อิมาน เจ้าหน้าที่สืบสวนในศาลปฏิวัติในกรุงเตหะราน กำลังจะได้รับตำแหน่งที่มีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งนั่นหมายถึงความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ดีขึ้น ทั้งนาชเมห์ภรรยา และลูกๆทั้งสอง เรซวานและซานะ
ต่างยินดีที่พ่อมีความก้าวหน้าในอาชีพ อย่างไรก็ดีกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ อิมานก็ต้องทำงานที่หนักเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เขามีหน้าที่ต้องคอยสอบสวนผู้ชุมนุมประท้วงวันละไม่รู้กี่ร้อยราย
และยังต้องมีการลงนามในคำสั่งที่บางครั้งเขาก็รู้สึกสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูกต้องหรือไม่
หากแต่เมื่อเป็นคำสั่งจากเบื้องบน มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องมีคำถามอะไร
ทุกครั้งที่กลับบ้าน นาชเมห์จะคอยเป็นกำลังใจให้กับผู้เป็นสามีเสมอ...
เมื่อสถานการณ์การชุมนุมหนักมากขึ้น ที่ทำงานได้ให้ปืนแก่อิมานไว้เพื่อป้องกันตัว
เพื่อความปลอดภัยทั้งกับตนเองและครอบครัว อิมานระมัดระวังตัวเองตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังบอกให้ลูกๆอย่าเล่นโซเชี่ยล อย่าโพสรูปคนในครอบครัว จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เรียนเสร็จต้องกลับบ้านทันที
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวความอึดอัดก่อตัวขึ้นในใจของลูกๆของอิมาน
และแล้วในวันนึง ปืนกระบอกดังกล่าวของอิมานหายไป โทษของการทำทรัพย์สินทางการสูญหายคือจำคุก 3 ปี
พร้อมกับตำแหน่งสูงในศาลของเขาต้องหมดโอกาสลง.. อิมานต้องทำทุกอย่างเพื่อตามหาปืนของเขาให้เจอ
ก่อนที่อนาคตเขาจะจบสิ้น...
The Seed of the Sacred Fig (دانهی انجیر معابد) เป็นภาพยนตร์ดราม่าการเมืองระทึกขวัญ
เขียนบท ร่วมอำนวยการสร้างและกำกับโดย โมฮัมหมัด ราซูลอฟ เรื่องราวของการต่อสู้กับความไม่ไว้วางใจ
และความหวาดระแวงจุดเริ่มจากการประท้วงของอิหร่านช่วงระหว่างปี 2022-2023
ที่ถูกทางการปราบปรามอย่างรุนแรง (ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา)
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากจุดเริ่มต้นจากการที่ มาห์ซา อามินี เป็นหญิงสาวชาวเคิร์ดวัยเพียง 22 ปี จากเมืองซาเกซ
ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน เธอเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2022
ซึ่งอามินีนั้นถูกจับกุมโดย ‘ตำรวจศีลธรรม’ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จะคอยตรวจตราและคุมเข้มเกี่ยวกับการแต่งกายของประชาชน
โดยเฉพาะกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการแต่งกายของผู้หญิง อาทิ การบังคับผู้หญิงสวมใส่ฮิญาบขณะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ
รายงานอ้างว่าเธอถูกฟาดเข้าที่ศีรษะด้วยกระบอง และถูกจับกดใส่รถยนต์คันหนึ่งในละแวกนั้น
แน่นอนว่าทางตำรวจปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าอามินีเสียชีวิตจากการใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้า
โดยยืนยันว่าอามินี เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมอง ไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด
แต่นั่นก็ทำให้ประชาชนไม่พอใจและต่างลงถนนเพื่อประท้วงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเรื่องของหนังก็เริ่มจากตรงนี้...
ถามว่าทำไมหนังอิหร่าน ภาษาเปอร์เซียนทั้งเรื่องถึงกลายมาเป็นตัวแทนหนังสัญชาติเยอรมัน
ในการเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมได้ล่ะ คือเรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ครับ
โมฮัมหมัด ราซูลอฟ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นนักโทษทางการเมืองที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล
โดนตัดสินจำคุก 8 ปี ก่อนที่เขาจะลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ที่เยอรมัน
ซึ่งราซูลอฟเคยถูกทางการอิหร่านห้ามออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2011 แล้ว และยังเคยต้องโทษจำคุกนานถึง 6 ปี
ข้อหาถ่ายทำภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต การหนีของเขาในครั้งนี้ก็คงไม่ได้กลับบ้านเกิดอีกแล้ว ..
และเยอรมันก็เลยใช้สิทธิแห่งการขอลี้ภัยตรงนี้ของราซูลอฟ นำหนังของเขามาร่วมพิจารณาก่อนตัดสินใจ
ส่งเป็นตัวแทนของเยอรมันในระดับนานาชาติ (มีของดีมาถึงที่จะไม่ใช้โอกาสนี้ได้ไง)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในทุกเวทีทั่วโลก อาทิเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 77
คณะกรรมการตัดสินได้มอบรางวัลพิเศษให้ ราซูลอฟและนักแสดงและทีมงานคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมงานพรมแดงเมืองคานส์
เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รวมถึงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย
(ที่เห็นว่าชูรูปในมือคือสองนักแสดงนำที่ปัจจุบันยังอยู่ในอิหร่าน)
การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แอบถ่ายนะครับ เพราะทางการไม่อนุญาตเพราะถือว่าราซูลอฟมีสถานะเป็นนักโทษ
เขาถ่ายได้ครั้งละสองสามวันก็ต้องหยุดพักกอง กินเวลาทั้งหมดนานราว 70 วันกว่าจะถ่ายเสร็จ
และหลังจากที่ศาลตัดสินโทษจำคุกกับเขา.. ราซูลอฟมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นว่าเขาจะยอมถูกจับกุมหรือหลบหนีออกนอกประเทศ
สุดท้ายเขาตัดสินใจหลบหนีไปยังสถานที่ปลอดภัยก่อนจะเดินเท้าข้ามพรมแดนอิหร่าน
แต่การสร้างหนังยังคงดำเนินต่อไป ภาพของหนังถูกแอบนำออกจากอิหร่านไปยังฮัมบวร์ก
และได้รับการแก้ไขโดยแอนดรูว์ เบิร์ด ซึ่งราซูลอฟเคยร่วมงานด้วยมาก่อน ขั้นตอนการตัดต่อหลังจากนั้นจึงเกิดขึ้นที่เยอรมันทั้งหมด
โดยเบิร์ดได้เพิ่มฟุตเทจจริงของการประท้วงทางการเมืองภายหลังการเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี
ทั้งช่วงที่เธอถูกจับกุม รวมทั้งภาพการประท้วงและ การปราบปรามอย่างรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้าไปในหนัง
ที่ต้องว่าถึงความเป็นมาของหนังและเรื่องราวต่างๆ เพื่ออยากให้ทุกท่านได้เห็นถึงความยากลำบาก
กว่าที่งานชิ้นนี้จะปรากฏสู่สายตาชาวโลก มันเหมือนเป็นเดิมพันด้วยชีวิตครั้งใหญ่ของราซูลอฟ
ที่ต้องการจะนำเสนอถึงความเป็นจริงให้ทุกคนได้รับรู้ว่ามุมหนึ่งของโลกความไม่ยุติธรรม
ความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นและไม่อยากให้สิ่งนี้ต้องจางหายไปโดยไม่มีใครรับรู้
The Seed of the Sacred Fig ชื่อนี้หมายถึงพันธุ์มะเดื่อที่ขยายพันธุ์โดยการพันตัวเองรอบต้นไม้อีกต้นหนึ่ง
แล้วรัดคอต้นไม้นั้นจนตายในที่สุด ซึ่งราซูลอฟอุปมาให้สิ่งนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของระบอบการปกครองแบบเทวนิยมในอิหร่าน
พระเจ้าคือผู้ชี้ขาดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าใช่ ห้ามสงสัย ทุกอย่างมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น
ด้วยความยาวกว่า 168 นาที การดำเนินเรื่องในช่วงต้นอาจทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่ถอดใจ เผลอหลับกันได้ง่ายๆ
เพราะจะเป็นการค่อยๆ เล่าเรื่องแบบเรียบๆไม่มีอะไรหวือหวา เพื่อหวังให้คนดูได้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
พ่อแม่ลูก ..หน้าที่ที่อิมานต้องรับผิดชอบ ..การเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกๆของนาชเมห์ และลูกสาวทั้งสองเรซวานและซานะ
วัยที่ทั้งคู่อยู่ในช่วงวัยรุ่น มันเป็นจุดที่ลงตัวอย่างยิ่งระหว่างอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ยิ่งในยุคสมัยที่การสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนไม่ว่าใครจากที่ใดของโลกก็สามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้ทั้งนั้น การปิดกั้นบางสิ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเพื่อปิดกั้น ก็ไม่ต่างจากการปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย
จากความเนิบช้า กลายเป็นความระทึกขวัญ ความเป็นทริลเลอร์เพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่หนังดำเนินไป
ผู้ชมจะจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าโดยเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันกดดันและเครียดมากครับ
เครียดเพราะความเป็นครอบครัวที่ผูกพัน ที่รักกัน เข้าใจกันในตอนแรก ก่อนที่ทุกอย่างมันจะ.....
โอยยยยย คันมือมาก มันเหมือนกับไงดี เหมือนเราไปอยู่ในหลุมที่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และพยายามจะวิ่งไปให้ถึงแสงนั่น
แต่กลายเป็นว่า ยิ่งเราวิ่งหาแสงนั้นมากแค่ไหน แสงกลับยิ่งไกลตัวเราไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายแสงนั้นก็หายดับมืดลง..
หนังเรื่องนี้มันพาให้เราอึ้ง ทึ่ง และดาร์คขั้นสุดจริงๆครับ
เดี๋ยวมีคนสงสัย...เครียดแล้วดูทำไม ดูแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ดูหนังมันต้องสนุกสิ มันต้องทำให้เราบันเทิงใจสิ....
สิ่งเหล่านี้มันคือเรื่องของความชอบและรสนิยมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันน่ะครับ
ผมบอกไว้เสมอทุกครั้งว่าหนังที่ดีของเราอาจจะไม่ได้ดีสำหรับทุกคนเสมอไป มันคือความจริง
แต่ผมแค่อยากนำเสนอให้ได้รับรู้ว่านี่คือภาพยนตร์ชั้นเยี่ยม ที่ตีแผ่ความเป็นจริงของรูปแบบการเมืองการปกครอง
ที่มีผลกระทบทั้งวงกว้าง จนสุดท้ายก็ส่งผลมาถึงระดับสถาบันเล็กๆจุดเริ่มทุกสิ่งอย่างครอบครัวของตนเองได้อย่างเจ็บปวด
บีบคั้น ทุกข์ทนและถึงใจขั้นสุด
สมแล้วที่ได้เข้าชิงทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ สุดยอดดราม่าทริลเลอร์ระดับนี้อยากให้ได้รับชมกันจริงๆครับ
แล้วผมเชื่อเลยว่าถ้าวินาทีที่หนังจบลง ความรู้สึกคุณจะมูฟออนไปจากหนังเรื่องไม่ได้อีกนาน
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
The Seed of the Sacred Fig (2024) ... คิดจะปิดแผ่นฟ้า ด้วยฝ่ามือ ...
อิมาน เจ้าหน้าที่สืบสวนในศาลปฏิวัติในกรุงเตหะราน กำลังจะได้รับตำแหน่งที่มีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งนั่นหมายถึงความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ดีขึ้น ทั้งนาชเมห์ภรรยา และลูกๆทั้งสอง เรซวานและซานะ
ต่างยินดีที่พ่อมีความก้าวหน้าในอาชีพ อย่างไรก็ดีกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ อิมานก็ต้องทำงานที่หนักเพิ่มขึ้นเช่นกัน
เขามีหน้าที่ต้องคอยสอบสวนผู้ชุมนุมประท้วงวันละไม่รู้กี่ร้อยราย
และยังต้องมีการลงนามในคำสั่งที่บางครั้งเขาก็รู้สึกสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันถูกต้องหรือไม่
หากแต่เมื่อเป็นคำสั่งจากเบื้องบน มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องมีคำถามอะไร
ทุกครั้งที่กลับบ้าน นาชเมห์จะคอยเป็นกำลังใจให้กับผู้เป็นสามีเสมอ...
เมื่อสถานการณ์การชุมนุมหนักมากขึ้น ที่ทำงานได้ให้ปืนแก่อิมานไว้เพื่อป้องกันตัว
เพื่อความปลอดภัยทั้งกับตนเองและครอบครัว อิมานระมัดระวังตัวเองตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังบอกให้ลูกๆอย่าเล่นโซเชี่ยล อย่าโพสรูปคนในครอบครัว จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ เรียนเสร็จต้องกลับบ้านทันที
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวความอึดอัดก่อตัวขึ้นในใจของลูกๆของอิมาน
และแล้วในวันนึง ปืนกระบอกดังกล่าวของอิมานหายไป โทษของการทำทรัพย์สินทางการสูญหายคือจำคุก 3 ปี
พร้อมกับตำแหน่งสูงในศาลของเขาต้องหมดโอกาสลง.. อิมานต้องทำทุกอย่างเพื่อตามหาปืนของเขาให้เจอ
ก่อนที่อนาคตเขาจะจบสิ้น...
The Seed of the Sacred Fig (دانهی انجیر معابد) เป็นภาพยนตร์ดราม่าการเมืองระทึกขวัญ
เขียนบท ร่วมอำนวยการสร้างและกำกับโดย โมฮัมหมัด ราซูลอฟ เรื่องราวของการต่อสู้กับความไม่ไว้วางใจ
และความหวาดระแวงจุดเริ่มจากการประท้วงของอิหร่านช่วงระหว่างปี 2022-2023
ที่ถูกทางการปราบปรามอย่างรุนแรง (ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา)
ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากจุดเริ่มต้นจากการที่ มาห์ซา อามินี เป็นหญิงสาวชาวเคิร์ดวัยเพียง 22 ปี จากเมืองซาเกซ
ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอิหร่าน เธอเสียชีวิตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2022
ซึ่งอามินีนั้นถูกจับกุมโดย ‘ตำรวจศีลธรรม’ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่จะคอยตรวจตราและคุมเข้มเกี่ยวกับการแต่งกายของประชาชน
โดยเฉพาะกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการแต่งกายของผู้หญิง อาทิ การบังคับผู้หญิงสวมใส่ฮิญาบขณะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ
รายงานอ้างว่าเธอถูกฟาดเข้าที่ศีรษะด้วยกระบอง และถูกจับกดใส่รถยนต์คันหนึ่งในละแวกนั้น
แน่นอนว่าทางตำรวจปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าอามินีเสียชีวิตจากการใช้กำลังโดยมิชอบของเจ้าหน้า
โดยยืนยันว่าอามินี เสียชีวิตจากโรคเส้นเลือดในสมอง ไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด
แต่นั่นก็ทำให้ประชาชนไม่พอใจและต่างลงถนนเพื่อประท้วงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเรื่องของหนังก็เริ่มจากตรงนี้...
ถามว่าทำไมหนังอิหร่าน ภาษาเปอร์เซียนทั้งเรื่องถึงกลายมาเป็นตัวแทนหนังสัญชาติเยอรมัน
ในการเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมได้ล่ะ คือเรื่องมันเป็นมาอย่างนี้ครับ
โมฮัมหมัด ราซูลอฟ ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นนักโทษทางการเมืองที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล
โดนตัดสินจำคุก 8 ปี ก่อนที่เขาจะลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่ที่เยอรมัน
ซึ่งราซูลอฟเคยถูกทางการอิหร่านห้ามออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2011 แล้ว และยังเคยต้องโทษจำคุกนานถึง 6 ปี
ข้อหาถ่ายทำภาพยนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาต การหนีของเขาในครั้งนี้ก็คงไม่ได้กลับบ้านเกิดอีกแล้ว ..
และเยอรมันก็เลยใช้สิทธิแห่งการขอลี้ภัยตรงนี้ของราซูลอฟ นำหนังของเขามาร่วมพิจารณาก่อนตัดสินใจ
ส่งเป็นตัวแทนของเยอรมันในระดับนานาชาติ (มีของดีมาถึงที่จะไม่ใช้โอกาสนี้ได้ไง)
ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในทุกเวทีทั่วโลก อาทิเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 77
คณะกรรมการตัดสินได้มอบรางวัลพิเศษให้ ราซูลอฟและนักแสดงและทีมงานคนอื่นๆ ได้เข้าร่วมงานพรมแดงเมืองคานส์
เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ รวมถึงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกด้วย
(ที่เห็นว่าชูรูปในมือคือสองนักแสดงนำที่ปัจจุบันยังอยู่ในอิหร่าน)
การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แอบถ่ายนะครับ เพราะทางการไม่อนุญาตเพราะถือว่าราซูลอฟมีสถานะเป็นนักโทษ
เขาถ่ายได้ครั้งละสองสามวันก็ต้องหยุดพักกอง กินเวลาทั้งหมดนานราว 70 วันกว่าจะถ่ายเสร็จ
และหลังจากที่ศาลตัดสินโทษจำคุกกับเขา.. ราซูลอฟมีเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นว่าเขาจะยอมถูกจับกุมหรือหลบหนีออกนอกประเทศ
สุดท้ายเขาตัดสินใจหลบหนีไปยังสถานที่ปลอดภัยก่อนจะเดินเท้าข้ามพรมแดนอิหร่าน
แต่การสร้างหนังยังคงดำเนินต่อไป ภาพของหนังถูกแอบนำออกจากอิหร่านไปยังฮัมบวร์ก
และได้รับการแก้ไขโดยแอนดรูว์ เบิร์ด ซึ่งราซูลอฟเคยร่วมงานด้วยมาก่อน ขั้นตอนการตัดต่อหลังจากนั้นจึงเกิดขึ้นที่เยอรมันทั้งหมด
โดยเบิร์ดได้เพิ่มฟุตเทจจริงของการประท้วงทางการเมืองภายหลังการเสียชีวิตของมาห์ซา อามินี
ทั้งช่วงที่เธอถูกจับกุม รวมทั้งภาพการประท้วงและ การปราบปรามอย่างรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่เพิ่มเข้าไปในหนัง
ที่ต้องว่าถึงความเป็นมาของหนังและเรื่องราวต่างๆ เพื่ออยากให้ทุกท่านได้เห็นถึงความยากลำบาก
กว่าที่งานชิ้นนี้จะปรากฏสู่สายตาชาวโลก มันเหมือนเป็นเดิมพันด้วยชีวิตครั้งใหญ่ของราซูลอฟ
ที่ต้องการจะนำเสนอถึงความเป็นจริงให้ทุกคนได้รับรู้ว่ามุมหนึ่งของโลกความไม่ยุติธรรม
ความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้นและไม่อยากให้สิ่งนี้ต้องจางหายไปโดยไม่มีใครรับรู้
The Seed of the Sacred Fig ชื่อนี้หมายถึงพันธุ์มะเดื่อที่ขยายพันธุ์โดยการพันตัวเองรอบต้นไม้อีกต้นหนึ่ง
แล้วรัดคอต้นไม้นั้นจนตายในที่สุด ซึ่งราซูลอฟอุปมาให้สิ่งนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของระบอบการปกครองแบบเทวนิยมในอิหร่าน
พระเจ้าคือผู้ชี้ขาดและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าใช่ ห้ามสงสัย ทุกอย่างมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น
ด้วยความยาวกว่า 168 นาที การดำเนินเรื่องในช่วงต้นอาจทำให้ผู้ชมส่วนใหญ่ถอดใจ เผลอหลับกันได้ง่ายๆ
เพราะจะเป็นการค่อยๆ เล่าเรื่องแบบเรียบๆไม่มีอะไรหวือหวา เพื่อหวังให้คนดูได้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว
พ่อแม่ลูก ..หน้าที่ที่อิมานต้องรับผิดชอบ ..การเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกๆของนาชเมห์ และลูกสาวทั้งสองเรซวานและซานะ
วัยที่ทั้งคู่อยู่ในช่วงวัยรุ่น มันเป็นจุดที่ลงตัวอย่างยิ่งระหว่างอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยมที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ยิ่งในยุคสมัยที่การสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนไม่ว่าใครจากที่ใดของโลกก็สามารถเข้าถึงแหล่งข่าวได้ทั้งนั้น การปิดกั้นบางสิ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
แม้ว่าจะพยายามมากแค่ไหนเพื่อปิดกั้น ก็ไม่ต่างจากการปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้เลย
จากความเนิบช้า กลายเป็นความระทึกขวัญ ความเป็นทริลเลอร์เพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่หนังดำเนินไป
ผู้ชมจะจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าโดยเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันกดดันและเครียดมากครับ
เครียดเพราะความเป็นครอบครัวที่ผูกพัน ที่รักกัน เข้าใจกันในตอนแรก ก่อนที่ทุกอย่างมันจะ.....
โอยยยยย คันมือมาก มันเหมือนกับไงดี เหมือนเราไปอยู่ในหลุมที่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และพยายามจะวิ่งไปให้ถึงแสงนั่น
แต่กลายเป็นว่า ยิ่งเราวิ่งหาแสงนั้นมากแค่ไหน แสงกลับยิ่งไกลตัวเราไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายแสงนั้นก็หายดับมืดลง..
หนังเรื่องนี้มันพาให้เราอึ้ง ทึ่ง และดาร์คขั้นสุดจริงๆครับ
เดี๋ยวมีคนสงสัย...เครียดแล้วดูทำไม ดูแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ดูหนังมันต้องสนุกสิ มันต้องทำให้เราบันเทิงใจสิ....
สิ่งเหล่านี้มันคือเรื่องของความชอบและรสนิยมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันน่ะครับ
ผมบอกไว้เสมอทุกครั้งว่าหนังที่ดีของเราอาจจะไม่ได้ดีสำหรับทุกคนเสมอไป มันคือความจริง
แต่ผมแค่อยากนำเสนอให้ได้รับรู้ว่านี่คือภาพยนตร์ชั้นเยี่ยม ที่ตีแผ่ความเป็นจริงของรูปแบบการเมืองการปกครอง
ที่มีผลกระทบทั้งวงกว้าง จนสุดท้ายก็ส่งผลมาถึงระดับสถาบันเล็กๆจุดเริ่มทุกสิ่งอย่างครอบครัวของตนเองได้อย่างเจ็บปวด
บีบคั้น ทุกข์ทนและถึงใจขั้นสุด
สมแล้วที่ได้เข้าชิงทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ สุดยอดดราม่าทริลเลอร์ระดับนี้อยากให้ได้รับชมกันจริงๆครับ
แล้วผมเชื่อเลยว่าถ้าวินาทีที่หนังจบลง ความรู้สึกคุณจะมูฟออนไปจากหนังเรื่องไม่ได้อีกนาน
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===