ข้อมูลจากงานวิจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับดาวอังคารในตอนนี้ บ่งชี้ว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงิน มีทะเล มีมหาสมุทร มีทะเลสาบ มีแม่น้ำ เหมือนโลกทุกประการ และนอกจากนี้ยังมีวัฏจักรของน้ำครบทุกประการ หรือกล่าวง่ายๆ คือ ดาวอังคารเคยมีฝนตก นักวิทยาศาสตร์เรียกช่วงเวลานั้นของดาวอังคารว่ายุค โนอาห์ ซึ่งอยู่ในช่วง 4100 ถึง 3700 ล้านปีก่อน
ลักษณะทางธรณีวิทยาวิทยาที่บ่งชี้ได้ชัดว่าดาวอังคารเคยมีสภาพแวดล้อมแบบนี้ นั่นคือร่องรอยต่างๆบนดาวอังคาร และ ลักษณะภูมิประเทศของดาวอังคาร
จากภาพของดาวอังคารด้านบน เราจะเห็นได้ชัดว่า บริเวณซีกเหนือของดาวอังคารจะค่อนข้างเรียบ ดูเหมือนไม่มีหลุม ไม่มีบ่อ ไม่มีรอยขรุขระอะไรทั้งสิ้น ส่วนซีกใต้นั้น ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหลุม บ่อ และรอยขีดข่วนต่างๆ นั่นแสดงให้เห็นว่า มีการกัดเซาะของของเหลวบางอย่างที่บริเวณซีกใต้ของดาวอังคาร นอกจากนี้ลักษณะทางธรณีวิทยาเหล่านี้ยังสอดคล้องกับการค้นพบของยาน Rover ที่สำรวจบนพื้นผิวดาวอังคารบริเวณซีกใต้
ภาพแร่ hematite ที่ค้นพบโดยยาน Opportunity
ภาพถ่ายหินก้อนกลมคล้ายลูกเบอรี่ ที่ถ่ายได้โดยยาน Opportunity นั้น บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำ เนื่องจากหินในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ มีของเหลวที่จะพัดพาตะกอนดินเหล่านี้ให้มันเกิดการสะสมและจะต้องพัดพาตะกอนเหล่านี้กลิ้งไปเรื่อยๆ จะมีลักษณะเป็นก้อนกลมดังที่เห็นในภาพ นักวิทยาศาสตร์เรียกแร่ธาตุที่เกิดจากการสะสมของตะกอนดินเหล่านี้ว่า hematite
นอกจากนี้ ภาพถ่ายก้อนหินจาก Rover อีกหลายลำ ทั้ง Curiosity และ Perseverance ยังบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า ดาวอังคาร เคยมีน้ำ
ภาพถ่ายพื้นผิวของดาวอังคารบริเวณหลุมอุกกาบาตเกล จากยาน Curiosity ที่มีลักษณะเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่
ภาพถ่ายก่อนหินบนดาวอังคาร จากยาน Curiosity ลักษณะของหินบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าครั้งหนึ่งมันเคยถูกกัดเซาะด้วยของเหลว
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำ และมันเคยมีชั้นบรรยากาศที่ค่อนข้างหนาแน่น เพราะน้ำจะอยู่ในสถานะของเหลวได้ จะต้องมีความดันบรรยากาศที่สูงเท่านั้น นั่นก็เป็นหลักฐานทางอ้อมได้ว่าดาวอังคารเคยมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นคล้ายโลก นั่นหมายความว่า ครั้งหนึ่งมันเคยมีสนามแม่เหล็กที่แข็งแรงห่อหุ้มชั้นบรรยากาศไว้
แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เราก็รู้แล้วว่า สนามแม่เหล็กของดาวอังคารนั้นหายไป ส่งผลให้ลมสุริยะที่พัดมาจากดวงอาทิตย์นั้น พัดพาชั้นบรรยากาศของดาวออกไป จนความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้น เหลือเพียง 0.06% ของชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ ส่งผลให้น้ำไม่สามารถอยู่ในสถานะของเหลวได้ นั่นคือจะทำให้จุดเดือดของน้ำจะอยู่ที่ประมาณ -4 องศาเซลเซียส แต่เราทราบกันดีกว่าจุดเยือกแข็งของน้ำนั้นอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า น้ำบนดาวอังคารจะอยู่ได้ 2 สถานะ คือ ของแข็งและก๊าซ หมายความว่าน้ำแข็งเหล่านี้เมื่อมันละลายมันจะระเหิดเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทันที จะไม่สามารถคงสถานะอยู่เป็นของเหลวได้ เนื่องจากความดันบรรยากาศที่ต่ำเกินไป และนั้นก็หมายความว่า ลมสุริยะกำลังพัดพาน้ำที่อยู่ในสถานะก๊าซเหล่านี้ที่อยู่ในขั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้น ออกไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเกิดแนวคิดที่จะทำให้ดาวอังคารกลับสู่สภาพเดิมเหมือนยุคโนอาห์ เมื่อ 4100 ถึง 3700 ล้านปีก่อน ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Terraforming (Terra : โลก Forming สร้างขึ้นมาใหม่ Terraforming ในที่นี้จึงหมายถึงการสร้างหรือการทำให้เหมือนโลก)หรือการปรับสภาพดาวอังคารให้เหมือนโลก
ตามหลักการแล้ว เราสามารถทำให้ดาวอังคารมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้ ด้วยการทำให้เกิดแก๊าซเรือนกระจกหรือภาวะโลกร้อนขึ้นบนดาวอังคาร เพื่อให้อุณหภูมิบนดาวสูงขึ้น โดยการใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ปัญหาหลักคือ ดาวอังคารไม่มีสนามแม่เหล็ก ดังนั้น เราปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่าไร มันก็จะถูกลมสุริยะพัดออกไปเรื่อยๆอยู่ดี
แล้วเราจะสร้างสนามแม่เหล็กบนดาวอังคารอย่างไร
โอเคแหละว่า ตอนนี้เราสามารถสร้างแม่เหล็กขึ้นมาได้ ดังที่เราเห็นแม่เหล็กในอุปกรณ์ต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา และเรารู้ว่าแม่เหล็กเหล่านี้มันแผ่สนามแม่เหล็กออกมา
ที่นี้จะมีความเป็นไปได้แค่ไหนหากเรานำแม่เหล็กขนาดเล็กเหล่านี้หลายๆอันไปโคจรรอบดาวอังคาร แล้วจะเกิดสนามแม่เหล็กโดยรอบดาวอังคารขึ้นมาได้ โดยอาจทำให้มีขนาดเท่าดาวเทียมขนาดเล็กอย่าง Starling หลายๆอัน โคจรอบดาวอังคาร ซึ่งจะทำให้ชั้นบรรยากาศของดาวไม่สูญเสียออกไป
และในระหว่างนี้เราก็แค่เร่งกระบวนการที่จะทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิบนผิวดาวสูงขึ้น และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นระดับหนึ่งก็จะทำให้แกนกลางของดาวมีอุณภูมิค่อยๆสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดกสีไหลเวียนของของเหลวร้อนภายใต้เปลือกดาว หรือ ที่เราเรียกว่าแมกม่า เป็นการเกิดกระบวนการ Thermodynamics ที่จะทำให้แกนกลางของดาวแผ่สนามแม่เหล็กขึ้นมาล้อมรอบดาวอีกครั้ง
การทำ Terraforming เพื่อปรับสภาพดาวอังคารให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
ลักษณะทางธรณีวิทยาวิทยาที่บ่งชี้ได้ชัดว่าดาวอังคารเคยมีสภาพแวดล้อมแบบนี้ นั่นคือร่องรอยต่างๆบนดาวอังคาร และ ลักษณะภูมิประเทศของดาวอังคาร
จากภาพของดาวอังคารด้านบน เราจะเห็นได้ชัดว่า บริเวณซีกเหนือของดาวอังคารจะค่อนข้างเรียบ ดูเหมือนไม่มีหลุม ไม่มีบ่อ ไม่มีรอยขรุขระอะไรทั้งสิ้น ส่วนซีกใต้นั้น ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยหลุม บ่อ และรอยขีดข่วนต่างๆ นั่นแสดงให้เห็นว่า มีการกัดเซาะของของเหลวบางอย่างที่บริเวณซีกใต้ของดาวอังคาร นอกจากนี้ลักษณะทางธรณีวิทยาเหล่านี้ยังสอดคล้องกับการค้นพบของยาน Rover ที่สำรวจบนพื้นผิวดาวอังคารบริเวณซีกใต้
ภาพแร่ hematite ที่ค้นพบโดยยาน Opportunity
ภาพถ่ายหินก้อนกลมคล้ายลูกเบอรี่ ที่ถ่ายได้โดยยาน Opportunity นั้น บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำ เนื่องจากหินในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อ มีของเหลวที่จะพัดพาตะกอนดินเหล่านี้ให้มันเกิดการสะสมและจะต้องพัดพาตะกอนเหล่านี้กลิ้งไปเรื่อยๆ จะมีลักษณะเป็นก้อนกลมดังที่เห็นในภาพ นักวิทยาศาสตร์เรียกแร่ธาตุที่เกิดจากการสะสมของตะกอนดินเหล่านี้ว่า hematite
นอกจากนี้ ภาพถ่ายก้อนหินจาก Rover อีกหลายลำ ทั้ง Curiosity และ Perseverance ยังบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า ดาวอังคาร เคยมีน้ำ
ภาพถ่ายพื้นผิวของดาวอังคารบริเวณหลุมอุกกาบาตเกล จากยาน Curiosity ที่มีลักษณะเป็นแอ่งหลุมขนาดใหญ่
ภาพถ่ายก่อนหินบนดาวอังคาร จากยาน Curiosity ลักษณะของหินบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าครั้งหนึ่งมันเคยถูกกัดเซาะด้วยของเหลว
จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารเคยมีน้ำ และมันเคยมีชั้นบรรยากาศที่ค่อนข้างหนาแน่น เพราะน้ำจะอยู่ในสถานะของเหลวได้ จะต้องมีความดันบรรยากาศที่สูงเท่านั้น นั่นก็เป็นหลักฐานทางอ้อมได้ว่าดาวอังคารเคยมีชั้นบรรยากาศที่หนาแน่นคล้ายโลก นั่นหมายความว่า ครั้งหนึ่งมันเคยมีสนามแม่เหล็กที่แข็งแรงห่อหุ้มชั้นบรรยากาศไว้
แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เราก็รู้แล้วว่า สนามแม่เหล็กของดาวอังคารนั้นหายไป ส่งผลให้ลมสุริยะที่พัดมาจากดวงอาทิตย์นั้น พัดพาชั้นบรรยากาศของดาวออกไป จนความหนาแน่นของชั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้น เหลือเพียง 0.06% ของชั้นบรรยากาศโลก ซึ่งความหนาแน่นระดับนี้ ส่งผลให้น้ำไม่สามารถอยู่ในสถานะของเหลวได้ นั่นคือจะทำให้จุดเดือดของน้ำจะอยู่ที่ประมาณ -4 องศาเซลเซียส แต่เราทราบกันดีกว่าจุดเยือกแข็งของน้ำนั้นอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส นั่นหมายความว่า น้ำบนดาวอังคารจะอยู่ได้ 2 สถานะ คือ ของแข็งและก๊าซ หมายความว่าน้ำแข็งเหล่านี้เมื่อมันละลายมันจะระเหิดเป็นไอน้ำลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทันที จะไม่สามารถคงสถานะอยู่เป็นของเหลวได้ เนื่องจากความดันบรรยากาศที่ต่ำเกินไป และนั้นก็หมายความว่า ลมสุริยะกำลังพัดพาน้ำที่อยู่ในสถานะก๊าซเหล่านี้ที่อยู่ในขั้นบรรยากาศของดาวอังคารนั้น ออกไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงเกิดแนวคิดที่จะทำให้ดาวอังคารกลับสู่สภาพเดิมเหมือนยุคโนอาห์ เมื่อ 4100 ถึง 3700 ล้านปีก่อน ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า Terraforming (Terra : โลก Forming สร้างขึ้นมาใหม่ Terraforming ในที่นี้จึงหมายถึงการสร้างหรือการทำให้เหมือนโลก)หรือการปรับสภาพดาวอังคารให้เหมือนโลก
ตามหลักการแล้ว เราสามารถทำให้ดาวอังคารมีอุณหภูมิสูงขึ้นได้ ด้วยการทำให้เกิดแก๊าซเรือนกระจกหรือภาวะโลกร้อนขึ้นบนดาวอังคาร เพื่อให้อุณหภูมิบนดาวสูงขึ้น โดยการใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ปัญหาหลักคือ ดาวอังคารไม่มีสนามแม่เหล็ก ดังนั้น เราปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเท่าไร มันก็จะถูกลมสุริยะพัดออกไปเรื่อยๆอยู่ดี
แล้วเราจะสร้างสนามแม่เหล็กบนดาวอังคารอย่างไร
โอเคแหละว่า ตอนนี้เราสามารถสร้างแม่เหล็กขึ้นมาได้ ดังที่เราเห็นแม่เหล็กในอุปกรณ์ต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา และเรารู้ว่าแม่เหล็กเหล่านี้มันแผ่สนามแม่เหล็กออกมา
ที่นี้จะมีความเป็นไปได้แค่ไหนหากเรานำแม่เหล็กขนาดเล็กเหล่านี้หลายๆอันไปโคจรรอบดาวอังคาร แล้วจะเกิดสนามแม่เหล็กโดยรอบดาวอังคารขึ้นมาได้ โดยอาจทำให้มีขนาดเท่าดาวเทียมขนาดเล็กอย่าง Starling หลายๆอัน โคจรอบดาวอังคาร ซึ่งจะทำให้ชั้นบรรยากาศของดาวไม่สูญเสียออกไป
และในระหว่างนี้เราก็แค่เร่งกระบวนการที่จะทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิบนผิวดาวสูงขึ้น และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นระดับหนึ่งก็จะทำให้แกนกลางของดาวมีอุณภูมิค่อยๆสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดกสีไหลเวียนของของเหลวร้อนภายใต้เปลือกดาว หรือ ที่เราเรียกว่าแมกม่า เป็นการเกิดกระบวนการ Thermodynamics ที่จะทำให้แกนกลางของดาวแผ่สนามแม่เหล็กขึ้นมาล้อมรอบดาวอีกครั้ง