เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง ป้าๆ ตื่นกันแบบสบายๆ
Morning Walk แถวๆ รีสอร์ท กับอากาศเย็นๆ
อาหารเช้าเป็นข้าวต้มหมูชามใหญ่ยักษ์ ที่กินคนเดียวไม่หมดเพราะเจ้าของรีสอร์ทบอกว่า กลัวลูกค้ากินไม่อิ่ม
มีน้องไข่เจียว หมามนุษย์สัมพันธ์ดีประจำรีสอร์ทมาต้อนรับ
สถานที่แรกของวันนี้คือ “หุบป่าตาด”
หุบเขาล้านปี ที่สวยงามอากาศเย็น
ถ้าถามว่าไปยังไง GPS ค่ะ ช่วยท่านได้
ทางเข้าหุบป่าตาดก็จะออกแนวไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่ดอน ปลูกข้าวไม่ดีนัก เห็นภูเขารูปทรงแปลกตาอยู่ไกลๆ ระหว่างทางมีรีสอร์ทสวยๆ มากมาย ยิ่งใกล้ยิ่งมีเยอะ หลายแห่งก็ดังในโลกออนไลน์ ชนิดจองกันข้ามปีเลยทีเดียว
ถึงหน้าทางเข้า มีที่จอดรถ โชคดีที่เป็นช่วงหลังปีใหม่ คนไม่ค่อยเยอะ เลยหาที่จอดง่ายหน่อย
แนะนำว่าให้ใส่รองเท้าผ้าใบเพราะเดินเยอะ พื้นที่ไม่เรียบไม่สม่ำเสมอ เพราะมีการเดินขึ้นเดินลงปีนเขาบ้าง ถ้าฤดูฝนควรเตรียมยาฉีดไล่ยุงไปด้วย เค้าว่ายุงที่นี่ดุ แต่ป้าไม่เจอเพราะไปตอนอากาศหนาว ระยะทางในการเดินรวมประมาณ 700 เมตร เดินไม่ยาก แค่เหนื่อยตอนกลับขึ้นมานิดนึงเพราะขากลับต้องเดินขึ้นเขา
หุบป่าตาดอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงต้องเสียค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ไม่เสียค่าเข้าชม
ที่หน้าจุดขายบัตรจะมีไฟฉาย ให้นักท่องเที่ยวหยิบยืมไปใช้ระหว่างเข้าชมได้ เพราะต้องผ่านจุดที่เป็นถ้ำมืดประมาณ 100 เมตร หรือถ้าสนใจมัคคุเทศก์น้อย ก็สามารถอุดหนุนน้องๆ ได้ ราคาก็แล้วแต่จะให้ หรือจะหยอดตู้กองกลางก็ได้ สำหรับแก๊งป้ามี “น้องอิน” เป็นไกด์ประจำกลุ่ม
เริ่มต้นน้องก็จะพาไปไหว้รูปจำลองของพระครูสันติธรรมโกศล หรือหลวงพ่อทองหยด ซึ่งเป็นผู้ค้นพบหุบป่าตาดนี้ เดิมที่นี่เป็นป่าล้อมด้วยภูเขาไม่มีทางเข้า ต้องปีนเข้าไป ทำให้มีพืชพรรณโบราณ แปลกๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ต่อมาจึงได้มีการขุดเจาะถ้ำต่อจากถ้ำเดิม เป็นทางเดินเข้าไปภายในไม่ต้องปีนเขา

ปากทางเข้าถ้ำ จากป้ายหุบป่าตาด ถึงตรงนี้เดินขึ้นเขานิดหน่อย ประมาณครึ่งเหนื่อย

ภายในถ้ำมืดมาก แต่ระยะทางไม่ยาวประมาณ 100 เมตร มีหินบนพื้นบ้างแต่เดินไม่ยาก มีคนถือไฟฉายเดินสวนมาเป็นระยะ
หุบป่าตาดเกิดจากภูเขาที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นถ้ำอยู่ภายใน เวลาผ่านไปถ้ำก็ถล่มลงเป็นพื้นที่ว่างตรงกลางภูเขา หรือที่เรียกว่า “หุบ” หรือบ่อกลางภูเขา (เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อหลายแสนปีที่แล้ว) ต่อมามีต้นไม้ขึ้นตามธรรมชาติ และเพราะตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นเป็นต้นไม้โบราณ ที่หายาก

ปากถ้ำด้านใน กำลังทะลุมิติไปหลายแสนปีที่แล้ว
ต่อจากถ้ำ มีบันไดเดินลงไปยังป่า ซึ่งมีต้นไม้โบราณหายาก ต้องชมการท่องเที่ยวของอุทัยธานีที่ทำขั้นของบันไดกำลังดีขึ้นลงสะดวก (ไม่สูงเกินไป ไม่สั้นเกินไป และไม่มีตะปุ่มตะป่ำจนเดินลำบาก) พื้นที่บริเวณป่านี้ประมาณ 2 ไร่ เดินพอออกกำลัง ไม่เหนื่อยมาก

เส้นทางเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ยกเว้นส่วนที่เป็นถ้ำ ก็จะขรุขระหน่อย
ต้นไม้ป่าที่เป็นพระเอกนางเอกของเราคือ “ต้นตาด” หรือ “ต้นต๋าว” ซึ่งคล้ายๆ กับต้นปาล์มผสมต้นจาก ลูกคล้ายๆ ลูกชก มีต้นตัวผู้และตัวเมียต้องอยู่คู่กันด้วยนะ

ต้นตาด มี 2 ต้นคู่กันเสมอ ต้นใหญ่ (เหมือนต้นปาล์ม) มีลูก เป็นต้นตัวเมีย ต้นนี้ลูกยังไม่โต อีก 25 ปี ค่อยมากิน (ลูกตาดใช้เวลาโต 25 ปี ถึงจะกินได้) ต้นเล็ก (เหมือนต้นจาก) เป็นต้นต้วผู้
สัตว์ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ “กิ้งกือมังกรสีชมพู” สวยมาก (ในรูปนะ ป้าไม่เห็นตัวจริง) รูปนี่ป้าก็เอามาจากเว็บผู้จัดการออนไลน์ เค้าบอกว่ากิ้งกือนี้จะมีให้เห็นช่วง ส.ค.-พ.ย. ที่เหลือพวกนางจะจำศีล แต่นางมีพิษนะ ระวังด้วย
ระหว่างทางก็มีจุดชมวิวเรื่อยๆ ทางไม่ลำบาก คิดซะว่าอยู่ในป่าโลกล้านปี หรือกำลังถ่ายหนังจูแรสสิคพาร์ค ก็น่าจะได้ เดินไปตามทางถึงปลายทางซึ่งเป็นไฮไลท์ของสถานที่คือถ้ำใหญ่ เกิดจากการทรุดตัวของหินที่เป็นหลังคาถ้ำเมื่อหลายล้านปีก่อน มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ถ้าไปวันที่มีแสงแดดจะสวยมาก

ภายในถ้ำใหญ่ ถ้ามีแดดส่องจะสวยมาก
ต่อจากถ้ำใหญ่มีทางเดินศึกษาธรรมชาติต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็วนเดินกลับทางเดิม ทางเดินในหุปเป็นวงกลม มีป้ายบอกว่าให้วนไปทางไหน เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะกลับมาเจอบันไดที่เราเข้ามา ตอนนี้แหละเดินเหนื่อยหน่อย เพราะต้องขึ้นที่สูง ผ่านถ้ำ ถึงหน้าถ้ำ...จบการเดินทาง
ด้านหน้าถ้ำมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของพื้นเมือง ใครจะช้อปปิ้งก็ได้เลย ข้างๆ ร้านกาแฟมีภาพจำลองของจิตรกรรมฝาผนังยุคโบราณ ที่มีผู้ค้นพบบนเขาปลาร้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Unseen Thailand แต่ป้าไม่ได้ไปเขาปลาร้า เพราะเค้าบอกว่าเดินขึ้นเขาประมาณ 1.3 ก.ม. เกรงใจสังขารตัวเอง

ภาพจำลองภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์เขาปลาร้า
ไปต่อกันที่คาเฟ่ซักหนึ่งที่ Box House ร้านเล็กๆ สวยน่ารัก ริมเขาปลาร้า มีแมวน้อย 4 ตัวเป็นพรีเซนเตอร์ ป้าๆ แวะฉีดคาเฟอีนเข้าเส้น รสชาดดีแต่โดสไม่แรงเท่าไหร่ แล้วไปต่อ
เป้าหมายต่อไป “ตลาดซาวไฮ่” ที่อำเภอบ้านไร่
ป้าๆ เปลี่ยนแผนจากตอนแรกจะเที่ยวอยู่แถวหุบป่าตาด ออกไปไกลนิดนึง เพราะตลาดซาวไฮ่มีแค่วันเสาร์-อาทิตย์ และวันนี้ก็วันอาทิตย์ ต้องรีบไปเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีให้เดิน
คำว่า “ซาวไฮ่” มาจากคำว่า “ชาวไร่” ตลาดนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีของน่าสนใจหลายอย่าง เอาใจสายกับข้าวด้วยผัก ผลไม้ท้องถิ่น สดๆ ใหม่ๆ ราคาไม่แพง เอาใจสายกินด้วยอาหารพื้นเมือง ขนมและอาหารทั่วไป เอาใจสายแฟชั่นด้วยเสื้อผ้าพื้นเมือง เช่น มัดย้อม ผ้าทอผาทั่ง สายงานฝึมือก็มีพวกกระเป๋า หมวก ที่คลุมผมถัก เรียกได้ว่ามีครบทุกรส ร้านกาแฟ ดนตรีสด ก็มี เดินกันเพลินจ้า
เดินกันพอเหนื่อย ก็กลับที่พัก วันนี้ป้าๆ พักที่ The Khun Resort อยู่ไม่ไกลจากหุบป่าตาด มีบริการสั่งอาหารจากร้านไกล้ๆ มาส่ง ผ่าน Line Man ด้วย เย็นวันนี้ป้าๆ สั่งส้มตำมานั่งกิน รสชาติดีนะ จำชื่อร้านไม่ได้
ระหว่างทางก็จะพบนาเขียวๆ ไปตลอด จนใกล้ถึงรีสอร์ท อ้าว...ไม่มีนา เป็นไร่ข้าวโพด ได้ความว่าเป็นที่ดอน ปลูกข้าวไม่ดี เป็นไร่ข้าวโพดดีกว่า
รีสอร์ทนี้ ถ้าสายถ่ายรูป ก็เหมาะนะ เพราะวิวสวย มีรถ ATV จักรยานให้ขับเล่น สำหรับตัวบ้านก็ออกแบบสวยดี แต่ไม่เน้นประโยชน์ใช้สอย เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน จัดอย่างสวย มีระเบียงบนชั้น 2 มองวิวพาโนมาก ที่นอนนอนสบาย ผ้าห่มอุ่น แต่ผ้าห่มของเตียงเสริมบางมากกกกกกกกกกกกกกกก ดีนะไม่เอาผ้าแพรมาให้ วันนั้นอุณหภูมิ 14 องศา ป้าแทบหนาวตาย ต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่นอน บันไดขึ้นชั้นสองเป็นบันไดลิง เหมาะแก่การตกเวลาลงมาเข้าห้องน้ำ
บ้านป้านอนกัน 6 คน มีห้องน้ำเดียว ห้องน้ำกว้างชนิดอยากเอาเบาะไปปูนอน มีอ่างจากุ๊กชี่ด้วย แต่ป้าไม่ได้ใช้ มีที่วางของหน้ากระจกนิดเดียววางแปรงสีฟันกับยาสีฟันก็เต็มแล้ว มีราวแขวนผ้าอันเดียว ถ้าถือของอื่นเข้าไปน่าจะต้องวางบนพื้น....ฮาาาา
นอกห้องน้ำไม่มีที่ตากหรือแขวนผ้าเช็ดตัว หาที่พาดกันตามเก้าอี้ไป เครื่องทำน้ำอุ่นก็สู้กับความหนาวข้างนอกไม่ได้เปิดจนสุดก็ไม่หายเย็น ประตูห้องน้ำเป็นประตูเลื่อนที่ตกรางง่ายมาก จนป้าๆ ปิดห้องน้ำด้วยม่าน แล้วอาศัยสัญลักษณ์กันว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำมั๊ย
หน้าบ้านวิวสวยโล่งกว้าง ที่ส่วนกลางมีสระว่ายน้ำและเป็ดน้อยลอยน้ำ เด็กๆ น่าจะชอบ ห้องอาหารเช้าจัดสวย แต่ แต่ แต่ กินลำบากมาก เพราะโต๊ะเตี้ยเกิ๊น หรือป้าสูงไม่รู้นะ
อาหารเช้าเป็นข้าวต้มหมู ที่มีพนักงานมาบริการตักให้ มีหมูเติมตลอด ปิ้งขนมปังให้ (ปิ้งได้ทีละ 2 อัน) มีเครื่องชงกาแฟ ที่ชงได้ทีละแก้ว (รอคิวค่ะ รอคิว)
สรุป สวย ที่นอนนอนสบาย แต่อยู่ลำบาก
เย็นนี้ป้า สังอาหารมากิน นั่งเมาท์มอยหน้าบ้านจนทนหนาวไม่ไหวเลยเข้านอน
เดี๋ยวว่างๆ ป้ามาเล่าทริปวันต่อไป
ติดตามทริปของป้าได้ที่
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP1 :
https://pantip.com/topic/43210815?sc=QRY5NSm
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP3 :
https://pantip.com/topic/43214309
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP4:
https://pantip.com/topic/43218574?sc=xazi9uJ
หรือติดตามสาระอื่นๆ ได้ที่เพจ "หลากหลาย by Artima"
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064724916964
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP2
Morning Walk แถวๆ รีสอร์ท กับอากาศเย็นๆ
อาหารเช้าเป็นข้าวต้มหมูชามใหญ่ยักษ์ ที่กินคนเดียวไม่หมดเพราะเจ้าของรีสอร์ทบอกว่า กลัวลูกค้ากินไม่อิ่ม
มีน้องไข่เจียว หมามนุษย์สัมพันธ์ดีประจำรีสอร์ทมาต้อนรับ
สถานที่แรกของวันนี้คือ “หุบป่าตาด”
หุบเขาล้านปี ที่สวยงามอากาศเย็น
ถ้าถามว่าไปยังไง GPS ค่ะ ช่วยท่านได้
ทางเข้าหุบป่าตาดก็จะออกแนวไร่อ้อย ไร่ข้าวโพด เพราะบริเวณนี้เป็นพื้นที่ดอน ปลูกข้าวไม่ดีนัก เห็นภูเขารูปทรงแปลกตาอยู่ไกลๆ ระหว่างทางมีรีสอร์ทสวยๆ มากมาย ยิ่งใกล้ยิ่งมีเยอะ หลายแห่งก็ดังในโลกออนไลน์ ชนิดจองกันข้ามปีเลยทีเดียว
ถึงหน้าทางเข้า มีที่จอดรถ โชคดีที่เป็นช่วงหลังปีใหม่ คนไม่ค่อยเยอะ เลยหาที่จอดง่ายหน่อย
แนะนำว่าให้ใส่รองเท้าผ้าใบเพราะเดินเยอะ พื้นที่ไม่เรียบไม่สม่ำเสมอ เพราะมีการเดินขึ้นเดินลงปีนเขาบ้าง ถ้าฤดูฝนควรเตรียมยาฉีดไล่ยุงไปด้วย เค้าว่ายุงที่นี่ดุ แต่ป้าไม่เจอเพราะไปตอนอากาศหนาว ระยะทางในการเดินรวมประมาณ 700 เมตร เดินไม่ยาก แค่เหนื่อยตอนกลับขึ้นมานิดนึงเพราะขากลับต้องเดินขึ้นเขา
หุบป่าตาดอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงต้องเสียค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ไม่เสียค่าเข้าชม
ที่หน้าจุดขายบัตรจะมีไฟฉาย ให้นักท่องเที่ยวหยิบยืมไปใช้ระหว่างเข้าชมได้ เพราะต้องผ่านจุดที่เป็นถ้ำมืดประมาณ 100 เมตร หรือถ้าสนใจมัคคุเทศก์น้อย ก็สามารถอุดหนุนน้องๆ ได้ ราคาก็แล้วแต่จะให้ หรือจะหยอดตู้กองกลางก็ได้ สำหรับแก๊งป้ามี “น้องอิน” เป็นไกด์ประจำกลุ่ม
เริ่มต้นน้องก็จะพาไปไหว้รูปจำลองของพระครูสันติธรรมโกศล หรือหลวงพ่อทองหยด ซึ่งเป็นผู้ค้นพบหุบป่าตาดนี้ เดิมที่นี่เป็นป่าล้อมด้วยภูเขาไม่มีทางเข้า ต้องปีนเข้าไป ทำให้มีพืชพรรณโบราณ แปลกๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ต่อมาจึงได้มีการขุดเจาะถ้ำต่อจากถ้ำเดิม เป็นทางเดินเข้าไปภายในไม่ต้องปีนเขา
ปากทางเข้าถ้ำ จากป้ายหุบป่าตาด ถึงตรงนี้เดินขึ้นเขานิดหน่อย ประมาณครึ่งเหนื่อย
ภายในถ้ำมืดมาก แต่ระยะทางไม่ยาวประมาณ 100 เมตร มีหินบนพื้นบ้างแต่เดินไม่ยาก มีคนถือไฟฉายเดินสวนมาเป็นระยะ
หุบป่าตาดเกิดจากภูเขาที่ถูกน้ำกัดเซาะจนเป็นถ้ำอยู่ภายใน เวลาผ่านไปถ้ำก็ถล่มลงเป็นพื้นที่ว่างตรงกลางภูเขา หรือที่เรียกว่า “หุบ” หรือบ่อกลางภูเขา (เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อหลายแสนปีที่แล้ว) ต่อมามีต้นไม้ขึ้นตามธรรมชาติ และเพราะตัดขาดจากโลกภายนอก ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นเป็นต้นไม้โบราณ ที่หายาก
ปากถ้ำด้านใน กำลังทะลุมิติไปหลายแสนปีที่แล้ว
ต่อจากถ้ำ มีบันไดเดินลงไปยังป่า ซึ่งมีต้นไม้โบราณหายาก ต้องชมการท่องเที่ยวของอุทัยธานีที่ทำขั้นของบันไดกำลังดีขึ้นลงสะดวก (ไม่สูงเกินไป ไม่สั้นเกินไป และไม่มีตะปุ่มตะป่ำจนเดินลำบาก) พื้นที่บริเวณป่านี้ประมาณ 2 ไร่ เดินพอออกกำลัง ไม่เหนื่อยมาก
เส้นทางเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ยกเว้นส่วนที่เป็นถ้ำ ก็จะขรุขระหน่อย
ต้นไม้ป่าที่เป็นพระเอกนางเอกของเราคือ “ต้นตาด” หรือ “ต้นต๋าว” ซึ่งคล้ายๆ กับต้นปาล์มผสมต้นจาก ลูกคล้ายๆ ลูกชก มีต้นตัวผู้และตัวเมียต้องอยู่คู่กันด้วยนะ
ต้นตาด มี 2 ต้นคู่กันเสมอ ต้นใหญ่ (เหมือนต้นปาล์ม) มีลูก เป็นต้นตัวเมีย ต้นนี้ลูกยังไม่โต อีก 25 ปี ค่อยมากิน (ลูกตาดใช้เวลาโต 25 ปี ถึงจะกินได้) ต้นเล็ก (เหมือนต้นจาก) เป็นต้นต้วผู้
สัตว์ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่คือ “กิ้งกือมังกรสีชมพู” สวยมาก (ในรูปนะ ป้าไม่เห็นตัวจริง) รูปนี่ป้าก็เอามาจากเว็บผู้จัดการออนไลน์ เค้าบอกว่ากิ้งกือนี้จะมีให้เห็นช่วง ส.ค.-พ.ย. ที่เหลือพวกนางจะจำศีล แต่นางมีพิษนะ ระวังด้วย
ระหว่างทางก็มีจุดชมวิวเรื่อยๆ ทางไม่ลำบาก คิดซะว่าอยู่ในป่าโลกล้านปี หรือกำลังถ่ายหนังจูแรสสิคพาร์ค ก็น่าจะได้ เดินไปตามทางถึงปลายทางซึ่งเป็นไฮไลท์ของสถานที่คือถ้ำใหญ่ เกิดจากการทรุดตัวของหินที่เป็นหลังคาถ้ำเมื่อหลายล้านปีก่อน มีหินงอกหินย้อยสวยงาม ถ้าไปวันที่มีแสงแดดจะสวยมาก
ภายในถ้ำใหญ่ ถ้ามีแดดส่องจะสวยมาก
ต่อจากถ้ำใหญ่มีทางเดินศึกษาธรรมชาติต่ออีกนิดหน่อย แล้วก็วนเดินกลับทางเดิม ทางเดินในหุปเป็นวงกลม มีป้ายบอกว่าให้วนไปทางไหน เดินตามป้ายไปเรื่อยๆ ก็จะกลับมาเจอบันไดที่เราเข้ามา ตอนนี้แหละเดินเหนื่อยหน่อย เพราะต้องขึ้นที่สูง ผ่านถ้ำ ถึงหน้าถ้ำ...จบการเดินทาง
ด้านหน้าถ้ำมีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของพื้นเมือง ใครจะช้อปปิ้งก็ได้เลย ข้างๆ ร้านกาแฟมีภาพจำลองของจิตรกรรมฝาผนังยุคโบราณ ที่มีผู้ค้นพบบนเขาปลาร้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่ง Unseen Thailand แต่ป้าไม่ได้ไปเขาปลาร้า เพราะเค้าบอกว่าเดินขึ้นเขาประมาณ 1.3 ก.ม. เกรงใจสังขารตัวเอง
ภาพจำลองภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์เขาปลาร้า
ไปต่อกันที่คาเฟ่ซักหนึ่งที่ Box House ร้านเล็กๆ สวยน่ารัก ริมเขาปลาร้า มีแมวน้อย 4 ตัวเป็นพรีเซนเตอร์ ป้าๆ แวะฉีดคาเฟอีนเข้าเส้น รสชาดดีแต่โดสไม่แรงเท่าไหร่ แล้วไปต่อ
เป้าหมายต่อไป “ตลาดซาวไฮ่” ที่อำเภอบ้านไร่
ป้าๆ เปลี่ยนแผนจากตอนแรกจะเที่ยวอยู่แถวหุบป่าตาด ออกไปไกลนิดนึง เพราะตลาดซาวไฮ่มีแค่วันเสาร์-อาทิตย์ และวันนี้ก็วันอาทิตย์ ต้องรีบไปเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไม่มีให้เดิน
คำว่า “ซาวไฮ่” มาจากคำว่า “ชาวไร่” ตลาดนี้ไม่ใหญ่นัก แต่ก็มีของน่าสนใจหลายอย่าง เอาใจสายกับข้าวด้วยผัก ผลไม้ท้องถิ่น สดๆ ใหม่ๆ ราคาไม่แพง เอาใจสายกินด้วยอาหารพื้นเมือง ขนมและอาหารทั่วไป เอาใจสายแฟชั่นด้วยเสื้อผ้าพื้นเมือง เช่น มัดย้อม ผ้าทอผาทั่ง สายงานฝึมือก็มีพวกกระเป๋า หมวก ที่คลุมผมถัก เรียกได้ว่ามีครบทุกรส ร้านกาแฟ ดนตรีสด ก็มี เดินกันเพลินจ้า
เดินกันพอเหนื่อย ก็กลับที่พัก วันนี้ป้าๆ พักที่ The Khun Resort อยู่ไม่ไกลจากหุบป่าตาด มีบริการสั่งอาหารจากร้านไกล้ๆ มาส่ง ผ่าน Line Man ด้วย เย็นวันนี้ป้าๆ สั่งส้มตำมานั่งกิน รสชาติดีนะ จำชื่อร้านไม่ได้
ระหว่างทางก็จะพบนาเขียวๆ ไปตลอด จนใกล้ถึงรีสอร์ท อ้าว...ไม่มีนา เป็นไร่ข้าวโพด ได้ความว่าเป็นที่ดอน ปลูกข้าวไม่ดี เป็นไร่ข้าวโพดดีกว่า
รีสอร์ทนี้ ถ้าสายถ่ายรูป ก็เหมาะนะ เพราะวิวสวย มีรถ ATV จักรยานให้ขับเล่น สำหรับตัวบ้านก็ออกแบบสวยดี แต่ไม่เน้นประโยชน์ใช้สอย เป็นบ้าน 2 ชั้น 2 ห้องนอน จัดอย่างสวย มีระเบียงบนชั้น 2 มองวิวพาโนมาก ที่นอนนอนสบาย ผ้าห่มอุ่น แต่ผ้าห่มของเตียงเสริมบางมากกกกกกกกกกกกกกกก ดีนะไม่เอาผ้าแพรมาให้ วันนั้นอุณหภูมิ 14 องศา ป้าแทบหนาวตาย ต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่นอน บันไดขึ้นชั้นสองเป็นบันไดลิง เหมาะแก่การตกเวลาลงมาเข้าห้องน้ำ
บ้านป้านอนกัน 6 คน มีห้องน้ำเดียว ห้องน้ำกว้างชนิดอยากเอาเบาะไปปูนอน มีอ่างจากุ๊กชี่ด้วย แต่ป้าไม่ได้ใช้ มีที่วางของหน้ากระจกนิดเดียววางแปรงสีฟันกับยาสีฟันก็เต็มแล้ว มีราวแขวนผ้าอันเดียว ถ้าถือของอื่นเข้าไปน่าจะต้องวางบนพื้น....ฮาาาา
นอกห้องน้ำไม่มีที่ตากหรือแขวนผ้าเช็ดตัว หาที่พาดกันตามเก้าอี้ไป เครื่องทำน้ำอุ่นก็สู้กับความหนาวข้างนอกไม่ได้เปิดจนสุดก็ไม่หายเย็น ประตูห้องน้ำเป็นประตูเลื่อนที่ตกรางง่ายมาก จนป้าๆ ปิดห้องน้ำด้วยม่าน แล้วอาศัยสัญลักษณ์กันว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำมั๊ย
หน้าบ้านวิวสวยโล่งกว้าง ที่ส่วนกลางมีสระว่ายน้ำและเป็ดน้อยลอยน้ำ เด็กๆ น่าจะชอบ ห้องอาหารเช้าจัดสวย แต่ แต่ แต่ กินลำบากมาก เพราะโต๊ะเตี้ยเกิ๊น หรือป้าสูงไม่รู้นะ
อาหารเช้าเป็นข้าวต้มหมู ที่มีพนักงานมาบริการตักให้ มีหมูเติมตลอด ปิ้งขนมปังให้ (ปิ้งได้ทีละ 2 อัน) มีเครื่องชงกาแฟ ที่ชงได้ทีละแก้ว (รอคิวค่ะ รอคิว)
สรุป สวย ที่นอนนอนสบาย แต่อยู่ลำบาก
เย็นนี้ป้า สังอาหารมากิน นั่งเมาท์มอยหน้าบ้านจนทนหนาวไม่ไหวเลยเข้านอน
เดี๋ยวว่างๆ ป้ามาเล่าทริปวันต่อไป
ติดตามทริปของป้าได้ที่
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP1 : https://pantip.com/topic/43210815?sc=QRY5NSm
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP3 : https://pantip.com/topic/43214309
อุทัยธานี....มีดีกว่าที่คิด EP4: https://pantip.com/topic/43218574?sc=xazi9uJ
หรือติดตามสาระอื่นๆ ได้ที่เพจ "หลากหลาย by Artima"
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064724916964