ดับเพิ่มอีก 2 เป็น 3 ศพไฟไหม้โรงแรมย่าน ข้าวสาร "ชัชชาติ"สั่งปิดชั่วคราวตรวจความปลอดภัย
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9569974
ไฟไหม้โรงแรมย่าน ถนนข้าวสาร ตายเพิ่มอีก 2 เป็น 3 ศพ ชัชชาติ ผู้ว่าฯกทม. สั่งปิดชั่วคราวตรวจความปลอดภัยอาคาร
วันที่ 29 ธ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ โรงแรมดิเอ็มเบอร์ ถนนตานี แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ใกล้กับถนนข้าวสาร ซึ่งป็นอาคารสูง 6 ชั้น เหตุเกิดบริเวณชั้นที่ 5 เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บหลายราย
ล่าสุดเมื่อเวลา 23.00 น. น.ส.
ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ผู้ช่วย รมว.มหาดไทย และนาย
ชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าฯ กทม. และ เดินทางมาตรวจที่เกิดเหตุ
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเกิดกลุ่มควันที่บริเวณชั้น 5 ภายในโรงแรม มีนักท่องเที่ยวติดค้างอยู่กว่า 40 คน พนักงานของโรงแรมได้หนีขึ้นไปรอบนดาดฟ้า เจ้าหน้าที่ใช้รถกระเช้า 3 คัน ลำเลียงผู้บาดเจ็บ ผู้ประสบภัยลงมาด้านล่าง หลังเกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 คน ภายในห้อง 502 ชั้น 5 และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 คน ยังอยู่ระหว่างพักรักษาอาการสำลักควันอีก 1 คน
“เพลิงไม่ได้ลุกลามรุนแรงแต่อย่างใด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทำให้เพลิงไม่ได้ลุกลามบานปลาย แต่ปัญหาเกิดจากมีกลุ่มควันจำนวนมาก โดยได้สั่งให้ปิดโรงแรม ระงับการให้บริการชั่วคราว เพื่อตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของอาคารก่อน ซึ่งจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เรื่องการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากใกล้ถึงช่วงเทศกาลเคาท์ดาวน์ปีใหม่ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ”
ขณะที่ พล.ต.ท.
สยาม บุญสม ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ให้นักท่องเที่ยวที่ผู้ประสบภัยไปให้ปากคำที่ สน.ชนะสงคราม ส่วนสาเหตุต้องรอผลการตรวจของพิสูจน์หลักฐานนำมาประกอบสำนวน เพื่อจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน และไปเสียชีวิตที่รพ. 2 คน
บขส. จับมือ ขนส่ง เร่งสอบข้อเท็จจริง เหตุเพลิงไหม้วิริยะทัวร์ กทม.-เชียงใหม่ วอดทั้งคัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4977736
บขส. จับมือ ขนส่ง เร่งสอบข้อเท็จจริง เหตุเพลิงไหม้วิริยะทัวร์กทม.-เชียงใหม่ วอดทั้งคัน
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นาย
อรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ รถโดยสารของวิริยะทัวร์ เส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ ไฟไหม้ ที่ อ.เกาะคา จ.ลำปาง เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 29 ธ.ค. จากการตรวจสอบ พบว่า เป็นรถโดยสาร คันหมายเลข 18-14 ทะเบียน 16-6394 กรุงเทพฯ ของ บริษัท วิริยะทัวร์ (รถร่วมบริการ บขส.) เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ออกจากต้นทางกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. เมื่อมาถึง เขตตำบลนาแสง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง พนักงานขับรถได้สังเกตเห็นควันบริเวณด้านหลัง จึงได้จอดรถ และเปิดประตูด้านหน้า และประตูฉุกเฉิน เพื่อลำเลียงผู้โดยสารลงจากรถได้ทันท่วงที โดยผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากนั้นได้นำรถมารับผู้โดยสารไปปลายทางเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้รถโดยสารมีประกันภัย ซึ่งทางผู้ประกอบการจะให้ความช่วยเหลือ กรณีผู้โดยสารมีทรัพย์สินที่เสียหาย
นาย
อรรถวิท กล่าวด้วยว่า รถโดยสารคันดังกล่าวเป็นรถร่วมบริการฯ ซึ่ง บขส. ได้เน้นย้ำถึงคุณภาพมาตรฐานด้านตัวรถ ความพร้อมของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และพนักงานขับรถ ในระดับสูงสุดเสมอ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว บขส. จะดำเนินการ ตรวจสอบ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและนำมาใช้ในการกำกับดูแลและลงโทษ ตลอดจนออกมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง แต่ด้วยการซักซ้อม การแก้ปัญหาในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผ่านมา ทำให้สามารถอพยพผู้โดยสารลงจากรถคันดังกล่าวได้ในเวลาอันสั้น จึงไม่มีเหตุการณ์สูญเสียถึงแก่ชีวิต
นอกจากนี้ บขส. ยังได้ดำเนินมาตรการความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องตามนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยได้กำชับให้พนักงานขับรถ และ พนักงานต้อนรับ ของ บขส. และ รถร่วมฯ สังเกตระบบเครื่องยนต์ และระบบเบรก ของรถโดยสาร ก่อนออกเดินทาง ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพรถมาเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งให้จัดทำแผนบำรุงรักษารถให้มีความพร้อมให้บริการอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ
นราธิวาสฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำป่าทะลักท่วม
https://www.innnews.co.th/news/local/news_822601/
นราธิวาสฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำป่าจากเทือกเขากรือซอ ไหลทะลักสู่ที่ราบ ท่วมบ้านเรือนที่ อ.แว้ง 3 ตำบล 7 หมู่บ้าน ขณะที่ชุดช่างเร่งขุดลอกคูคลองและพนังกั้นน้ำ
จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งรายงานว่า จะมีฝนตกที่ จ.นราธิวาสอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ติดแนวลุ่มน้ำ รวมทั้งพื้นที่ลาดเชิงเขาเป็นพิเศษ ได้แก่ อ.แว้ง,อ,สุคิริน, อ.สุไหงโก-ลก,อ.ตากใบ ขณะที่ชุดช่างเร่งขุดลอกคูคลองและพนังกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะและไหลเข้าบ้านเรือน
นางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก ระบุ จากสภาวะฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ จ.นราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 28 – 29 ธ.ค.67 ทำให้พื้นที่ต้นน้ำคลองบูเก๊ะตา อ.เเว้ง มวลน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 0.79 เมตร เพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 20-80 ซม. ส่วนระดับน้ำในลุ่มน้ำโก-ลกขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 3.58 เมตร เพิ่มขึ้นจากเวลา 11.00 น.0.39 เมตร ทั้งนี้ขอให้ผู้ที่อาศัยริมแม่น้ำโก-ลกและในพื้นที่ลุ่มต่ำ เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำและพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด จนกว่าฤดูฝนจะสิ้นสุด
“
เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ได้ทำการเปิดประตูระบายน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำฝนในพื้นที่เมืองไหลออกสู่เเม่น้ำสุไหงโก-ลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ อีกทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์” นายกเล็กโก-ลกกล่าว
ขณะที่ อ.สุคิริน ฝนที่ตกหนักติดต่อกัน ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงได้เเจ้งเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที
นาย
ศุภโยค ลอดิง นายกเทศมนตรี ต.บูเก๊ะตา ได้แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยริมฝั่งลุ่มน้ำโก-ลก ว่า ขณะนี้น้ำในคลองบูเกะตาอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง แต่เพื่อความไม่ประมาทขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวริมฝั่งแม่น้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย หากน้ำมาถึงในช่วงกลางดึก
นาย
อวิรุทธ์ ยาเซ็ง นายก อบต.เอราวัณ อ.แว้ง ระบุ ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้มวลน้ำป่าจากเทือกเขากรือซอ ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ หมู่ 4 บ้านบาโงเปาะดอปอ ต.เอราวัณ และจะไหลจากเอราวัณ ลงแม่น้ำ 2 สาย โดยสายหนึ่งจะไหลลงไปทางบูเก๊ะตาและกายูคละ อ.แว้ง รวมทั้ง อ.สุไหงโก-ลก ส่วนอีกสายจะไหลไปทาง อ.สุไหงปาดี ซึ่งพื้นที่ริมแม่น้ำทั้ง 2 สาย เป็นจุดที่สุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด จากการประเมินปริมาณน้ำมากกว่าระลอกแรก ณ เวลา 13.00 น.วันที่ 29 ธ.ค.67 อ.แว้ง วัดได้ถึง 188.8 มิลลิเมตร
ทั้งนี้การดำเนินการในพื้นที่ ได้มีการแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำมาตลอด ขณะนี้ได้เตรียมพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 7 จุด พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ อปพร.ไปช่วยประชาชนในพื้นที่ ยกสิ่งของขึ้นไว้บนที่สูงแล้ว ล่าสุดระดับน้ำมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากลุ่มน้ำโก-ลกมีน้ำไหลมาสมทบ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ แจ้งเตือนทุกอำเภอเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน,น้ำป่าไหลหลาก,น้ำล้นตลิ่งและคลื่นลมแรงต่อเนื่องจนถึง 30 ธ.ค.67 และให้มีความพร้อมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์, เครื่องจักรกล, ยุทโธปกรณ์, กำลังพลพร้อมให้ความช่วยเหลือทันทีตลอด 24 ชั่วโมง โทร.สายด่วน 1784
JJNY : ดับเพิ่มเป็น 3 ศพไฟไหม้โรงแรม│เร่งสอบข้อเท็จจริง เหตุเพลิงไหม้│นราธิวาสฝนตกหนักต่อเนื่อง│อดีต ปธน.ถึงแก่อสัญกรรม
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9569974
วันที่ 29 ธ.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ โรงแรมดิเอ็มเบอร์ ถนนตานี แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ใกล้กับถนนข้าวสาร ซึ่งป็นอาคารสูง 6 ชั้น เหตุเกิดบริเวณชั้นที่ 5 เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บหลายราย
ล่าสุดเมื่อเวลา 23.00 น. น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ผู้ช่วย รมว.มหาดไทย และนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าฯ กทม. และ เดินทางมาตรวจที่เกิดเหตุ
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเกิดกลุ่มควันที่บริเวณชั้น 5 ภายในโรงแรม มีนักท่องเที่ยวติดค้างอยู่กว่า 40 คน พนักงานของโรงแรมได้หนีขึ้นไปรอบนดาดฟ้า เจ้าหน้าที่ใช้รถกระเช้า 3 คัน ลำเลียงผู้บาดเจ็บ ผู้ประสบภัยลงมาด้านล่าง หลังเกิดเหตุพบผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 คน ภายในห้อง 502 ชั้น 5 และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 คน ยังอยู่ระหว่างพักรักษาอาการสำลักควันอีก 1 คน
“เพลิงไม่ได้ลุกลามรุนแรงแต่อย่างใด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเข้าพื้นที่อย่างรวดเร็ว ทำให้เพลิงไม่ได้ลุกลามบานปลาย แต่ปัญหาเกิดจากมีกลุ่มควันจำนวนมาก โดยได้สั่งให้ปิดโรงแรม ระงับการให้บริการชั่วคราว เพื่อตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของอาคารก่อน ซึ่งจะต้องสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เรื่องการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากใกล้ถึงช่วงเทศกาลเคาท์ดาวน์ปีใหม่ เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ”
ขณะที่ พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ให้นักท่องเที่ยวที่ผู้ประสบภัยไปให้ปากคำที่ สน.ชนะสงคราม ส่วนสาเหตุต้องรอผลการตรวจของพิสูจน์หลักฐานนำมาประกอบสำนวน เพื่อจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับเหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 คน โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 1 คน และไปเสียชีวิตที่รพ. 2 คน
บขส. จับมือ ขนส่ง เร่งสอบข้อเท็จจริง เหตุเพลิงไหม้วิริยะทัวร์ กทม.-เชียงใหม่ วอดทั้งคัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4977736
บขส. จับมือ ขนส่ง เร่งสอบข้อเท็จจริง เหตุเพลิงไหม้วิริยะทัวร์กทม.-เชียงใหม่ วอดทั้งคัน
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ รถโดยสารของวิริยะทัวร์ เส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ ไฟไหม้ ที่ อ.เกาะคา จ.ลำปาง เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ของวันที่ 29 ธ.ค. จากการตรวจสอบ พบว่า เป็นรถโดยสาร คันหมายเลข 18-14 ทะเบียน 16-6394 กรุงเทพฯ ของ บริษัท วิริยะทัวร์ (รถร่วมบริการ บขส.) เส้นทางกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ออกจากต้นทางกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. เมื่อมาถึง เขตตำบลนาแสง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง พนักงานขับรถได้สังเกตเห็นควันบริเวณด้านหลัง จึงได้จอดรถ และเปิดประตูด้านหน้า และประตูฉุกเฉิน เพื่อลำเลียงผู้โดยสารลงจากรถได้ทันท่วงที โดยผู้โดยสารทุกคนปลอดภัย ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากนั้นได้นำรถมารับผู้โดยสารไปปลายทางเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้รถโดยสารมีประกันภัย ซึ่งทางผู้ประกอบการจะให้ความช่วยเหลือ กรณีผู้โดยสารมีทรัพย์สินที่เสียหาย
นายอรรถวิท กล่าวด้วยว่า รถโดยสารคันดังกล่าวเป็นรถร่วมบริการฯ ซึ่ง บขส. ได้เน้นย้ำถึงคุณภาพมาตรฐานด้านตัวรถ ความพร้อมของเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และพนักงานขับรถ ในระดับสูงสุดเสมอ อย่างไรก็ดี ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว บขส. จะดำเนินการ ตรวจสอบ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและนำมาใช้ในการกำกับดูแลและลงโทษ ตลอดจนออกมาตรการที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ บริษัทขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง แต่ด้วยการซักซ้อม การแก้ปัญหาในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผ่านมา ทำให้สามารถอพยพผู้โดยสารลงจากรถคันดังกล่าวได้ในเวลาอันสั้น จึงไม่มีเหตุการณ์สูญเสียถึงแก่ชีวิต
นอกจากนี้ บขส. ยังได้ดำเนินมาตรการความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องตามนโยบายกระทรวงคมนาคม โดยได้กำชับให้พนักงานขับรถ และ พนักงานต้อนรับ ของ บขส. และ รถร่วมฯ สังเกตระบบเครื่องยนต์ และระบบเบรก ของรถโดยสาร ก่อนออกเดินทาง ถึงแม้จะมีการตรวจสภาพรถมาเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งให้จัดทำแผนบำรุงรักษารถให้มีความพร้อมให้บริการอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ
นราธิวาสฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำป่าทะลักท่วม
https://www.innnews.co.th/news/local/news_822601/
นราธิวาสฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำป่าจากเทือกเขากรือซอ ไหลทะลักสู่ที่ราบ ท่วมบ้านเรือนที่ อ.แว้ง 3 ตำบล 7 หมู่บ้าน ขณะที่ชุดช่างเร่งขุดลอกคูคลองและพนังกั้นน้ำ
จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งรายงานว่า จะมีฝนตกที่ จ.นราธิวาสอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ติดแนวลุ่มน้ำ รวมทั้งพื้นที่ลาดเชิงเขาเป็นพิเศษ ได้แก่ อ.แว้ง,อ,สุคิริน, อ.สุไหงโก-ลก,อ.ตากใบ ขณะที่ชุดช่างเร่งขุดลอกคูคลองและพนังกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะและไหลเข้าบ้านเรือน
นางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก ระบุ จากสภาวะฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ จ.นราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 28 – 29 ธ.ค.67 ทำให้พื้นที่ต้นน้ำคลองบูเก๊ะตา อ.เเว้ง มวลน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 0.79 เมตร เพิ่มขึ้นชั่วโมงละ 20-80 ซม. ส่วนระดับน้ำในลุ่มน้ำโก-ลกขณะนี้ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่ง 3.58 เมตร เพิ่มขึ้นจากเวลา 11.00 น.0.39 เมตร ทั้งนี้ขอให้ผู้ที่อาศัยริมแม่น้ำโก-ลกและในพื้นที่ลุ่มต่ำ เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำและพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด จนกว่าฤดูฝนจะสิ้นสุด
“เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ได้ทำการเปิดประตูระบายน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำฝนในพื้นที่เมืองไหลออกสู่เเม่น้ำสุไหงโก-ลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ อีกทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์” นายกเล็กโก-ลกกล่าว
ขณะที่ อ.สุคิริน ฝนที่ตกหนักติดต่อกัน ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงได้เเจ้งเตือนให้ประชาชนเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที
นายศุภโยค ลอดิง นายกเทศมนตรี ต.บูเก๊ะตา ได้แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยริมฝั่งลุ่มน้ำโก-ลก ว่า ขณะนี้น้ำในคลองบูเกะตาอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง แต่เพื่อความไม่ประมาทขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวริมฝั่งแม่น้ำ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ เตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์อุทกภัย หากน้ำมาถึงในช่วงกลางดึก
นายอวิรุทธ์ ยาเซ็ง นายก อบต.เอราวัณ อ.แว้ง ระบุ ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้มวลน้ำป่าจากเทือกเขากรือซอ ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ หมู่ 4 บ้านบาโงเปาะดอปอ ต.เอราวัณ และจะไหลจากเอราวัณ ลงแม่น้ำ 2 สาย โดยสายหนึ่งจะไหลลงไปทางบูเก๊ะตาและกายูคละ อ.แว้ง รวมทั้ง อ.สุไหงโก-ลก ส่วนอีกสายจะไหลไปทาง อ.สุไหงปาดี ซึ่งพื้นที่ริมแม่น้ำทั้ง 2 สาย เป็นจุดที่สุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด จากการประเมินปริมาณน้ำมากกว่าระลอกแรก ณ เวลา 13.00 น.วันที่ 29 ธ.ค.67 อ.แว้ง วัดได้ถึง 188.8 มิลลิเมตร
ทั้งนี้การดำเนินการในพื้นที่ ได้มีการแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำมาตลอด ขณะนี้ได้เตรียมพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 7 จุด พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ อปพร.ไปช่วยประชาชนในพื้นที่ ยกสิ่งของขึ้นไว้บนที่สูงแล้ว ล่าสุดระดับน้ำมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากลุ่มน้ำโก-ลกมีน้ำไหลมาสมทบ กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนราธิวาส ได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ แจ้งเตือนทุกอำเภอเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน,น้ำป่าไหลหลาก,น้ำล้นตลิ่งและคลื่นลมแรงต่อเนื่องจนถึง 30 ธ.ค.67 และให้มีความพร้อมทั้งเครื่องมืออุปกรณ์, เครื่องจักรกล, ยุทโธปกรณ์, กำลังพลพร้อมให้ความช่วยเหลือทันทีตลอด 24 ชั่วโมง โทร.สายด่วน 1784