยะยาว วางแผนเปลี่ยนไปใช้ EV มากขึ้น และรับได้กับค่าผ่อนเพิ่ม → ตัวเลือก 3 (ขาย Everest แล้วซื้อ EV คันใหญ่)


แล้วรถที่ซื้อ ควรซื้อแบบไหน

ผมแนะนำให้ลองดูรุ่น EV ที่สนใจ และคำนวณค่าผ่อน + ค่าชาร์จไฟ เทียบกับค่าน้ำมันปัจจุบันก่อนตัดสินใจครับ

ถ้าจะซื้อรถใหม่ (โดยเฉพาะรถไฟฟ้า) ภายใต้เงื่อนไขที่คุณให้มา มี 3 ระบบหลักที่ควรพิจารณา


---

1. EV (Battery Electric Vehicle - BEV) → รถไฟฟ้า 100%

เหมาะกับกรณี:
✅ ใช้วิ่งระยะสั้นในเมืองเป็นหลัก (เช่น รับส่งลูก)
✅ มีจุดชาร์จสะดวกที่บ้าน
✅ ต้องการลดค่าน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด

รุ่นแนะนำ (ขนาดเล็ก - กลาง)

ขนาดเล็ก: BYD Dolphin, MG4, Neta V, GWM ORA Good Cat (เหมาะกับตัวเลือก 1)

ขนาดกลาง: Tesla Model Y, BYD Atto 3, Hyundai Ioniq 5, Kia EV6 (เหมาะกับตัวเลือก 3)


ข้อดี
✔ ประหยัดค่าพลังงานกว่าน้ำมันมาก (เฉลี่ย 0.5-1 บาท/กม.)
✔ ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่า เพราะเครื่องยนต์ไม่มีชิ้นส่วนเยอะ
✔ เงียบ แรงบิดดี ขับขี่สบาย

ข้อเสีย
✘ ต้องวางแผนชาร์จ ถ้าต้องเดินทางไกล
✘ ราคาสูงกว่ารถน้ำมันในระดับเดียวกัน


---

2. PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)

เหมาะกับกรณี:
✅ อยากใช้ไฟฟ้าวิ่งระยะสั้น (รับส่งลูก) แต่ยังต้องเดินทางไกลบ้าง
✅ ไม่อยากกังวลเรื่องชาร์จไฟระหว่างเดินทาง

รุ่นแนะนำ

BYD Seal DM-i, Volvo XC60 PHEV, BMW X5 PHEV


ข้อดี
✔ ขับในเมืองด้วยไฟฟ้าได้ แต่ยังมีเครื่องยนต์ช่วยถ้าเดินทางไกล
✔ ประหยัดค่าน้ำมันได้พอสมควร
✔ ลดความกังวลเรื่องจุดชาร์จเมื่อเดินทางไกล

ข้อเสีย
✘ ยังมีค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ (แม้น้อยกว่ารถน้ำมันปกติ)
✘ ถ้าไม่ชาร์จไฟบ่อย ก็ไม่ได้ประหยัดเท่าที่ควร


---

3. HEV (Hybrid Electric Vehicle) → รถไฮบริดปกติ

เหมาะกับกรณี:
✅ ยังไม่พร้อมเปลี่ยนไปใช้ EV 100% แต่ต้องการลดค่าน้ำมัน
✅ ไม่มีจุดชาร์จที่บ้าน
✅ ขับรถไกลบ่อยๆ

รุ่นแนะนำ

Toyota Corolla Cross Hybrid, Honda CR-V e:HEV, Nissan X-Trail e-POWER


ข้อดี
✔ ประหยัดน้ำมันกว่ารถน้ำมันปกติ 20-40%
✔ ไม่ต้องชาร์จไฟ ใช้ระบบไฮบริดช่วยลดน้ำมันเอง
✔ ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่ารถน้ำมันเพียวๆ

ข้อเสีย
✘ ยังต้องเติมน้ำมัน (แม้จะลดลง)
✘ ประหยัดไม่เท่า PHEV หรือ EV


---

สรุป: ระบบไหนดี?

ถ้าจะซื้อรถเล็กมาเสริม → EV 100% (ตัวเลือก 1)

ถ้าจะขาย Everest แล้วเปลี่ยนเป็นคันใหญ่ → EV 100% หรือ PHEV (ตัวเลือก 3)

ถ้ายังต้องเดินทางไกล และไม่มีที่ชาร์จไฟบ้าน → PHEV หรือ HEV


ถ้าคุณมีจุดชาร์จที่บ้านและอยากลดค่าใช้จ่ายระยะยาว EV 100% น่าจะคุ้มสุด ครับ!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่