รักชนก ปูด ประกันสังคม จ่อเพิ่มงบลงทุนนอกตลาดจากหมื่นเป็น 1.3 แสนล้าน หวั่นซ้ำรอย SKYY9 https://www.matichon.co.th/politics/news_5089492
รักชนก ปูด ประกันสังคม จ่อเพิ่มงบลงทุนนอกตลาดจากหมื่นเป็น 1.3 แสนล้าน ห่วงเกณฑ์รับความเสี่ยง หวั่นซ้ำรอย SKYY9
จากกรณีที่น.ส.
รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และนาย
สหัสวัต คุ้มคง ส.ส.พรรคประชาชน เปิดข้อมูลใหม่เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคมที่ใช้งบ 7 พันล้านบาทซื้อตึกเก่าสูงกว่าราคาประเมินเพื่อเป็นการลงทุน แต่คาดว่าต้องใช้เวลาถึง 30 ปีจึงจะได้กำไร แถมยังมีข้อมูลเกี่ยวพันกับนักการเมืองที่อยู่ในป่าด้วย จี้รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะเป็นผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
ล่าสุด
รักชนก โพสต์บนเฟซบุ๊กระบุว่า
ขอบคุณท่านเลขาประกันสังคม ที่ได้กรุณาออกมาชี้แจงเรื่องการลงทุน ในตึก SKYY9 ในเมื่อมีความจริงใจจะชี้แจง ดิฉันก็ถือโอกาสทำเรื่องขอเอกสารและขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้
1. ทำไมสำนักงานประกันสังคมถึงเลือกลงทุนโดยการเป็นเจ้าของตึกหนึ่งตึก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความพร้อมทางด้านประสบการณ์และบุคคลากร ทั้งที่จริงสำนักงานประกันสังคมสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด ซึ่งจะช่วยในเรื่องการบริหารจัดการและเป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนที่กองทุน Pension fund ทั่วโลกพึงปฏิบัติ
แต่สำนักงานกลับนำเงินทั้งก้อนไปลงทุนกระจุกอยู่ที่สินทรัพย์เพียงชิ้นเดียว ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการเลือกสินทรัพย์ชิ้นนี้ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่? (ดิฉันเดาคำตอบว่า ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใด ทุกอย่างทำตามระเบียบและตามกฏหมาย)
2. ทางสำนักงานมีความจำเป็นแค่ไหน ในการเลือกลงทุนตึก SKYY9 ผ่านช่องทาง PE Trust โดยเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนเกือบทั้งหมด (99.7%) ทั้ง ๆ ที่หากต้องการเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวระเบียบการลงทุนก็มีทางเลือกให้สำนักงานสามารถลงทุนในตึก Skyy9 ได้โดยตรง เพียงแต่ต้องแจกแจงรายละเอียดและรับคอมเม้นจากคณะกรรมการประกันสังคมก่อนหรือว่าการลงทุนผ่าน PE Trust จะเป็นการหลบหลีกเพื่อไม่ให้คณะกรรมการฯ และผู้ประกันตนทราบถึงการลงทุนชิ้นนี้?
3. ท่านอาจลืมว่าการลงทุนใน PE Trust นี้ ยังมีภาระผูกพันอื่น ๆ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่สำนักงานประกันสังคมต้องจ่ายให้กับผู้ดูแลกองทรัสต์ (Trustee) ผู้จัดการกองทรัสต์ (Trust Manager) และผู้ดูแลอาคาร (Asset Manager) อีกปีละ 0.3% ของเงินลงทุน/ปี , trustee 0.1% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม (Total Asset Value) เหล่านี้คือค่าใช้จ่ายที่สำนักงานต้องจ่ายแม้ในวันที่ยังไม่สามารถหาผู้เช่ามาได้
และการลงทุนนี้จะสร้างรายได้ให้สำนักงานประกันสังคมก็ต่อเมื่อหาผู้เช่าได้เกินกว่าค่าธรรมเนียม ซึ่งมีสัญญาผูกพันปีละ 40-50 ล้านบาท หมายความว่าสำนักงานประกันสังคมลงทุนไป 6,900 ล้านบาท แต่กว่าการลงทุนนี้จะสร้างรายได้ หลังจากการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้ดูแลที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องผลักดันอะไรเลยเพราะยังไงก็ได้เงินส่วนนี้ สำนักงานประกันสังคมช่างใจดีและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซะจริง ทำไมไม่เลือกหนทางที่จะประหยัดเงินค่าธรรมเนียมให้กับเงินของผู้ประกันตนให้ได้มากที่สุด ?
4. ส่วนที่ท่านกล่าวว่ามูลค่าของที่ดินสามารถเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตนั้น ต้องขออนุญาตเรียนถามท่านกลับว่าจุดประสงค์การลงทุนของ กองทุนบำนาญ (Pension fund) แบบประกันสังคมคืออะไร ใช่การลงทุนที่สร้างรายได้สม่ำเสมอทุกปีเพื่อให้เพียงพอต่อการนำเงินไปจ่ายสิทธิประโยชน์ใช่หรือไม่ หรือเป็นการลงทุนแบบเก็งกำไรเพื่อคาดหวังมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตในแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมาก ท่านจะอ้างอนาคตแบบที่วิญญูชนมองยังไงก็เลือนลางแบบนี้ได้หรือ
5.แผนยุทธศาสตร์การลงทุนที่ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบที่กล่าวถึงคือแผนการลงทุน 5 ปีล่าสุด ซึ่งกำหนดให้สำนักงานสามารถนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่นอกตลาดด้วยวิธีการแบบที่ลงทุนในตึก SKYY9 ได้เพิ่มขึ้นอีกหลาย ๆ เท่าตัวใช่หรือไม่? หากเป็นตามนั้น ผู้ประกันตนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินจะไม่ถูกนำไปลงทุนในตึกราคาแพงที่ไม่ได้สร้างรายได้อย่างที่ควรจะเป็นอีกหลาย ๆ ตึก
ดิฉันคิดว่าสิ่งที่ท่านควรต้องทำต่อไปคือท่านต้องแสดงให้เห็นว่าสำนักงานประกันสังคมจะมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม มีการกำกับดูแลที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส มีการเปิดเผยสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนที่ผู้ประกันตนสามารถช่วยกันตรวจสอบว่าเป็นไปอย่างไร้ข้อเคลือบแคลงสงสัย
6.ประชาชนจะเป็นคนใช้วิจารณญาณพิจารณาเอง หากท่านมีการเปิดเผยข้อมูลด้านการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวให้ผู้ประกันตนสบายใจและมั่นใจ เพราะความเชื่อใจและศรัทธาต้องเกิดมาจากการที่ท่านสร้างขึ้นมาไม่ใช่เกิดจากการกล่าวอ้างและการร้องขอเช่นที่ผ่านมา
* หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า ตอนนี้กองทุนกำลังจะเพิ่มวงเงินลงทุนนอกตลาด จาก 10,000ล้าน (ที่ซื้อตึก SKYY9 ไปแล้ว 7,000ล้าน) เป็น 130,000ล้าน ดิฉันออกตัวก่อนว่าไม่ได้ขวางการลงทุนนอกตลาด เพราะกองทุนทั่วโลกเค้าก็ทำกัน แต่สิ่งที่กองทุนทั่วโลกมีแต่กองทุนประกันสังคมไม่มีคือ กรอบหลักเกณ์หรือมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยง
ควรต้องมีหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานอะไรบ้างที่ต้องพิจรณาก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะถ้ายังไม่มีการกำหนดกรอบ แปลว่าไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเคสแบบตึก SKYY9 จะไม่เกิดขึ้นอีก และเงิน 130,000ล้าน ที่ควรจะเอาไปลงทุนนอกตลาดให้ได้กำไรงามๆ จะกลายเป็นบ่อเงินบ่อทองขนาดมหึมาของใครอีกหรือไม่ ดิฉันไม่อยากจินตนาการ
** ดิฉันเห็น รมต. คนเก่าก็พูด ท่านเลขาก็พูดถึงว่า มีการประเมินมูลค่าโดยผู้ประเมินราคาอิสระ 2 ราย ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) โดยมีราคาประเมินตามวิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) ประมาณ 7,300 ล้านบาท และมีการประเมินโดยวิธีพิจารณาต้นทุน (Cost Approach) ประมาณ 8,000 ล้านบาท
ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้เข้าลงทุนจริงที่ราคาต่ำกว่านั้นในราคา 6,900 ล้านบาท พรุ่งนี้ดิฉันจะใช้ กมธ.ติดตามงบประมาณขอเอกสารไป จะได้รู้กันว่าใครประเมิน แล้วเค้ามีวิธีคิดยังไง
มีอะไรสนุกๆให้ติดตามอีกเยอะค่ะ พูดแล้วก็คิดถึงท่านสุชาติ ชมกลิ่น เสียดายที่ท่านไม่ได้มาคุยกันออกสื่อเหมือนท่านพิพัฒน์ที่น่านับถือของดิฉัน ไม่งั้นเราคงจะได้คุยกันสนุกแน่
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/pfbid02cX7uKaSZXivnzZec4CUQmFonnWZGNNifYUwYWkEjLkGKTUotg3mJ14f4GoTs3uHWl
ยูเอ็น เรียกร้องรัฐบาลไทย ให้ความเป็นธรรม ทำความจริงให้ประจักษ์ โอกาสครบ 21 ปี การสูญหาย ‘ทนายสมชาย’
https://www.matichon.co.th/politics/news_5089363
ยูเอ็น เรียกร้อง รัฐบาลไทย ให้ความเป็นธรรม ทำความจริงให้ประจักษ์ โอกาสครบ 21 ปี การสูญหาย ‘ทนายสมชาย’
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก UN Human Rights – Asia ระบุว่า
“#ประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 21 ปีการบังคับสูญหายของทนายสมชาย นีละไพจิตร เราขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายทั้งในและระหว่างประเทศเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวน ลงโทษผู้กระทำผิด และให้ความเป็นธรรมและทำความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ต่อครอบครัวของทนายสมชาย การกระทำให้บุคคลสูญหายเป็นความผิดต่อเนื่อง (continuous crime) ครอบครัวของผู้เสียหายทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับรู้ความจริง ได้รับความเป็นธรรม และได้รับการเยียวยา”
https://www.facebook.com/OHCHRAsia/posts/pfbid0XuECmeyZfsba4zoBoyBUbsXmuGwYtan9rXcHzy4HrwRaHkKdSoCFHZ85jqNJHy2ql
แอตต้า หวั่นท่องเที่ยวไทยถอยหลังลงคลอง หมดเวลาพึ่งโชคช่วย-อาศัยบุญเก่า
https://www.matichon.co.th/economy/news_5089484
นาย
ศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ประเมินแนวโน้มภาคท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 นี้ เต็มที่น่าจะทำได้ประมาณ 37 ล้านคน เทียบเท่าปี 2567 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 35.54 ล้านคน ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีปัจจัยลบอยู่มาก ทำให้จำนวนเป้าหมายของรัฐบาลที่ 39 ล้านคน ยากเกินไป โดยมองภาพในอนาคตต่อจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย และความมั่นคงของประเทศไทย หากความเชื่อมั่นกลับมาได้ แนวโน้มท่องเที่ยวไทยจะเป็นบวกมากขึ้น แต่หากความเชื่อมั่นไม่กลับมา ท่องเที่ยวไทยก็จะย่ำอยู่ที่เดิม
“
การบริหารจัดการ หรือการให้เป้าหมายในอนาคต อยากให้มองสภาพความเป็นจริงด้วย เข้าใจว่าประเทศไทยบอบช้ำจากปัจจัยต่างๆ มามาก แต่ภาคเอกชนก็มีหน้าที่ต้องนำความเป็นจริงออกมาสะท้อนไปให้ถึงรัฐบาลเช่นกัน ไม่ใช่เพียงคล้อยตามไปด้วยเท่านั้น” นายศิษฎิวัชร กล่าว
นาย
ศิษฎิวัชร กล่าวว่า การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว หากรัฐบาลมองว่าท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือปั๊มรายได้ของเศรษฐกิจไทยจริงๆ จะต้องมีแผนการขับเคลื่อนท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ว่าจะพัฒนาในด้านใด ส่งเสริมและสนับสนุนรูปแบบใดอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงคำพูดหรือประกาศแคมเปญออกมาเท่านั้น ต้องมีแผนดำเนินการ อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สร้างห้องน้ำต่างๆ แม้ไทยมีธรรมชาติที่สวยงามอยู่แล้ว แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนา เพื่อเสริมให้มีความสวยงามมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความโชคดี จึงกินบุญเก่าในภาคการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องไม่ลืมว่า ประเทศอื่นๆ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เป็นผลให้เกิดการแย่งนักท่องเที่ยวต่างชาติกระจายไปในประเทศต่างๆ เหล่านั้นมากขึ้น อาทิ เวียดนาม ญี่ปุ่น แถมยังดึงดูดคนไทยให้ไปเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศเหล่านั้นมากขึ้นเช่นกัน ประเทศไทยจึงต้องมีการพัฒนาเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้
JJNY : รักชนก ปูด ประกันสังคม│ยูเอ็นร้องให้ความเป็นธรรม│หวั่นท่องเที่ยวไทยถอยหลังลงคลอง│เตือนเหนือร้อนจัดพุ่งแตะ 40 องศา
รักชนก ปูด ประกันสังคม จ่อเพิ่มงบลงทุนนอกตลาดจากหมื่นเป็น 1.3 แสนล้าน ห่วงเกณฑ์รับความเสี่ยง หวั่นซ้ำรอย SKYY9
จากกรณีที่น.ส.รักชนก ศรีนอก ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน และนายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.พรรคประชาชน เปิดข้อมูลใหม่เกี่ยวกับกองทุนประกันสังคมที่ใช้งบ 7 พันล้านบาทซื้อตึกเก่าสูงกว่าราคาประเมินเพื่อเป็นการลงทุน แต่คาดว่าต้องใช้เวลาถึง 30 ปีจึงจะได้กำไร แถมยังมีข้อมูลเกี่ยวพันกับนักการเมืองที่อยู่ในป่าด้วย จี้รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี ต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังเพราะเป็นผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
ล่าสุด รักชนก โพสต์บนเฟซบุ๊กระบุว่า
ขอบคุณท่านเลขาประกันสังคม ที่ได้กรุณาออกมาชี้แจงเรื่องการลงทุน ในตึก SKYY9 ในเมื่อมีความจริงใจจะชี้แจง ดิฉันก็ถือโอกาสทำเรื่องขอเอกสารและขอให้ชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้
1. ทำไมสำนักงานประกันสังคมถึงเลือกลงทุนโดยการเป็นเจ้าของตึกหนึ่งตึก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความพร้อมทางด้านประสบการณ์และบุคคลากร ทั้งที่จริงสำนักงานประกันสังคมสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุนอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด ซึ่งจะช่วยในเรื่องการบริหารจัดการและเป็นการกระจายความเสี่ยงการลงทุนที่กองทุน Pension fund ทั่วโลกพึงปฏิบัติ
แต่สำนักงานกลับนำเงินทั้งก้อนไปลงทุนกระจุกอยู่ที่สินทรัพย์เพียงชิ้นเดียว ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการเลือกสินทรัพย์ชิ้นนี้ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่? (ดิฉันเดาคำตอบว่า ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มใด ทุกอย่างทำตามระเบียบและตามกฏหมาย)
2. ทางสำนักงานมีความจำเป็นแค่ไหน ในการเลือกลงทุนตึก SKYY9 ผ่านช่องทาง PE Trust โดยเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนเกือบทั้งหมด (99.7%) ทั้ง ๆ ที่หากต้องการเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวระเบียบการลงทุนก็มีทางเลือกให้สำนักงานสามารถลงทุนในตึก Skyy9 ได้โดยตรง เพียงแต่ต้องแจกแจงรายละเอียดและรับคอมเม้นจากคณะกรรมการประกันสังคมก่อนหรือว่าการลงทุนผ่าน PE Trust จะเป็นการหลบหลีกเพื่อไม่ให้คณะกรรมการฯ และผู้ประกันตนทราบถึงการลงทุนชิ้นนี้?
3. ท่านอาจลืมว่าการลงทุนใน PE Trust นี้ ยังมีภาระผูกพันอื่น ๆ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมที่สำนักงานประกันสังคมต้องจ่ายให้กับผู้ดูแลกองทรัสต์ (Trustee) ผู้จัดการกองทรัสต์ (Trust Manager) และผู้ดูแลอาคาร (Asset Manager) อีกปีละ 0.3% ของเงินลงทุน/ปี , trustee 0.1% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม (Total Asset Value) เหล่านี้คือค่าใช้จ่ายที่สำนักงานต้องจ่ายแม้ในวันที่ยังไม่สามารถหาผู้เช่ามาได้
และการลงทุนนี้จะสร้างรายได้ให้สำนักงานประกันสังคมก็ต่อเมื่อหาผู้เช่าได้เกินกว่าค่าธรรมเนียม ซึ่งมีสัญญาผูกพันปีละ 40-50 ล้านบาท หมายความว่าสำนักงานประกันสังคมลงทุนไป 6,900 ล้านบาท แต่กว่าการลงทุนนี้จะสร้างรายได้ หลังจากการจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับผู้ดูแลที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องผลักดันอะไรเลยเพราะยังไงก็ได้เงินส่วนนี้ สำนักงานประกันสังคมช่างใจดีและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซะจริง ทำไมไม่เลือกหนทางที่จะประหยัดเงินค่าธรรมเนียมให้กับเงินของผู้ประกันตนให้ได้มากที่สุด ?
4. ส่วนที่ท่านกล่าวว่ามูลค่าของที่ดินสามารถเพิ่มขึ้นได้ในอนาคตนั้น ต้องขออนุญาตเรียนถามท่านกลับว่าจุดประสงค์การลงทุนของ กองทุนบำนาญ (Pension fund) แบบประกันสังคมคืออะไร ใช่การลงทุนที่สร้างรายได้สม่ำเสมอทุกปีเพื่อให้เพียงพอต่อการนำเงินไปจ่ายสิทธิประโยชน์ใช่หรือไม่ หรือเป็นการลงทุนแบบเก็งกำไรเพื่อคาดหวังมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคตในแบบที่ไม่สามารถคาดเดาได้เลย ซึ่งมีความเสี่ยงอย่างมาก ท่านจะอ้างอนาคตแบบที่วิญญูชนมองยังไงก็เลือนลางแบบนี้ได้หรือ
5.แผนยุทธศาสตร์การลงทุนที่ถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบที่กล่าวถึงคือแผนการลงทุน 5 ปีล่าสุด ซึ่งกำหนดให้สำนักงานสามารถนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่อยู่นอกตลาดด้วยวิธีการแบบที่ลงทุนในตึก SKYY9 ได้เพิ่มขึ้นอีกหลาย ๆ เท่าตัวใช่หรือไม่? หากเป็นตามนั้น ผู้ประกันตนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินจะไม่ถูกนำไปลงทุนในตึกราคาแพงที่ไม่ได้สร้างรายได้อย่างที่ควรจะเป็นอีกหลาย ๆ ตึก
ดิฉันคิดว่าสิ่งที่ท่านควรต้องทำต่อไปคือท่านต้องแสดงให้เห็นว่าสำนักงานประกันสังคมจะมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่เหมาะสม มีการกำกับดูแลที่มีธรรมาภิบาล โปร่งใส มีการเปิดเผยสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนที่ผู้ประกันตนสามารถช่วยกันตรวจสอบว่าเป็นไปอย่างไร้ข้อเคลือบแคลงสงสัย
6.ประชาชนจะเป็นคนใช้วิจารณญาณพิจารณาเอง หากท่านมีการเปิดเผยข้อมูลด้านการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวให้ผู้ประกันตนสบายใจและมั่นใจ เพราะความเชื่อใจและศรัทธาต้องเกิดมาจากการที่ท่านสร้างขึ้นมาไม่ใช่เกิดจากการกล่าวอ้างและการร้องขอเช่นที่ผ่านมา
* หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า ตอนนี้กองทุนกำลังจะเพิ่มวงเงินลงทุนนอกตลาด จาก 10,000ล้าน (ที่ซื้อตึก SKYY9 ไปแล้ว 7,000ล้าน) เป็น 130,000ล้าน ดิฉันออกตัวก่อนว่าไม่ได้ขวางการลงทุนนอกตลาด เพราะกองทุนทั่วโลกเค้าก็ทำกัน แต่สิ่งที่กองทุนทั่วโลกมีแต่กองทุนประกันสังคมไม่มีคือ กรอบหลักเกณ์หรือมาตรฐานในการบริหารความเสี่ยง
ควรต้องมีหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานอะไรบ้างที่ต้องพิจรณาก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะถ้ายังไม่มีการกำหนดกรอบ แปลว่าไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเคสแบบตึก SKYY9 จะไม่เกิดขึ้นอีก และเงิน 130,000ล้าน ที่ควรจะเอาไปลงทุนนอกตลาดให้ได้กำไรงามๆ จะกลายเป็นบ่อเงินบ่อทองขนาดมหึมาของใครอีกหรือไม่ ดิฉันไม่อยากจินตนาการ
** ดิฉันเห็น รมต. คนเก่าก็พูด ท่านเลขาก็พูดถึงว่า มีการประเมินมูลค่าโดยผู้ประเมินราคาอิสระ 2 ราย ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) โดยมีราคาประเมินตามวิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) ประมาณ 7,300 ล้านบาท และมีการประเมินโดยวิธีพิจารณาต้นทุน (Cost Approach) ประมาณ 8,000 ล้านบาท
ซึ่งสำนักงานประกันสังคมได้เข้าลงทุนจริงที่ราคาต่ำกว่านั้นในราคา 6,900 ล้านบาท พรุ่งนี้ดิฉันจะใช้ กมธ.ติดตามงบประมาณขอเอกสารไป จะได้รู้กันว่าใครประเมิน แล้วเค้ามีวิธีคิดยังไง
มีอะไรสนุกๆให้ติดตามอีกเยอะค่ะ พูดแล้วก็คิดถึงท่านสุชาติ ชมกลิ่น เสียดายที่ท่านไม่ได้มาคุยกันออกสื่อเหมือนท่านพิพัฒน์ที่น่านับถือของดิฉัน ไม่งั้นเราคงจะได้คุยกันสนุกแน่
https://www.facebook.com/nanaicez112/posts/pfbid02cX7uKaSZXivnzZec4CUQmFonnWZGNNifYUwYWkEjLkGKTUotg3mJ14f4GoTs3uHWl
ยูเอ็น เรียกร้องรัฐบาลไทย ให้ความเป็นธรรม ทำความจริงให้ประจักษ์ โอกาสครบ 21 ปี การสูญหาย ‘ทนายสมชาย’
https://www.matichon.co.th/politics/news_5089363
แอตต้า หวั่นท่องเที่ยวไทยถอยหลังลงคลอง หมดเวลาพึ่งโชคช่วย-อาศัยบุญเก่า
https://www.matichon.co.th/economy/news_5089484
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ประเมินแนวโน้มภาคท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2568 นี้ เต็มที่น่าจะทำได้ประมาณ 37 ล้านคน เทียบเท่าปี 2567 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยประมาณ 35.54 ล้านคน ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีปัจจัยลบอยู่มาก ทำให้จำนวนเป้าหมายของรัฐบาลที่ 39 ล้านคน ยากเกินไป โดยมองภาพในอนาคตต่อจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัย และความมั่นคงของประเทศไทย หากความเชื่อมั่นกลับมาได้ แนวโน้มท่องเที่ยวไทยจะเป็นบวกมากขึ้น แต่หากความเชื่อมั่นไม่กลับมา ท่องเที่ยวไทยก็จะย่ำอยู่ที่เดิม
“การบริหารจัดการ หรือการให้เป้าหมายในอนาคต อยากให้มองสภาพความเป็นจริงด้วย เข้าใจว่าประเทศไทยบอบช้ำจากปัจจัยต่างๆ มามาก แต่ภาคเอกชนก็มีหน้าที่ต้องนำความเป็นจริงออกมาสะท้อนไปให้ถึงรัฐบาลเช่นกัน ไม่ใช่เพียงคล้อยตามไปด้วยเท่านั้น” นายศิษฎิวัชร กล่าว
นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว หากรัฐบาลมองว่าท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือปั๊มรายได้ของเศรษฐกิจไทยจริงๆ จะต้องมีแผนการขับเคลื่อนท่องเที่ยวอย่างชัดเจน ว่าจะพัฒนาในด้านใด ส่งเสริมและสนับสนุนรูปแบบใดอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงคำพูดหรือประกาศแคมเปญออกมาเท่านั้น ต้องมีแผนดำเนินการ อาทิ การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สร้างห้องน้ำต่างๆ แม้ไทยมีธรรมชาติที่สวยงามอยู่แล้ว แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนา เพื่อเสริมให้มีความสวยงามมากขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความโชคดี จึงกินบุญเก่าในภาคการท่องเที่ยวมาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องไม่ลืมว่า ประเทศอื่นๆ มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เป็นผลให้เกิดการแย่งนักท่องเที่ยวต่างชาติกระจายไปในประเทศต่างๆ เหล่านั้นมากขึ้น อาทิ เวียดนาม ญี่ปุ่น แถมยังดึงดูดคนไทยให้ไปเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศเหล่านั้นมากขึ้นเช่นกัน ประเทศไทยจึงต้องมีการพัฒนาเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้