คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
จากโจทย์ของคุณ มี 3 ตัวเลือกที่ต้องพิจารณา ซึ่งแต่ละตัวเลือกมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน ผมจะช่วยวิเคราะห์ให้ครับ
ตัวเลือกที่ 1: ซื้อรถไฟฟ้าคันเล็ก เช่น Lumin ใช้วิ่งรับส่งลูก เก็บ Everest ไว้
✅ ข้อดี
ลดค่าน้ำมันไปได้พอสมควร (เพราะ Everest กินน้ำมันเยอะ)
ค่าซ่อมบำรุง Everest ยังถูกกว่าค่าผ่อนรถใหม่ (ถ้าสภาพยังดี)
รถไฟฟ้าคันเล็ก ราคาถูก ผ่อนสบาย ค่าดูแลต่ำ
เหมาะกับการขับในเมืองระยะสั้น
❌ ข้อเสีย
ยังคงต้องดูแล Everest อยู่ (ค่าซ่อมบำรุงอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุรถ)
ถ้าต้องการเดินทางไกลกับครอบครัว วันหยุดยังต้องใช้ Everest หรือ Outback
🔹 สรุป: ถ้าหลักๆ คิดเรื่องประหยัดค่าน้ำมัน และต้องการลดภาระเรื่องค่าผ่อนรถไฟฟ้า แนะนำตัวเลือกนี้ครับ
---
ตัวเลือกที่ 2: ใช้ Everest ต่อไป ไม่ซื้อรถเพิ่ม
✅ ข้อดี
ไม่ต้องเสียเงินก้อนใหม่
ค่าซ่อมบำรุง Everest อาจถูกกว่าค่าผ่อนรถใหม่ (ถ้าไม่มีปัญหาใหญ่)
ขับขี่คุ้นเคย ไม่ต้องปรับตัว
❌ ข้อเสีย
ค่าน้ำมันยังสูงเท่าเดิม
ซ่อมบำรุงอาจแพงขึ้นในอนาคต
ไม่มีการลดค่าใช้จ่ายระยะยาว
🔹 สรุป: ถ้ารถยังใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาจุกจิก และยังไม่อยากเพิ่มภาระหนี้สิน ตัวเลือกนี้ก็ไม่ได้แย่ครับ
---
ตัวเลือกที่ 3: ขาย Everest แล้วซื้อรถไฟฟ้าคันใหญ่ขึ้น (ที่แทน Outback ได้ด้วย)
✅ ข้อดี
ลดภาระค่าน้ำมันได้มาก
รถใหม่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าซ่อมบำรุงในช่วงแรก
ถ้าเลือก EV ขนาดกลาง-ใหญ่ ใช้งานได้ทั้งวันธรรมดาและท่องเที่ยววันหยุด
ประหยัดกว่า Outback (ถ้าใช้ไฟฟ้าแทนบ่อยขึ้น)
❌ ข้อเสีย
ต้องผ่อนเพิ่ม (แล้วแต่รุ่นที่เลือก)
ถ้าซื้อ EV ขนาดใหญ่ราคาสูง อาจใช้เวลานานกว่าจะคุ้มค่า
หากเดินทางไกลมากๆ อาจต้องวางแผนชาร์จไฟ
🔹 สรุป: ถ้าคุณยอมรับค่าผ่อนเพิ่มได้ และมองระยะยาวว่า EV คันใหม่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงไปได้ ตัวเลือกนี้ก็น่าสนใจครับ
---
สรุปภาพรวม
ถ้าอยากลดค่าใช้จ่ายรายเดือน และยังใช้ Everest ได้อยู่ → ตัวเลือก 1 (ซื้อ EV คันเล็กมาเสริม)
ถ้าคิดว่า Everest ยังโอเค และไม่อยากเพิ่มภาระการเงิน → ตัวเลือก 2 (ใช้รถเดิมต่อ)
ถ้าคิดระยะยาว วางแผนเปลี่ยนไปใช้ EV มากขึ้น และรับได้กับค่าผ่อนเพิ่ม → ตัวเลือก 3 (ขาย Everest แล้วซื้อ EV คันใหญ่)
แล้วรถที่ซื้อ ควรซื้อแบบไหน
ผมแนะนำให้ลองดูรุ่น EV ที่สนใจ และคำนวณค่าผ่อน + ค่าชาร์จไฟ เทียบกับค่าน้ำมันปัจจุบันก่อนตัดสินใจครับ
ถ้าจะซื้อรถใหม่ (โดยเฉพาะรถไฟฟ้า) ภายใต้เงื่อนไขที่คุณให้มา มี 3 ระบบหลักที่ควรพิจารณา
---
1. EV (Battery Electric Vehicle - BEV) → รถไฟฟ้า 100%
เหมาะกับกรณี:
✅ ใช้วิ่งระยะสั้นในเมืองเป็นหลัก (เช่น รับส่งลูก)
✅ มีจุดชาร์จสะดวกที่บ้าน
✅ ต้องการลดค่าน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด
รุ่นแนะนำ (ขนาดเล็ก - กลาง)
ขนาดเล็ก: BYD Dolphin, MG4, Neta V, GWM ORA Good Cat (เหมาะกับตัวเลือก 1)
ขนาดกลาง: Tesla Model Y, BYD Atto 3, Hyundai Ioniq 5, Kia EV6 (เหมาะกับตัวเลือก 3)
ข้อดี
✔ ประหยัดค่าพลังงานกว่าน้ำมันมาก (เฉลี่ย 0.5-1 บาท/กม.)
✔ ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่า เพราะเครื่องยนต์ไม่มีชิ้นส่วนเยอะ
✔ เงียบ แรงบิดดี ขับขี่สบาย
ข้อเสีย
✘ ต้องวางแผนชาร์จ ถ้าต้องเดินทางไกล
✘ ราคาสูงกว่ารถน้ำมันในระดับเดียวกัน
---
2. PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
เหมาะกับกรณี:
✅ อยากใช้ไฟฟ้าวิ่งระยะสั้น (รับส่งลูก) แต่ยังต้องเดินทางไกลบ้าง
✅ ไม่อยากกังวลเรื่องชาร์จไฟระหว่างเดินทาง
รุ่นแนะนำ
BYD Seal DM-i, Volvo XC60 PHEV, BMW X5 PHEV
ข้อดี
✔ ขับในเมืองด้วยไฟฟ้าได้ แต่ยังมีเครื่องยนต์ช่วยถ้าเดินทางไกล
✔ ประหยัดค่าน้ำมันได้พอสมควร
✔ ลดความกังวลเรื่องจุดชาร์จเมื่อเดินทางไกล
ข้อเสีย
✘ ยังมีค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ (แม้น้อยกว่ารถน้ำมันปกติ)
✘ ถ้าไม่ชาร์จไฟบ่อย ก็ไม่ได้ประหยัดเท่าที่ควร
---
3. HEV (Hybrid Electric Vehicle) → รถไฮบริดปกติ
เหมาะกับกรณี:
✅ ยังไม่พร้อมเปลี่ยนไปใช้ EV 100% แต่ต้องการลดค่าน้ำมัน
✅ ไม่มีจุดชาร์จที่บ้าน
✅ ขับรถไกลบ่อยๆ
รุ่นแนะนำ
Toyota Corolla Cross Hybrid, Honda CR-V e:HEV, Nissan X-Trail e-POWER
ข้อดี
✔ ประหยัดน้ำมันกว่ารถน้ำมันปกติ 20-40%
✔ ไม่ต้องชาร์จไฟ ใช้ระบบไฮบริดช่วยลดน้ำมันเอง
✔ ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่ารถน้ำมันเพียวๆ
ข้อเสีย
✘ ยังต้องเติมน้ำมัน (แม้จะลดลง)
✘ ประหยัดไม่เท่า PHEV หรือ EV
---
สรุป: ระบบไหนดี?
ถ้าจะซื้อรถเล็กมาเสริม → EV 100% (ตัวเลือก 1)
ถ้าจะขาย Everest แล้วเปลี่ยนเป็นคันใหญ่ → EV 100% หรือ PHEV (ตัวเลือก 3)
ถ้ายังต้องเดินทางไกล และไม่มีที่ชาร์จไฟบ้าน → PHEV หรือ HEV
ถ้าคุณมีจุดชาร์จที่บ้านและอยากลดค่าใช้จ่ายระยะยาว EV 100% น่าจะคุ้มสุด ครับ!
ตัวเลือกที่ 1: ซื้อรถไฟฟ้าคันเล็ก เช่น Lumin ใช้วิ่งรับส่งลูก เก็บ Everest ไว้
✅ ข้อดี
ลดค่าน้ำมันไปได้พอสมควร (เพราะ Everest กินน้ำมันเยอะ)
ค่าซ่อมบำรุง Everest ยังถูกกว่าค่าผ่อนรถใหม่ (ถ้าสภาพยังดี)
รถไฟฟ้าคันเล็ก ราคาถูก ผ่อนสบาย ค่าดูแลต่ำ
เหมาะกับการขับในเมืองระยะสั้น
❌ ข้อเสีย
ยังคงต้องดูแล Everest อยู่ (ค่าซ่อมบำรุงอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุรถ)
ถ้าต้องการเดินทางไกลกับครอบครัว วันหยุดยังต้องใช้ Everest หรือ Outback
🔹 สรุป: ถ้าหลักๆ คิดเรื่องประหยัดค่าน้ำมัน และต้องการลดภาระเรื่องค่าผ่อนรถไฟฟ้า แนะนำตัวเลือกนี้ครับ
---
ตัวเลือกที่ 2: ใช้ Everest ต่อไป ไม่ซื้อรถเพิ่ม
✅ ข้อดี
ไม่ต้องเสียเงินก้อนใหม่
ค่าซ่อมบำรุง Everest อาจถูกกว่าค่าผ่อนรถใหม่ (ถ้าไม่มีปัญหาใหญ่)
ขับขี่คุ้นเคย ไม่ต้องปรับตัว
❌ ข้อเสีย
ค่าน้ำมันยังสูงเท่าเดิม
ซ่อมบำรุงอาจแพงขึ้นในอนาคต
ไม่มีการลดค่าใช้จ่ายระยะยาว
🔹 สรุป: ถ้ารถยังใช้งานได้ดี ไม่มีปัญหาจุกจิก และยังไม่อยากเพิ่มภาระหนี้สิน ตัวเลือกนี้ก็ไม่ได้แย่ครับ
---
ตัวเลือกที่ 3: ขาย Everest แล้วซื้อรถไฟฟ้าคันใหญ่ขึ้น (ที่แทน Outback ได้ด้วย)
✅ ข้อดี
ลดภาระค่าน้ำมันได้มาก
รถใหม่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าซ่อมบำรุงในช่วงแรก
ถ้าเลือก EV ขนาดกลาง-ใหญ่ ใช้งานได้ทั้งวันธรรมดาและท่องเที่ยววันหยุด
ประหยัดกว่า Outback (ถ้าใช้ไฟฟ้าแทนบ่อยขึ้น)
❌ ข้อเสีย
ต้องผ่อนเพิ่ม (แล้วแต่รุ่นที่เลือก)
ถ้าซื้อ EV ขนาดใหญ่ราคาสูง อาจใช้เวลานานกว่าจะคุ้มค่า
หากเดินทางไกลมากๆ อาจต้องวางแผนชาร์จไฟ
🔹 สรุป: ถ้าคุณยอมรับค่าผ่อนเพิ่มได้ และมองระยะยาวว่า EV คันใหม่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงไปได้ ตัวเลือกนี้ก็น่าสนใจครับ
---
สรุปภาพรวม
ถ้าอยากลดค่าใช้จ่ายรายเดือน และยังใช้ Everest ได้อยู่ → ตัวเลือก 1 (ซื้อ EV คันเล็กมาเสริม)
ถ้าคิดว่า Everest ยังโอเค และไม่อยากเพิ่มภาระการเงิน → ตัวเลือก 2 (ใช้รถเดิมต่อ)
ถ้าคิดระยะยาว วางแผนเปลี่ยนไปใช้ EV มากขึ้น และรับได้กับค่าผ่อนเพิ่ม → ตัวเลือก 3 (ขาย Everest แล้วซื้อ EV คันใหญ่)
แล้วรถที่ซื้อ ควรซื้อแบบไหน
ผมแนะนำให้ลองดูรุ่น EV ที่สนใจ และคำนวณค่าผ่อน + ค่าชาร์จไฟ เทียบกับค่าน้ำมันปัจจุบันก่อนตัดสินใจครับ
ถ้าจะซื้อรถใหม่ (โดยเฉพาะรถไฟฟ้า) ภายใต้เงื่อนไขที่คุณให้มา มี 3 ระบบหลักที่ควรพิจารณา
---
1. EV (Battery Electric Vehicle - BEV) → รถไฟฟ้า 100%
เหมาะกับกรณี:
✅ ใช้วิ่งระยะสั้นในเมืองเป็นหลัก (เช่น รับส่งลูก)
✅ มีจุดชาร์จสะดวกที่บ้าน
✅ ต้องการลดค่าน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด
รุ่นแนะนำ (ขนาดเล็ก - กลาง)
ขนาดเล็ก: BYD Dolphin, MG4, Neta V, GWM ORA Good Cat (เหมาะกับตัวเลือก 1)
ขนาดกลาง: Tesla Model Y, BYD Atto 3, Hyundai Ioniq 5, Kia EV6 (เหมาะกับตัวเลือก 3)
ข้อดี
✔ ประหยัดค่าพลังงานกว่าน้ำมันมาก (เฉลี่ย 0.5-1 บาท/กม.)
✔ ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่า เพราะเครื่องยนต์ไม่มีชิ้นส่วนเยอะ
✔ เงียบ แรงบิดดี ขับขี่สบาย
ข้อเสีย
✘ ต้องวางแผนชาร์จ ถ้าต้องเดินทางไกล
✘ ราคาสูงกว่ารถน้ำมันในระดับเดียวกัน
---
2. PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
เหมาะกับกรณี:
✅ อยากใช้ไฟฟ้าวิ่งระยะสั้น (รับส่งลูก) แต่ยังต้องเดินทางไกลบ้าง
✅ ไม่อยากกังวลเรื่องชาร์จไฟระหว่างเดินทาง
รุ่นแนะนำ
BYD Seal DM-i, Volvo XC60 PHEV, BMW X5 PHEV
ข้อดี
✔ ขับในเมืองด้วยไฟฟ้าได้ แต่ยังมีเครื่องยนต์ช่วยถ้าเดินทางไกล
✔ ประหยัดค่าน้ำมันได้พอสมควร
✔ ลดความกังวลเรื่องจุดชาร์จเมื่อเดินทางไกล
ข้อเสีย
✘ ยังมีค่าบำรุงรักษาเครื่องยนต์ (แม้น้อยกว่ารถน้ำมันปกติ)
✘ ถ้าไม่ชาร์จไฟบ่อย ก็ไม่ได้ประหยัดเท่าที่ควร
---
3. HEV (Hybrid Electric Vehicle) → รถไฮบริดปกติ
เหมาะกับกรณี:
✅ ยังไม่พร้อมเปลี่ยนไปใช้ EV 100% แต่ต้องการลดค่าน้ำมัน
✅ ไม่มีจุดชาร์จที่บ้าน
✅ ขับรถไกลบ่อยๆ
รุ่นแนะนำ
Toyota Corolla Cross Hybrid, Honda CR-V e:HEV, Nissan X-Trail e-POWER
ข้อดี
✔ ประหยัดน้ำมันกว่ารถน้ำมันปกติ 20-40%
✔ ไม่ต้องชาร์จไฟ ใช้ระบบไฮบริดช่วยลดน้ำมันเอง
✔ ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่ารถน้ำมันเพียวๆ
ข้อเสีย
✘ ยังต้องเติมน้ำมัน (แม้จะลดลง)
✘ ประหยัดไม่เท่า PHEV หรือ EV
---
สรุป: ระบบไหนดี?
ถ้าจะซื้อรถเล็กมาเสริม → EV 100% (ตัวเลือก 1)
ถ้าจะขาย Everest แล้วเปลี่ยนเป็นคันใหญ่ → EV 100% หรือ PHEV (ตัวเลือก 3)
ถ้ายังต้องเดินทางไกล และไม่มีที่ชาร์จไฟบ้าน → PHEV หรือ HEV
ถ้าคุณมีจุดชาร์จที่บ้านและอยากลดค่าใช้จ่ายระยะยาว EV 100% น่าจะคุ้มสุด ครับ!
แสดงความคิดเห็น
กำลังอยากได้รถไฟฟ้าคันเล็กๆ ไว้ส่งลูก มีเงื่อนไขแบบนี้ ควรซื้อมั้ย
1. ที่บ้านมีรถสองคัน คันนึงคือ everest ใช้มา 7 ปี ก็ใช้งานได้ดีงามดีเยี่ยม มาก ใช้คันนี้รับส่งลูก วันละ 30 กิโลไปกับ เสาร์อาทิตย์นิดๆหน่อยก็วันละ 30กิโล น้ำมันเดือนนึงมี 4-5 พันบาท ใช้มา 7 ปี
2. คันที่สอง เป็น Outback อาทิตย์นึงใช้ทีนึง สำหรับออกไปนู่นไปนี่
คือกำลังจะคิดว่า ค่าซ่อมบำรุงของ Everest กำลังจะคืบคลานเข้ามา และเสียค่าน้ำมันเดือนละ 4-5000 บาท
กำลังคิดว่า
1. ใช้รับส่งลูกวิ่งใกล้ๆ เก็บ Everest ไว้ด้วย และเอาตัวไฟฟ้าตันเล็กๆ มาใช้งานวิ่งในเมืองอย่างเดียว เช่นพวก lumin
2. ใช้ Everest แบบเดิมไป ซ่อมบำรุงเอา
3. หรือปล่อย Everest ออกไป เอาไปถอย ไฟฟ้าคันใหญ่นิดนึง เผื่อวิ่งไปไหนมาไหนวันหยุดแทน outback ได้ด้วย
ทั้งสามเงื่อนไข แบบนี้สมเหตุสมผลมั้ยครับ ที่จะถอยไฟฟ้าออกมา ถ้าเข้าเงื่อนไข 1 ก็ถอยคันเล็กๆ ออกมาใช้
ถ้าเป็นเงื่อนไข 3 ก็ได้คันใหญ่นิดนึง ผ่อนเพิ่มอีกหน่อย แตต้องปล่อย Everest ออกไป แต่สุดท้ายยังไงก็ยังมี outback แต่ถ้าได้ใหญ่หน่อย ไปไหนมาไหนแทน outback ก็ประหยัดกว่ามั้ยครับ