1.วาฬ หรืออาจมองเป็นกึ่ง Leviathan ผู้กำกับตั้งใจให้มันดูประหลาด เพื่อเป็นตัวแทน "ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้" เรื่องนี้ นำเสนอจากมุมมองแมว ก่อนสุดท้ายมันจะเรียนรู้ว่า 2.วาฬซึ่งกำลังสิ้นใจ ก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมทางตัวหนึ่ง มีเจตนาดี ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวจากก้นทะเลลึกอย่างที่เคยเข้าใจ
ฉากจบที่พากันมามองแอ่งน้ำ สะท้อนเรื่องเราทุกตัวต่างก็เป็น "สัตว์ร่วมโลก" เหมือนกัน, การร่วมเดินทางช่วยละลายพฤติกรรม-กำแพงระหว่างสายพันธุ์ รวมถึงความตาย วัฏจักรน้ำท่วมโลก ล้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต และธรรมชาติ (Circle of Life)

3.เหล่าฝูงกวาง และพวกหมาวิ่งไล่กระต่าย เป็นเทคนิคนำเสนอ ที่ผู้กำกับต้องการให้เหมือนกับว่าเหตุการณ์กำลังวนซ้ำไปยังต้นเรื่อง ไม่รู้จบ
และยังเล่นประเด็นวัฏจักรย้ำด้วยฉาก "Death Spiral" หรือการที่ฝูงกวางเลือกจะรวมกลุ่มเฉพาะพวกตน แล้ววิ่งตามกันไป ย่อมได้ผลลัพธ์ดังเดิม

4.ท้าย End Credit สะท้อนความกลัวถึงโลกของวาฬ ที่แมววิตกกังวลมาตลอด หรือสักวันหนึ่งน้ำท่วมโลกจะเกิดขึ้นอีก ผลัดวนกันไป
(มันอาจเป็นตัวเดิม Flashback จากน้ำท่วมครั้งก่อน หรืออนาคตก็ได้)
สังเกต ตอนต้นเรื่องจะมีการทิ้งเรือติดไว้บนต้นไม้ ให้เห็นว่าไม่ใช่รอบแรก อาจเป็นเหล่ามนุษย์ที่ล่วงหน้าไปก่อน เพราะเดิมศาสนาไม่ได้ให้ความสำคัญกับฝั่งสัตว์ในการเดินทางไปยัง แผ่นดินโลกใหม่ ครับ

ตีความเพิ่มเติม นกเลขานุการ เปรียบเหมือน "เทวดาปีกหัก/ทูตตกสวรรค์" จึงมีนิสัยวางตนเหนือสัตว์ชนิดอื่น หน้าที่ของเขาคือผู้นำทาง ให้เหล่าสัตว์ต่างสายพันธุ์ได้พิสูจน์ว่า พวกมันจะสามารถทลายกำแพงความแตกต่าง จนสามารถนำพาเรือ Noah ไปส่งยังทางเชื่อมดินแดนสวรรค์ได้สำเร็จหรือไม่
อิงจากฉากที่นกหายขึ้นไปยังห้วงมิติเบื้องบน คงเป็นเงื่อนไขให้ผืนแผ่นดินกลับมาแห้งอีกครั้ง
(เหมือนนกตัวสุดท้ายที่บินจากเรือ Noah ตามพระคัมภีร์) คือเราจะเห็น ฝูงนกเลขานุการ บินไปยังหุบเขาไม่หวนกลับมาครับ