อุทาหรณ์โดนโกงเงิน 7 หลัก และเป็นหนี้บ้าน (ที่ไม่ใช่ชื่อของตัวเอง)

กระทู้สนทนา
บันทึกความทรงจำ ความโง่ ความซวย หรือเรียกว่าเวรกรรม หรืออะไรก็ได้  
“โดนโกงเงิน 7 หลัก และเป็นหนี้บ้านอีกหลายล้าน โดยที่บ้านไม่ใช่ชื่อตัวเอง”
หมายเหตุ 1. เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัว จขกท เอง ไม่ใช่นิยาย เรื่องแต่งอะไรทั้งนั้น ที่มาโพส เพราะอยากแชร์ให้เป็นอุทหรณ์และวิทยาทานกับคนอื่น ถ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง เลื่อนผ่านได้เลย
หมายเหตุ 2 หลังจากโพสแล้ว จขกท จะไม่ได้กลับมาตอบหรือมาดูโพสนี้อีก เพราะไม่อยากเจ็บช้ำใจ ไปมากกว่านี้ (ไม่ ฆตต ก็ดีแค่ไหนแล้ว)
หมายเหตุ 3 เคยโพสเรื่องนี้แล้วครั้งนึงแต่ตอนนั้น เรื่องยังไม่จบ เลยกลับมารวบรวมข้อมูลให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อความถูกต้องและกลับมาโพสใหม่
หมายเหตุ 4 โพสนี้เป็นโพสที่ยาวมากกกกกกกกก เราจะเขียนให้จบในโพสเดียว ไม่มีการแยกกระทู้
เราคบกับแฟนมาสามปีกว่าๆ เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นแค่แฟน ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราอยากมี passive income เนื่องจากงานประจำที่ทำกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งหนักมาก ถึงขนาดที่ว่านอนหลังเที่ยงคืนเกือบทุกวัน โอทีไม่มีสักบาท งานเครียด กดดันหนักมากกกกก

โง่ที่ 1 เราจึงเอาเงินไปลงทุนกับแฟน โดยใช้เงินเก็บทั้งชีวิต 11 ปี ตั้งแต่เรียบจบ ทุ่มหมดตัวกับการลงทุนกับแฟน ซึ่งมันบอกว่าเป็นธุรกิจเงินกู้  โดยแฟนเซ็นสัญญากู้ยืมเงินกับเรา เป็นจำนวน 7 หลัก (ซึ่งเยอะมากสำหรับเรา เพราะกว่าจะได้มาแต่ละบาท เราอดๆอยากๆ ไม่ค่อยได้กิน เที่ยว ชอปปิ้งแบบคนอื่นเขา) แต่เราโง่ที่ไม่ได้เอาดอกเบี้ยเลยสักบาท กลับเอาดอกที่ควรได้ ไปทำต้นให้ออกกู้เพิ่ม (สรุปคือตั้งแต่เอาเงินให้มันไป ไม่เคยได้อะไรกลับมาเลยสักบาทเดียว) และเราก็โง่ที่เชื่อใจแฟนมาก กับคำที่มันกรอกหูตลอดว่าไม่ต้องกลัวโดนโกง มันยึดทรัพย์สินของลูกหนี้มา แต่เราไม่เคยขอดู ไม่เคยเห็น
โง่ที่ 2  เรามีความฝันมาตั้งแต่เกิดที่อยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง จึงตัดสินใจซื้อบ้าน โดยกู้ร่วมกับแฟน (เหตุผลที่ไม่กู้คนเดียว เพราะเคยกู้ซื้อบ้านที่ตจว.ให้ครอบครัวแล้ว) และต้องการกู้ได้ 100% เพราะไม่มีเงินดาวน์  ธนาคารแจ้งว่าถ้าจะกู้เต็มร้อย ต้องให้คนที่ไม่เคยกู้บ้าน ถือกรรมสิทธิ และตอนนั้น ธนาคารใช้คำว่าสมรส ไม่จดทะเบียนในการกู้ (แต่ความจริงไม่เคยแต่งงาน)ด้วยความอยากมีบ้านมากกกกก จึงยอมเซ็นสัญญา เป็นผู้กู้ร่วม แต่กรรมสิทธิเป็นของแฟนคนเดียว (ชื่อสลักหลังโฉนดเป็นชื่อแฟนคนเดียว)
หลังจากเข้าอยู่ได้แค่ไม่กี่เดือน ปรากฎว่าแฟนเราเส้นเลือดในสมองแตก เนื่องจากความดันสูง และมันไม่กินยา จนทำให้พิการครึ่งซีกไปตลอดชีวิต
วันที่เกิดเหตุ เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวเราทันที เพราะเราไม่รู้เลยว่าต้องรู้สึกอะไรยังไงก่อน ระหว่างตกใจที่แฟนพิการกะทันหัน ณ ตอนนั้น ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจะรอดไหม หรือต้องช็อคกับหนี้บ้านที่จะตกเป็นของเราคนเดียว หรือ เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดต้องสูญแน่ๆ
และนั่นคือวันแรกที่ได้รู้ความจริงอีกหลายๆอย่างพร้อมๆกัน
อย่างแรก ตั้งแต่คบกัน เราไม่เคยรู้จักครอบครัวแฟนมาก่อน วันเกิดเหตุ เราเลยเลือกที่จะหาข้อมูลตามเฟส จากนามสกุล ของแฟน เพื่อติดต่อคนในครอบครัว เพื่อแจ้งเรื่อง
ช็อคที่หนึ่ง แต่สิ่งที่เราเพิ่งรู้ความจริงคือแฟนเราโกหกชื่อเล่นกับเรามาตลอด สามปีกว่าที่คบกัน (ทำไปเพื่ออะไร เราไม่รู้เลย)
ช็อคที่สอง คือเราเพิ่งเคยจับกระเป๋าตังมันครั้งแรก เพราะต้องหาบัตรประชาชน ในการไปรพ. เลยได้รู้ความจริงว่ามันเอารถยนต์ที่ซื้อในชื่อมัน (แต่มันคือเงินเราที่มันเอาไป และบอกว่าเอาไปออกเงินกู้) ไปเข้าไฟแนนซ์แล้ว โดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ช็อคที่สาม คือเราเห็นใบจำนำทองคำ (ตอนหลังเรามารู้ว่ามันซื้อทองปลอม ลายเดียวกันกับทองจริงมาใส่ไว้หลอกเราว่าทองยังอยู่ (ทองทุกเส้น ก็คือเงินเรา ที่มันเอาไป)
ช็อคที่สี่ เราเพิ่งรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่มันเอาเงินเราไป มันเอาไปเที่ยวต่างประเทศ กินอยู่อย่างราชากับครอบครัว (ซึ่งมันคือเงินเรา) ในขณะที่เรากินไข่ต้ม มาม่า น้ำปลา มาตลอดชีวิต ไม่เที่ยว ไม่ชอปปิ้ง
ช็อคที่ห้า เรารู้ได้ทันทีว่าเงิน 7 หลักของเรา สูญแน่นอน เพราะคนพิการ จะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ได้
ช็อคที่หก หนี้บ้านทั้งหมดตกเป็นของเราคนเดียวทันที เพราะธนาคารไม่สามารถยึดอะไรจากคนพิการที่ไม่มีเงิน หรือทรัพย์สินอะไรได้เลย และที่โคตรซวยคือประกันบ้าน ดันเป็นชื่อเรา เพราะถ้าเป็นชื่อแฟน ก็จะไม่ต้องส่งต่อและบ้านก็จะเป็นของแฟนทันที
เรารู้ความจริงทุกอย่างพร้อมๆกัน เราช็อคจนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ร้องจนไม่มีน้ำตา ตรอมใจ ผอมเป็นศพ ตอนนั้นเราอยากตายทุกวัน แต่ครอบครัวเรา ไม่เคยซ้ำเติมเรา กลับให้กำลังใจเราตลอด แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเรื่องเงินได้ เพราะครอบครัวเราจนมากก พ่อแม่ไม่มีรายได้อะไรเลย มีแค่เบี้ยคนชรา แถมมีหนี้สินเยอะมากก
ย้อนกลับมาเรื่องบ้าน ในตอนนั้น ทั้งๆที่เราอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ บอบช้ำจนแทบจะหายใจไม่ไหว แต่เราก็ต้องแก้ปัญหาเรื่องบ้านไปพร้อมๆกัน เราพยายามตั้งสติ ติดต่อเพื่อนๆ ขอคำแนะนำ ติดต่อทนาย ธนาคาร และสื่อต่างๆเพื่อขอความช่วยเหลือ จนได้ตกผลึกตอนนี้ว่า สื่อจะไม่สนใจเคสแบบนี้ จะสนใจแค่คดีผัวๆเมียๆ หรือเรื่องที่ขายได้ เท่านั้น ไม่มีสื่อไหนให้ความช่วยเหลือเราเลย ส่วนทนายทุกคนก็แนะนำให้เราเลือกโดนฟ้องล้มละลาย หรือไม่ก็ให้ยึดทรัพย์ใช้หนี้ไป และไปฟ้องเอาหลังจากส่งบ้านหมด เราติดต่อธนาคารเยอะมากก ทั้งโทร ทั้งไปด้วยตัวเอง ก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลืออะไรเท่าไร แต่เราไม่ท้อ เราพยายามจนสุดชีวิต

สุดท้ายแล้ว เราเจอวิธีด้วยตัวเอง คือการตีโอนคืนบ้านกับธนาคาร ภายใต้เงื่อนไข ที่กำหนด คือเราต้องส่งบ้านแบบผ่อนลมไปให้ครบ 1 ปี
ตั้งแต่วันเกิดเรื่อง เราขนของย้ายออกจากบ้านหลังนั้น เพราะเราทนอยู่คนเดียว ในสภาพแวดล้อมเดิมไม่ได้จริงๆ เรามาเช่าหออยู่เอง และระหว่างที่ผ่อนลม เราก็พยายามหาปล่อยเช่าบ้าน แต่ปรากฎว่าซวย เจอผู้เช่าแย่มาก เช่าได้เดือนเดียว ก็ย้ายออกกะทันหัน โดยเอาของในบ้านไปด้วย และไม่ยอมส่งคืน แถมทำบ้านเละมากกก หลังจากนั้นเราก็เลยไม่กล้าปล่อยเช่าอีกเลย เพราะกลัวจะเจอแบบเดิมอีก เราเลยกัดฟันหาเงินผ่อนลมให้ครบปี ตามเงื่อนไขธนาคาร
แต่    เอกสารในการขอคืนบ้านมีเยอะมากก และเราต้องได้หลักฐาน ลายนิ้วมือของแฟน แต่ทุกอย่างเราไม่ได้รับความร่วมมือจากครอบครัวแฟนเลย เพราะพอรู้ว่าเราย้ายออกจากบ้าน และจะไม่ได้ดูแลแฟน ครอบครัวเค้าก็กีดกัน พยายามไม่ให้ไปเยี่ยม เมินเฉย พูดจาแย่ๆใส่ (ซึ่งต่างจากตอนแรกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะตอนแรกเราช็อคอยู่ เลยบอกว่าจะดูแล แต่พอตั้งสติได้ และรู้ความจริงทุกอย่าง จึงได้บอกไปว่าจะออกไปเช่าหอ)
ตอนนั้นเราต้องเทียวไปเทียวมา หอกับรพ.ซึ่งอยู่คนละจังหวัดและไกลมากก เราต้องนั่งรถหลายต่อ หลายชม.กว่าจะถึง เพื่อไปเยี่ยมแฟนและดูแลแฟน ที่รพ.เกือบทุกอาทิตย์ และเพื่อไปขอเอกสารต่างๆ ตอนนั้นทั้งลำบากและทรมานกายใจมากกก เสียทุกอย่าง สุขภาพกาย ใจ เวลา เงิน แต่ก็ต้องทน เพื่อคืนบ้าน  แฟนเราอยู่รพ.เป็นเดือน กว่าจะออกมาอยู่บ้าน แต่หลังจากนั้น เราก็แทบไม่ได้เจอแฟนอีกเลย เพราะครอบครัวเค้าไม่ให้เจอ และหักซิมทิ้ง ทำให้เราติดต่อไม่ได้เลย
เราพยายามติดต่อเพื่อขอเจอแฟนเรา ตอนไปหาหมอที่รพ. จนเวลาผ่านเลยไปครบปี จริงๆรายละเอียดในการที่จะได้เอกสารแต่ละใบมา เพื่อประกอบการคืนบ้านนั้นยากเย็นแสนเข็ญ และมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะมาก แต่เราจะข้ามไปที่วันที่ครบปีเลย
วันครบปี เราทำเรื่องคืนบ้านกับธนาคาร ได้สำเร็จ โดยที่เราต้องดำเนินเรื่องด้วยตัวเองคนเดียวทุกอย่าง ตั้งแต่การประเมินบ้าน การนัดถ่ายรูปบ้าน การเคลียร์ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำไฟ ยกเลิกมิเตอร์น้ำไฟ ผ่อนให้ครบ 1 ปี และค่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงค่าธุรกรรมต่างๆที่กรมที่ดิน
และแล้วสุดท้าย เราก็คืนบ้านได้สำเร็จ จนวันที่ยอดหนี้บ้านเคลียร์เป็น 0 บาท เราดีใจน้ำตาไหลไม่หยุดกับความพยายามอย่างไม่หยุดหย่อนและไม่ย่อท้อของตัวเอง และการอดทนรอคอยกับทุกอย่าง (การรอคอยเป็นอะไรที่ยาวนานมากกและทรมานมากก เรากาปฏิทินทุกวัน)
แต่เรื่องที่เรายังทำใจไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ คือเงิน 7 หลักที่เราเสียไป เรายังอยากได้คืน แต่เราไม่รู้เลยว่าถ้าเราไปฟ้องศาล เราจะไปเอาอะไรจากคนพิการที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ยึดเลยได้ยังไง เราจะเสียเงิน เสียเวลาเปล่าไหม ถึงทุกวันนี้ เราก็ยังคิดไม่ตกว่าเราควรทำยังไงดี กับเรื่องเงินที่เราเสียไป เราอายุเยอะแล้ว แต่กลับต้องมาเริ่มเก็บเงินใหม่ เหมือนเด็กเพิ่งจบใหม่ มันเจ็บอยู่ในใจตลอดเวลา กับความโง่ของตัวเอง
สุดท้ายนี้ ขอให้เรื่องเราเป็นอุทาหรณ์เตือนสติให้ทุกคนรู้ว่า
แฟน หรือสามี หรือใครก็ตาม แม้แต่คนที่เรียกว่าครอบครัว  ก็คือคนอื่น คนที่เราไว้ใจได้ที่สุด คือตัวเราเองเท่านั้น
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครหวังดี หรือจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเรา โดยไม่หวังอะไรตอบแทน เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้ถึงที่สุด
เงินที่อยู่ในกระเป๋าเรา คือของเรา ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ นอกจากเราให้เอง หนักแน่นเข้าไว้ เมื่อไรที่เงินออกจากกระเป๋าเรา เราจะกลายเป็นหมา เป็นทาสของคนที่เอาไปทันที
การมีทรัพย์สิน บ้าน รถ ที่ดิน เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเป็นไปได้ เช็คให้มั่นใจว่าเราเป็นเจ้าของคนเดียว และมีสถานะการเงินมั่งคง เพียงพอจริงๆ อย่าไว้ใจให้ใครมากู้ร่วม เพราะสุดท้าย ปัญหา แก้ยากกว่าที่คิดมาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่