'ศิริกัญญา' ยันไม่ตัดชื่อ 'ทักษิณ' พ้นญัตติซักฟอก จ่อส่งหนังสือกลับ 'ไม่แก้' ชี้อย่ากังวลเกินเหตุ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9665315
“ศิริกัญญา” ยัน ไม่ตัดชื่อ “ทักษิณ” ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จ่อส่งหนังสือกลับ “ไม่แก้” ชี้ อย่ากังวลจนเกินเหตุ ท้าให้ไปถามเจ้าตัว ลั่น ถ้าผิดให้ฝ่ายรัฐบาลประท้วงได้เลย
8 มี.ค. 68 – น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคำสั่ง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ขอให้ตัดชื่อ นาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาว่า เป็นสิทธิ์โดยชอบตามรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านสามารถตั้งญัตติได้ และสภาเองไม่ได้มีอำนาจที่จะเข้ามาแทรกแซงให้มีการแก้ไขญัตติ แต่ถ้ามีญัตติบกพร่อง คือมีคำผิดไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ ถึงจะต้องมีการแก้ไข แต่ว่าเรื่องเนื้อหาไม่ได้มี ไม่มีข้อกฎหมายอะไรที่ให้เราแก้ไขได้
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า การที่สภาอ้างข้อบังคับว่า การระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ อาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ จึงขอให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว โดยนำรายชื่อบุคคลภายนอกออกจากเนื้อหาญัตติ ตามข้อบังคับการประชุม สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 เพราะว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาชี้แจง จริงๆ แล้วในข้อบังคับเขียนเพียงแค่ว่า ห้ามพูดถึงคนนอกโดยไม่จำเป็น ซึ่งถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ การบริหารราชการของ นายกฯ ก็ต้องพูด
น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนผลที่ตามมา คืออาจจะถูกบุคคลที่ 3 ฟ้องร้องได้ เรื่องนี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น ถ้าเราพูดอะไรไปที่ไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่ากระทบกระเทือนชื่อเสียงของบุคคลดังกล่าว เขาก็จะฟ้องร้อง เป็นกลไกตามปกติ เราก็เข้าใจ ทราบดีว่าไม่มีเอกสิทธิ์ที่จะคุ้มครองในการพูดถึงบุคคลที่สาม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเมื่อ ประธานสภา มีหนังสือมาแล้ว ทางฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรต่อ น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นไปอย่างที่ นาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้แจ้ง เราจะมีหนังสือยืนยันกลับไป ว่า เราไม่แก้
เมื่อถามว่า ทางฝ่ายค้านยังยืนยันตามเดิม ว่าจะมีการพูดถึงคนนอกอย่าง นาย
ทักษิณ ใช่หรือไม่ น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า ตามญัตติเราไม่ได้บอกว่า นาย
ทักษิณ ผิดอยู่แล้ว ไม่ได้จะอภิปราย นาย
ทักษิณ แต่ว่าเป็นบริบทของการที่นายกรัฐมนตรี อยู่ภายใต้ของการชักจูงให้กระทำ หรืองดเว้นการกระทำ เพราะฉะนั้น เป็นความผิดของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เราไม่ได้จะพูดถึงความผิดของ นาย
ทักษิณ
“
ซึ่งถ้าเราอยู่ดีไปพูดถึงความผิดของ คุณทักษิณ ก็ประท้วงได้เลย ให้ ส.ส.รัฐบาล ประท้วงได้เลยว่า มันไม่อยู่ในญัตติ อันนี้ก็ทำหน้าที่ของเราไป อย่ากังวลจนเกินเหตุ และถ้าสื่อสามารถที่จะไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ ได้จะดีมาก ว่ากังวลหรือเปล่า ที่ฝ่ายค้านมีการระบุชื่ออยู่ในญัตติ หรือคิดว่า คุณทักษิณ เองไม่ได้กังวล กลายเป็นบริวารที่กังวลแทน” น.ส.
ศิริกัญญา กล่าว
เมื่อถามว่า ส่วนตัวกังวลหรือไม่ในกรณีมีองครักษ์พิทักษ์ในช่วงของการอภิปราย น.ส.
ศิริกัญญา กล่าวว่า ไม่ได้กังวล เพราะว่าเราก็ผ่านศึกแบบนี้กันมาหลายครั้ง ประท้วงจนไม่ได้พูดก็เคยมาแล้ว ดังนั้น เราก็มีทีมที่จะโต้ฝ่ายที่ประท้วงด้วยเช่นเดียวกัน หรือถ้าไม่สามารถที่จะพูดได้จริงๆ ก็ไปพูดข้างนอกห้องประชุม ก็มีอีกหลายแนวทางที่เราสามารถจะรับมือกับเรื่องนี้ได้
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันออกแถลงการณ์รับ 'กม.ฟ้องปิดปาก'
https://prachatai.com/journal/2025/03/112311
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกแถลงการณ์ “การประกาศใช้มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP law) ผู้เปิดโปง ชี้เบาะแสหรือเป็นพยานในคดีคอร์รัปชัน” โดยกล่าวขอบคุณและชื่นชม“รัฐสภา-ป.ป.ช.” ที่ผลักดันสนับสนุนจนไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฏหมายนี้ พร้อมเสนอแนะให้เร่งศึกษาและเดินหน้าต่อใน 3 ประเด็นปัญหาร้อน ได้แก่ “สิทธิผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน”
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2568 นาย
มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า นับเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความชื่นชมและขอบคุณรัฐสภา รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้ร่วมผลักดันพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ให้มี
“มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก” (Anti – SLAPP Law) ซึ่งข้อเรียกร้องนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 โดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ นับเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพราะมาตรการนี้จะเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้คนไทยทุกภาคส่วนพร้อมจะมีส่วนร่วมต่อต้านคอร์รัปชันมากขึ้น ด้วยกฎหมายนี้มีเป้าหมายปกป้องคุ้มครองประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เปิดโปง ชี้เบาะแส หรือเป็นพยานในคดีคอร์รัปชันมิให้ถูกกลั่นแกล้ง ฟ้องร้อง ข่มขู่โดยง่าย อีกทั้งยังเป็นมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อการป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ และอนุสัญญา UNCAC 2003 โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีมาตรการนี้
“
มาตรการนี้จะเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพการแสดงออกซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองที่จะส่งเสียงและร่วมตรวจสอบการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้กระบวนการยุติธรรมถูกนำมาใช้ข่มขู่ คุกคาม หรือขัดขวางการตรวจสอบของประชาชนและสื่อมวลชนที่กล้าพูดความจริงเพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ”
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวและว่า นอกจากการมีมาตรการป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริตคอร์รัปชันแล้ว ขอเรียกร้องรัฐบาลให้เร่งศึกษาและเสนอกฎหมายเพิ่มเติมอย่างน้อยในอีก 3 ประเด็นปัญหาที่มีกรณีตัวอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมและบุกรุกป่า ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยจุดร่วมของทั้งสามปัญหายังคาบเกี่ยวกับการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนผู้นำเสนอข่าว เพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะแต่กลับถูกคู่กรณีฟ้องปิดปาก หลายกรณีเป็นคดีความที่สังคมร่วมกันจับตาและตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งอาจขยายผลกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติ
ส่องค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย เดือนก.พ.68 แตะ 21,069 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าบ้าน 1 ใน 4
https://www.dailynews.co.th/news/4472095/
ส่องค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย เดือน ก.พ. 68 เพิ่มแตะ 21,069 บาท พบส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าบ้าน 5,206 บาท รองลงมาเป็นค่ารถ ค่าอาหาร
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้เปิดเผยตัว ดัชนีราคาผู้บริโภคไทยเดือน ก.พ. 68 ซึ่งพบว่าเงินเฟ้อทั่วไปมีการปรับเพิ่มขึ้น 1.08% นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจ ภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เดือน ก.พ. 68 ซึ่งพบว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน
สำหรับตัวเลขเดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ 21,069 บาท โดยพบว่า มาจากหมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถึง 61.02% และหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 38.98% ประกอบด้วย
หมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
• ค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 5,206 บาท
• ค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่าซื้อยานพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ 4,755 บาท
• เป็นค่าค่าแพทย์ ค่ายา และค่าบริการส่วนบุคคล 1,344 บาท
• เป็นค่าหนังสือ ค่าสันทนาการ ค่าเล่าเรียน และการกุศล 847 บาท
• ค่าเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม 442 บาท
• เป็นค่าบุหรี่ เหล้า เบียร์ 261 บาท
หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
• ค่าอาหารสำเร็จรูป เช่น ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง 3,481 บาท
• ค่าเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ 1,509 บาท
• ผักและผลไม้ 1,007 บาท
• ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง 724 บาท
• เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 694 บาท
• ไข่และผลิตภัณฑ์นม 367 บาท
• เครื่องปรุงอาหาร 253 บาท
• ผลิตภัณฑ์น้ำตาล 179 บาท
JJNY : ‘ศิริกัญญา’ยันไม่ตัดชื่อ ‘ทักษิณ’│แถลงการณ์รับ 'กม.ฟ้องปิดปาก'│ส่องค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย│เซเลนสกีคะแนนนิยมเพิ่ม
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9665315
“ศิริกัญญา” ยัน ไม่ตัดชื่อ “ทักษิณ” ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จ่อส่งหนังสือกลับ “ไม่แก้” ชี้ อย่ากังวลจนเกินเหตุ ท้าให้ไปถามเจ้าตัว ลั่น ถ้าผิดให้ฝ่ายรัฐบาลประท้วงได้เลย
8 มี.ค. 68 – น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคำสั่ง วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ขอให้ตัดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากเนื้อหาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก่อนบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาว่า เป็นสิทธิ์โดยชอบตามรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านสามารถตั้งญัตติได้ และสภาเองไม่ได้มีอำนาจที่จะเข้ามาแทรกแซงให้มีการแก้ไขญัตติ แต่ถ้ามีญัตติบกพร่อง คือมีคำผิดไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ ถึงจะต้องมีการแก้ไข แต่ว่าเรื่องเนื้อหาไม่ได้มี ไม่มีข้อกฎหมายอะไรที่ให้เราแก้ไขได้
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า การที่สภาอ้างข้อบังคับว่า การระบุรายชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ อาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ จึงขอให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว โดยนำรายชื่อบุคคลภายนอกออกจากเนื้อหาญัตติ ตามข้อบังคับการประชุม สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 เพราะว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาชี้แจง จริงๆ แล้วในข้อบังคับเขียนเพียงแค่ว่า ห้ามพูดถึงคนนอกโดยไม่จำเป็น ซึ่งถ้าจำเป็นที่จะต้องใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ การบริหารราชการของ นายกฯ ก็ต้องพูด
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ส่วนผลที่ตามมา คืออาจจะถูกบุคคลที่ 3 ฟ้องร้องได้ เรื่องนี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ต้องเกิดขึ้น ถ้าเราพูดอะไรไปที่ไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่ากระทบกระเทือนชื่อเสียงของบุคคลดังกล่าว เขาก็จะฟ้องร้อง เป็นกลไกตามปกติ เราก็เข้าใจ ทราบดีว่าไม่มีเอกสิทธิ์ที่จะคุ้มครองในการพูดถึงบุคคลที่สาม
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในเมื่อ ประธานสภา มีหนังสือมาแล้ว ทางฝ่ายค้านจะดำเนินการอย่างไรต่อ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นไปอย่างที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้แจ้ง เราจะมีหนังสือยืนยันกลับไป ว่า เราไม่แก้
เมื่อถามว่า ทางฝ่ายค้านยังยืนยันตามเดิม ว่าจะมีการพูดถึงคนนอกอย่าง นายทักษิณ ใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตามญัตติเราไม่ได้บอกว่า นายทักษิณ ผิดอยู่แล้ว ไม่ได้จะอภิปราย นายทักษิณ แต่ว่าเป็นบริบทของการที่นายกรัฐมนตรี อยู่ภายใต้ของการชักจูงให้กระทำ หรืองดเว้นการกระทำ เพราะฉะนั้น เป็นความผิดของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว เราไม่ได้จะพูดถึงความผิดของ นายทักษิณ
“ซึ่งถ้าเราอยู่ดีไปพูดถึงความผิดของ คุณทักษิณ ก็ประท้วงได้เลย ให้ ส.ส.รัฐบาล ประท้วงได้เลยว่า มันไม่อยู่ในญัตติ อันนี้ก็ทำหน้าที่ของเราไป อย่ากังวลจนเกินเหตุ และถ้าสื่อสามารถที่จะไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ ได้จะดีมาก ว่ากังวลหรือเปล่า ที่ฝ่ายค้านมีการระบุชื่ออยู่ในญัตติ หรือคิดว่า คุณทักษิณ เองไม่ได้กังวล กลายเป็นบริวารที่กังวลแทน” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
เมื่อถามว่า ส่วนตัวกังวลหรือไม่ในกรณีมีองครักษ์พิทักษ์ในช่วงของการอภิปราย น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ไม่ได้กังวล เพราะว่าเราก็ผ่านศึกแบบนี้กันมาหลายครั้ง ประท้วงจนไม่ได้พูดก็เคยมาแล้ว ดังนั้น เราก็มีทีมที่จะโต้ฝ่ายที่ประท้วงด้วยเช่นเดียวกัน หรือถ้าไม่สามารถที่จะพูดได้จริงๆ ก็ไปพูดข้างนอกห้องประชุม ก็มีอีกหลายแนวทางที่เราสามารถจะรับมือกับเรื่องนี้ได้
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันออกแถลงการณ์รับ 'กม.ฟ้องปิดปาก'
https://prachatai.com/journal/2025/03/112311
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT ออกแถลงการณ์ “การประกาศใช้มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP law) ผู้เปิดโปง ชี้เบาะแสหรือเป็นพยานในคดีคอร์รัปชัน” โดยกล่าวขอบคุณและชื่นชม“รัฐสภา-ป.ป.ช.” ที่ผลักดันสนับสนุนจนไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีกฏหมายนี้ พร้อมเสนอแนะให้เร่งศึกษาและเดินหน้าต่อใน 3 ประเด็นปัญหาร้อน ได้แก่ “สิทธิผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน”
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2568 นายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า นับเป็นเรื่องที่ต้องแสดงความชื่นชมและขอบคุณรัฐสภา รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ได้ร่วมผลักดันพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ให้มี “มาตรการป้องกันการฟ้องปิดปาก” (Anti – SLAPP Law) ซึ่งข้อเรียกร้องนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2558 โดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ นับเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพราะมาตรการนี้จะเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้คนไทยทุกภาคส่วนพร้อมจะมีส่วนร่วมต่อต้านคอร์รัปชันมากขึ้น ด้วยกฎหมายนี้มีเป้าหมายปกป้องคุ้มครองประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เปิดโปง ชี้เบาะแส หรือเป็นพยานในคดีคอร์รัปชันมิให้ถูกกลั่นแกล้ง ฟ้องร้อง ข่มขู่โดยง่าย อีกทั้งยังเป็นมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อการป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ และอนุสัญญา UNCAC 2003 โดยประเทศไทยนับเป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีมาตรการนี้
“มาตรการนี้จะเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพการแสดงออกซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองที่จะส่งเสียงและร่วมตรวจสอบการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้กระบวนการยุติธรรมถูกนำมาใช้ข่มขู่ คุกคาม หรือขัดขวางการตรวจสอบของประชาชนและสื่อมวลชนที่กล้าพูดความจริงเพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ”
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวและว่า นอกจากการมีมาตรการป้องกันการฟ้องปิดปากในคดีทุจริตคอร์รัปชันแล้ว ขอเรียกร้องรัฐบาลให้เร่งศึกษาและเสนอกฎหมายเพิ่มเติมอย่างน้อยในอีก 3 ประเด็นปัญหาที่มีกรณีตัวอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่อง ได้แก่ ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมและบุกรุกป่า ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยจุดร่วมของทั้งสามปัญหายังคาบเกี่ยวกับการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชนผู้นำเสนอข่าว เพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะแต่กลับถูกคู่กรณีฟ้องปิดปาก หลายกรณีเป็นคดีความที่สังคมร่วมกันจับตาและตั้งคำถามถึงกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งอาจขยายผลกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติ
ส่องค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย เดือนก.พ.68 แตะ 21,069 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าบ้าน 1 ใน 4
https://www.dailynews.co.th/news/4472095/
ส่องค่าใช้จ่ายครัวเรือนไทย เดือน ก.พ. 68 เพิ่มแตะ 21,069 บาท พบส่วนใหญ่เป็นค่าเช่าบ้าน 5,206 บาท รองลงมาเป็นค่ารถ ค่าอาหาร
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้เปิดเผยตัว ดัชนีราคาผู้บริโภคไทยเดือน ก.พ. 68 ซึ่งพบว่าเงินเฟ้อทั่วไปมีการปรับเพิ่มขึ้น 1.08% นอกจากนี้ ยังได้มีการสำรวจ ภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือน เดือน ก.พ. 68 ซึ่งพบว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน
สำหรับตัวเลขเดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ 21,069 บาท โดยพบว่า มาจากหมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ถึง 61.02% และหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ 38.98% ประกอบด้วย
หมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
• ค่าเช่าบ้าน ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าไฟฟ้า ค่าก๊าซหุงต้ม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน 5,206 บาท
• ค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่าซื้อยานพาหนะ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าบริการโทรศัพท์มือถือ 4,755 บาท
• เป็นค่าค่าแพทย์ ค่ายา และค่าบริการส่วนบุคคล 1,344 บาท
• เป็นค่าหนังสือ ค่าสันทนาการ ค่าเล่าเรียน และการกุศล 847 บาท
• ค่าเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม 442 บาท
• เป็นค่าบุหรี่ เหล้า เบียร์ 261 บาท
หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
• ค่าอาหารสำเร็จรูป เช่น ข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง 3,481 บาท
• ค่าเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ 1,509 บาท
• ผักและผลไม้ 1,007 บาท
• ข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง 724 บาท
• เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 694 บาท
• ไข่และผลิตภัณฑ์นม 367 บาท
• เครื่องปรุงอาหาร 253 บาท
• ผลิตภัณฑ์น้ำตาล 179 บาท