สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมมีเรื่องอยากถามกึ่งระบายเกี่ยวกับการทำงานครับ ไม่รู้ว่าทุกคนคิดเหมือนกันไหมและมีวิธีการรับมือยังไงกันบ้าง รบกวนช่วยชี้แนะด้วยนะครับ
หลังเรียนจบผมทำงานมาได้ 5 ปี เปลี่ยนงานหนหนึ่ง ที่แรกเป็นงานตรงสายต้องเจอคนมากมายทั้งในที่ทำงานหรือที่ต้องไปติดต่อ จากนั้นลาออกมาทำอาชีพเสริมแก้ขัดช่วงหนึ่ง ก่อนมาทำงานที่ใหม่ซึ่งเป็นที่ปัจจุบัน
ซึ่งผมทำงานองค์กรใหญ่มาตลอด เป็นหัวหน้างาน หรือทีมขนาดเล็กมาบ้าง แต่ก็เจอสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันตลอดคือรุ่นพี่ขี้เหงาซึ่งทำงานไม่ค่อยเป็นแต่ต้องการความเคารพในที่ทำงาน โดยมากจะเป็นช่วงรุ่นอายุประมาณ 35-45 ปี โดยผมชอบแซวเล่นกับเพื่อนว่า คนเหงา generation ซึ่งทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องอายุหรอกนะครับ แต่มันเจอบ่อยจนสังเกตได้ ถ้าอายุไม่เกิน 35 มันก็จะคุยกันง่ายเข้าใจกันเพราะคิดอ่านคล้ายกัน หรือเกิน 45 ขึ้นไป ก็จะคุยง่ายอีกแบบ เพราะเป็นกลุ่มผู้บริหาร หรือคนเก๋าใกล้เกษียณ ที่มีทั้งความรู้เทคนิคที่ดี หรือไม่งั้นก็ดุ ๆ ไปเลย ซึ่งสำหรับผมมันอ่านง่ายนะครับ แค่เรารู้ว่าเขาต้องการอะไรแล้วเราทำให้ตรงกับอุดมคติเขามันก็จบครับ
แต่สำหรับกลุ่มที่ผมอยู่ด้วยแล้วอึดอัดนั้นแตกต่างออกไปครับ พวกเขาเกลียดการทำงาน ใช่ครับไม่มีใครอยากทำงาน อยากนอนอยู่เฉย ๆ แล้วได้เงิน เว้นแต่เลือกงานที่ชอบและได้เงินไปด้วยได้ แต่กับพวกเขานี้มันเข้าข่ายไม่รับผิดชอบเลยน่ะครับ พยายามอู้พยายามตุกติก แต่ทำให้มันยังคงเนียนอยู่ได้โดยไม่โดนตราหน้าว่าผิดเต็มประตู
ซึ่งการอู้นั้นส่งผลให้พวกเขาทำงานไม่เป็น เพราะไม่ค่อยได้ทำ และจะกระทบกับคุณภาพงานของเขา และแทนที่เขาจะชดเชยมันด้วยการเปลี่ยนตัวเอง กลับมาตั้งใจทำงาน หรือเอางานที่ตัวเองขี้เกียจจนทำไม่เสร็จไปแก้ต่อที่บ้านให้ทันเวลานัดส่งงาน ฯลฯ พวกเขากลับเลือกที่จะกินเหล้า ! และลากทุกคนไปกินด้วย คือผมงงครับ ว่าการกินเหล้ามันมันทำให้เราเหนื่อยในวันต่อมา การทำงานลดคุณภาพลง การนอนแย่ขึ้น มันจะช่วยแก้ปัญหายังไง เราปิดงานแล้วค่อยไปกินกันไม่ได้เหรอ ผมกินได้นะ แต่มันคือกินหลังเสร็จงานไง ที่สำคัญก็คือเวลาที่สูญเสียไปนั้นมันมากกว่าเวลาทำงานที่เขาอู้ไปเสียอีก นี้ถ้าเขาตั้งใจทำงาน มันเสร็จไปนานแล้วนะ แต่พออู้แล้วงานไม่เสร็จ พอเครียดก็มากินเหล้า วนไปไม่รู้จักจบสิ้น มันชวนงงมากสำหรับผมว่าเขาทำแบบนั้นทำไม
ซึ่งพวกพี่เขาก็จะมาทำงานแต่ละวันแบบมึน ๆ ไม่สามารถแนะนำอะไรใครได้ ช่วยงานอะไรใครไม่ได้ เพราะไม่มีความสามารถและสติก็ไม้ค่อยมีเพราะแฮงค์ ซึ่งก็มีความย้อนแย้งเกิดขึ้นเพราะว่าทามกลางสภาพนี้ของพี่เขา เขากลับต้องการการเคารพ อยากให้ยอในที่ประชุม อยากให้มีจัดช่องติดโพสอิทเสนอเซ็นแบบผู้ใหญ่ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย แต่มันมีเอกสารบ้างอย่างต้องเอาไปให้เขาเซ็น บางอันเป็นของเขาด้วยซ้ำ แต่อยู่ ๆ ก็มีอีโก้ขึ้นมาซะอย่างงั้น ทำท่าตำหนิข่มเรา
ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากนะ ผมแค่อยากได้ความสำนึกผิดหรือยอมรับตัวเองจากเขาซักหน่อย รู้ว่าตัวเองทำงานช้าก็ยอมรับมันมาเลย เดี๋ยวเราช่วยกันทำ เดี๋ยวเราให้ทำอันที่ไม่ซับซ้อนมาก หรือถ้าพวกผมปิดงานเสร็จก่อนพี่แกก็จะรีบมาช่วยแกทำ
พวกพี่เขาไม่ยอมรับร่วมกันเพื่อหาทางออกและปล่อยให้มันระเบิดอยู่อย่างงั้นทุกวัน เวลาโดนด่าโยนเขากลุ่ม แต่โดนชมรับเอาคนเดียว ทำงานง่าย ๆ ไม่เสร็จใช้เวลาทั้งวัน พอเราจะแกล้ง ๆ ถามเพื่อจะช่วย ก็ไล่เราหนี พอเรากลับ ก็บอกว่าตัวเองทำงานหนักอยู่คนเดียว เครียดขึ้นมาก็รีบไปก่อนเหล้า โดยโดดงานออกไปก่อนเลิกซักหน่อย เช้าวันต่อมาก็มาแฮงค์ วนไปเรื่อย
สุดท้ายผมก็พยายามอยู่ร่วมกับเขาโดยลองหลายวิธี ไม่ว่าจะพยายามชม สร้างความมั่นใจ ด้วยการยอ ทำตัวเป็นรุ่นน้องที่ดีเงียบและเออออตามเขา หรือหนักสุดก็ทำงานแทนมันไปเลย (มันง่ายมากแค่ไม่กี่นาทีก็เสร็จไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระ) ซึ่งพบว่าไม่ดีทั้งนั้น
ที่น่าจะดีที่สุดคือการเมิน+ลดเวลา+พูดด้วยทำนองเยือกเย็นอ่อนโยนเหมือนเราเป็นเด็กน้อยผู้ใสซื่อ เวลาเจอกันก็ไหว้สวัสดีเย็น ๆ แต่ไม่คุยต่อ เน้นตอบใช่หรือไม่ หรือตอบแค่คำที่เขาต้องการไม่ต้องเริ่มบทสนทนากับเขา ลดเวลาร่วมกัน เวลาเขาทักอะไรไม่เข้าหูก็หูทวนลมไปเลย ให้เขารู้ว่ามันเป็นคำพูดที่แย่ โดยที่เราไม่ได้ด่าเขา และหากเขาใส่ความอะไรก็ตอบอย่างไขสือ ไม่รู้เรื่องใส ๆ ไป คิดซะว่าเขาเป็นฝน เป็นหมี เป็นอะไรที่มันไม่มีเหตุผล แต่เราต้องหลบต้องหาวิธีรับมือ ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็พอช่วยได้ เพราะสุดท้ายใจเรานั้นแหละที่เป็นตัวคุมทุกอย่าง
แต่ ด้วยความที่เป็นองค์กรใหญ่ คนแบบนี้แม้จะมีน้อยเมื่อเป็นเปอร์เซ็นแต่มันก็เยอะถ้านับเป็นคน ทำให้ต้องเจอในทุกพื้นที่ขององค์กร บางทีทั้งแผนกนั้นแหละเป็นแบบนี้ทั้งแผนก ซึ่งการฝืนตัวเองอยู่กับคนพวกนี้มันเหนื่อยมากครับ ต้องมาเล่นละครให้พวกเขาไม่ทำร้ายเราทุกวัน ผิดธรรมชาติมากครับ
ในอนาคตคิดว่าคงย้ายออกแน่นอนครับเมื่อผมบรรลุวัตถุประสงค์ที่มาที่นี้ แต่มันไม่ใช่ในเวลาอันสั้น อย่างต่ำคงซัก 1.5-2 ปีครับ ไม่รู้ว่าระหว่างนี้ผมจะไหวไหม เลยว่าจะขอความกรุณาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เคยเจอประสบการณ์ประมาณนี้มาช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับว่ามีเคล็ดลับยังไงบ้าง ขอบคุณครับผม
คนเหงา Generation
หลังเรียนจบผมทำงานมาได้ 5 ปี เปลี่ยนงานหนหนึ่ง ที่แรกเป็นงานตรงสายต้องเจอคนมากมายทั้งในที่ทำงานหรือที่ต้องไปติดต่อ จากนั้นลาออกมาทำอาชีพเสริมแก้ขัดช่วงหนึ่ง ก่อนมาทำงานที่ใหม่ซึ่งเป็นที่ปัจจุบัน
ซึ่งผมทำงานองค์กรใหญ่มาตลอด เป็นหัวหน้างาน หรือทีมขนาดเล็กมาบ้าง แต่ก็เจอสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันตลอดคือรุ่นพี่ขี้เหงาซึ่งทำงานไม่ค่อยเป็นแต่ต้องการความเคารพในที่ทำงาน โดยมากจะเป็นช่วงรุ่นอายุประมาณ 35-45 ปี โดยผมชอบแซวเล่นกับเพื่อนว่า คนเหงา generation ซึ่งทีแรกผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องอายุหรอกนะครับ แต่มันเจอบ่อยจนสังเกตได้ ถ้าอายุไม่เกิน 35 มันก็จะคุยกันง่ายเข้าใจกันเพราะคิดอ่านคล้ายกัน หรือเกิน 45 ขึ้นไป ก็จะคุยง่ายอีกแบบ เพราะเป็นกลุ่มผู้บริหาร หรือคนเก๋าใกล้เกษียณ ที่มีทั้งความรู้เทคนิคที่ดี หรือไม่งั้นก็ดุ ๆ ไปเลย ซึ่งสำหรับผมมันอ่านง่ายนะครับ แค่เรารู้ว่าเขาต้องการอะไรแล้วเราทำให้ตรงกับอุดมคติเขามันก็จบครับ
แต่สำหรับกลุ่มที่ผมอยู่ด้วยแล้วอึดอัดนั้นแตกต่างออกไปครับ พวกเขาเกลียดการทำงาน ใช่ครับไม่มีใครอยากทำงาน อยากนอนอยู่เฉย ๆ แล้วได้เงิน เว้นแต่เลือกงานที่ชอบและได้เงินไปด้วยได้ แต่กับพวกเขานี้มันเข้าข่ายไม่รับผิดชอบเลยน่ะครับ พยายามอู้พยายามตุกติก แต่ทำให้มันยังคงเนียนอยู่ได้โดยไม่โดนตราหน้าว่าผิดเต็มประตู
ซึ่งการอู้นั้นส่งผลให้พวกเขาทำงานไม่เป็น เพราะไม่ค่อยได้ทำ และจะกระทบกับคุณภาพงานของเขา และแทนที่เขาจะชดเชยมันด้วยการเปลี่ยนตัวเอง กลับมาตั้งใจทำงาน หรือเอางานที่ตัวเองขี้เกียจจนทำไม่เสร็จไปแก้ต่อที่บ้านให้ทันเวลานัดส่งงาน ฯลฯ พวกเขากลับเลือกที่จะกินเหล้า ! และลากทุกคนไปกินด้วย คือผมงงครับ ว่าการกินเหล้ามันมันทำให้เราเหนื่อยในวันต่อมา การทำงานลดคุณภาพลง การนอนแย่ขึ้น มันจะช่วยแก้ปัญหายังไง เราปิดงานแล้วค่อยไปกินกันไม่ได้เหรอ ผมกินได้นะ แต่มันคือกินหลังเสร็จงานไง ที่สำคัญก็คือเวลาที่สูญเสียไปนั้นมันมากกว่าเวลาทำงานที่เขาอู้ไปเสียอีก นี้ถ้าเขาตั้งใจทำงาน มันเสร็จไปนานแล้วนะ แต่พออู้แล้วงานไม่เสร็จ พอเครียดก็มากินเหล้า วนไปไม่รู้จักจบสิ้น มันชวนงงมากสำหรับผมว่าเขาทำแบบนั้นทำไม
ซึ่งพวกพี่เขาก็จะมาทำงานแต่ละวันแบบมึน ๆ ไม่สามารถแนะนำอะไรใครได้ ช่วยงานอะไรใครไม่ได้ เพราะไม่มีความสามารถและสติก็ไม้ค่อยมีเพราะแฮงค์ ซึ่งก็มีความย้อนแย้งเกิดขึ้นเพราะว่าทามกลางสภาพนี้ของพี่เขา เขากลับต้องการการเคารพ อยากให้ยอในที่ประชุม อยากให้มีจัดช่องติดโพสอิทเสนอเซ็นแบบผู้ใหญ่ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย แต่มันมีเอกสารบ้างอย่างต้องเอาไปให้เขาเซ็น บางอันเป็นของเขาด้วยซ้ำ แต่อยู่ ๆ ก็มีอีโก้ขึ้นมาซะอย่างงั้น ทำท่าตำหนิข่มเรา
ผมไม่ได้ต้องการอะไรมากนะ ผมแค่อยากได้ความสำนึกผิดหรือยอมรับตัวเองจากเขาซักหน่อย รู้ว่าตัวเองทำงานช้าก็ยอมรับมันมาเลย เดี๋ยวเราช่วยกันทำ เดี๋ยวเราให้ทำอันที่ไม่ซับซ้อนมาก หรือถ้าพวกผมปิดงานเสร็จก่อนพี่แกก็จะรีบมาช่วยแกทำ
พวกพี่เขาไม่ยอมรับร่วมกันเพื่อหาทางออกและปล่อยให้มันระเบิดอยู่อย่างงั้นทุกวัน เวลาโดนด่าโยนเขากลุ่ม แต่โดนชมรับเอาคนเดียว ทำงานง่าย ๆ ไม่เสร็จใช้เวลาทั้งวัน พอเราจะแกล้ง ๆ ถามเพื่อจะช่วย ก็ไล่เราหนี พอเรากลับ ก็บอกว่าตัวเองทำงานหนักอยู่คนเดียว เครียดขึ้นมาก็รีบไปก่อนเหล้า โดยโดดงานออกไปก่อนเลิกซักหน่อย เช้าวันต่อมาก็มาแฮงค์ วนไปเรื่อย
สุดท้ายผมก็พยายามอยู่ร่วมกับเขาโดยลองหลายวิธี ไม่ว่าจะพยายามชม สร้างความมั่นใจ ด้วยการยอ ทำตัวเป็นรุ่นน้องที่ดีเงียบและเออออตามเขา หรือหนักสุดก็ทำงานแทนมันไปเลย (มันง่ายมากแค่ไม่กี่นาทีก็เสร็จไม่ได้เป็นการเพิ่มภาระ) ซึ่งพบว่าไม่ดีทั้งนั้น
ที่น่าจะดีที่สุดคือการเมิน+ลดเวลา+พูดด้วยทำนองเยือกเย็นอ่อนโยนเหมือนเราเป็นเด็กน้อยผู้ใสซื่อ เวลาเจอกันก็ไหว้สวัสดีเย็น ๆ แต่ไม่คุยต่อ เน้นตอบใช่หรือไม่ หรือตอบแค่คำที่เขาต้องการไม่ต้องเริ่มบทสนทนากับเขา ลดเวลาร่วมกัน เวลาเขาทักอะไรไม่เข้าหูก็หูทวนลมไปเลย ให้เขารู้ว่ามันเป็นคำพูดที่แย่ โดยที่เราไม่ได้ด่าเขา และหากเขาใส่ความอะไรก็ตอบอย่างไขสือ ไม่รู้เรื่องใส ๆ ไป คิดซะว่าเขาเป็นฝน เป็นหมี เป็นอะไรที่มันไม่มีเหตุผล แต่เราต้องหลบต้องหาวิธีรับมือ ซึ่งทั้งหมดนี้มันก็พอช่วยได้ เพราะสุดท้ายใจเรานั้นแหละที่เป็นตัวคุมทุกอย่าง
แต่ ด้วยความที่เป็นองค์กรใหญ่ คนแบบนี้แม้จะมีน้อยเมื่อเป็นเปอร์เซ็นแต่มันก็เยอะถ้านับเป็นคน ทำให้ต้องเจอในทุกพื้นที่ขององค์กร บางทีทั้งแผนกนั้นแหละเป็นแบบนี้ทั้งแผนก ซึ่งการฝืนตัวเองอยู่กับคนพวกนี้มันเหนื่อยมากครับ ต้องมาเล่นละครให้พวกเขาไม่ทำร้ายเราทุกวัน ผิดธรรมชาติมากครับ
ในอนาคตคิดว่าคงย้ายออกแน่นอนครับเมื่อผมบรรลุวัตถุประสงค์ที่มาที่นี้ แต่มันไม่ใช่ในเวลาอันสั้น อย่างต่ำคงซัก 1.5-2 ปีครับ ไม่รู้ว่าระหว่างนี้ผมจะไหวไหม เลยว่าจะขอความกรุณาเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่เคยเจอประสบการณ์ประมาณนี้มาช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมครับว่ามีเคล็ดลับยังไงบ้าง ขอบคุณครับผม