ในค่ำคืนวันสิ้นปี คืนที่ทุกคนต่างมีความสุขที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวกับคนที่ตนรัก
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กลับมีเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนึงมาเดินเร่ขายไม้ขีดไฟ
ผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่เพื่อจับจ่ายซื้อของไปเลี้ยงฉลองที่บ้าน
แต่ไม่มีใครสักคนที่ซื้อไม้ขีดไฟของเธอ
มองไปทางไหนก็เห็นเขาเดินอย่างมีความสุข ครอบครัวอันแสบอบอุ่นพ่อแม่ลูกซื้อของกัน
ย้อนมองตัวเองทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ ทำยังไงดี..ถ้าเธอไม่ได้เงินกลับไปพ่อต้องตีเธอแน่ๆ
คิดได้เช่นนั้น เด็กหญิงก็ร้องตะโกนขายไม้ขีดไฟในมือไม่หยุดหย่อน
หิมะตกลงมาหนามากยิ่งขึ้น ใกล้เที่ยงคืนแล้วผู้คนที่เคยคับคั่งเริ่มจางหาย
ท้องถนนของเมืองใหญ่เงียบสงบเหมือนคนละโลกจากที่เธอพบเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา..
หนาวก็หนาว.. ทั้งวันขนมปังสักชิ้นก็ไม่มีตกถึงท้อง
เด็กหญิงหาซอกตึกที่จะพอให้เธอเข้าไปซุกเพื่อหลบความหนาวเหน็บ
เด็กน้อยมองไม้ขีดไฟที่มีในมือแล้วจึงตัดสินใจจุดไม้ขีดเพื่อหวังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
จากนั้นปาฏิหาริย์คืนวันสิ้นปีก็เกิดขึ้นกับตัวของเธอ...
The Little Match Girl (2006) ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ Walt Disney Animation Studios
เดิมตั้งใจให้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์รวบรวม Fantasia (2006) ซึ่งโปรเจ็กต์ดังกล่าวถูกยกเลิกไป
ก่อนได้รับการพัฒนาเป็นภาพยนตร์เดี่ยวๆ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยมประจำปี 2006 (แต่สุดท้ายแพ้ให้กับ The Danish Poet)
จากฝีมือของ Roger Allers ผู้สร้าง The Lion King
เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ (หรือในชื่อเดนมาร์กว่า Den Lille Pige med Svovlstikkerne)
นิทานเรื่องสั้นของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1845 เป็นภาษาเดนมาร์ก
ดัดแปลงมาจากผลงานภาพพิมพ์ของ Johan Thomas Lundbye ในปี 1843
และนิทานเรื่อง Die Sterntaler ของพี่น้องตระกูลกริมม์ เรื่องราวแสนรันทดของเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟในคืนวันสิ้นปี
พอมาอยู่ในมือของดิสนี่ย์ แน่นอนครับว่าเราจะรู้กันดีว่าดิสนี่ย์คือการ์ตูนโลกสวย
ซึ่งนิทานยุโรปแบบดั้งเดิมนี่มันโหดร้ายมากๆนะ เอาจริงๆ ฉบับปัจจุบันหลายเรื่องแปลงใหม่ทั้งนั้นล่ะ
เพื่อให้เด็กๆ ได้อ่านอย่างมีความสุข เพราะถ้านำเสนอเรื่องราวแบบดั้งเดิม
รับรองว่าความฝันในวัยเยาว์คุณจะถูกพังทลายไม่มีชิ้นดีอย่างแน่นอน อย่าไปรู้เลยดีที่สุด
กับเรื่องนี้ก็เช่นกันทางผู้บริหารของดิสนี่ย์ได้พูดคุยกับ Roger ว่าเขาไม่อยากให้ตอนจบของนิทานเรื่องนี้
ไปในรูปแบบของความสูญเสีย ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไรเพราะกับนิทานเรื่องนี้ไม่เคยถูกแปลงตอนจบมาก่อน
ปลายทางเป็นยังไงทุกคนรู้ดี ความคิดดังกล่าวถูกทีมงานปฏิเสธ
และสุดท้าย Roger ก็พยายามทำให้ฉากจบเป็นการอำลาที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นนักเขียนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน
หลายเรื่องเขาแต่งขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตและสิ่งที่พบเห็นในวัยเด็ก เรื่องนี้ก็เช่นกัน
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 180 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันสังคมเราทุกวันนี้ก็ยังคงมีเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟอยู่เช่นเดิม
ตามเมืองใหญ่ผมเชื่อว่าทุกคนเคยเห็น เด็กเร่ขายดอกไม้ ขายขนม เด็กในวัยที่ควรจะได้เล่นกับเพื่อน
ได้เรียนหนังสือ ทำกิจกรรมต่างๆที่สมควรในวัยของเขา กลับต้องมาเดินขายของ
มีสภาพไม่ต่างจากอากาศที่ไร้ตัวตน ผู้คนต่างเมินเฉยไม่มีใครสนใจ ไม่มีเด็กคนไหนที่อยากจะตกอยู่ในสภาพนั้น...
สังคมเมืองเจริญขึ้น ตึกระฟ้าเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แทบทุกมุมเมือง
แต่นั่นไม่ได้เป็นการชี้ว่าประชาชนแห่งมหานครนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
หลายครอบครัวอดมื้อกินมื้อ เป็นหนี้รายวันที่ไม่รู้ว่าต้องทำงานใช้นี้อีกกี่ปีถึงจะจ่ายต้นคืนได้..
รวมถึงเด็กหลายคนต้องเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผิดพลาด..ทุกอย่างคือปัญหาที่มาจากช่องว่างระยะห่าง
และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ต่อเนื่องมายาวนาน และยากจะแก้ไขได้ในโลกทุนนิยม โลกแห่งความเป็นจริง...
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยหากว่าวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไป
เราจะเห็นข่าวกรอบเล็กๆ ใครสักคนนอนตายอยู่ข้างถนน เหมือนคนที่ไม่มีค่า เหมือนคนไม่มีที่มา
และสุดท้ายก็จากไปอย่างไม่มีใครจดจำ.. เหมือนเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ....
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามทุกรีวิวทุกเรื่องในปีนี้ พบกันใหม่ปีหน้า
Merry Christmas & Happy New Year ครับ...
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== The Little Matchgirl (2006) เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ... ==
ในค่ำคืนวันสิ้นปี คืนที่ทุกคนต่างมีความสุขที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวกับคนที่ตนรัก
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง กลับมีเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนึงมาเดินเร่ขายไม้ขีดไฟ
ผู้คนมากมายที่เดินขวักไขว่เพื่อจับจ่ายซื้อของไปเลี้ยงฉลองที่บ้าน
แต่ไม่มีใครสักคนที่ซื้อไม้ขีดไฟของเธอ
มองไปทางไหนก็เห็นเขาเดินอย่างมีความสุข ครอบครัวอันแสบอบอุ่นพ่อแม่ลูกซื้อของกัน
ย้อนมองตัวเองทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ ทำยังไงดี..ถ้าเธอไม่ได้เงินกลับไปพ่อต้องตีเธอแน่ๆ
คิดได้เช่นนั้น เด็กหญิงก็ร้องตะโกนขายไม้ขีดไฟในมือไม่หยุดหย่อน
หิมะตกลงมาหนามากยิ่งขึ้น ใกล้เที่ยงคืนแล้วผู้คนที่เคยคับคั่งเริ่มจางหาย
ท้องถนนของเมืองใหญ่เงียบสงบเหมือนคนละโลกจากที่เธอพบเจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา..
หนาวก็หนาว.. ทั้งวันขนมปังสักชิ้นก็ไม่มีตกถึงท้อง
เด็กหญิงหาซอกตึกที่จะพอให้เธอเข้าไปซุกเพื่อหลบความหนาวเหน็บ
เด็กน้อยมองไม้ขีดไฟที่มีในมือแล้วจึงตัดสินใจจุดไม้ขีดเพื่อหวังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
จากนั้นปาฏิหาริย์คืนวันสิ้นปีก็เกิดขึ้นกับตัวของเธอ...
The Little Match Girl (2006) ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นของ Walt Disney Animation Studios
เดิมตั้งใจให้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์รวบรวม Fantasia (2006) ซึ่งโปรเจ็กต์ดังกล่าวถูกยกเลิกไป
ก่อนได้รับการพัฒนาเป็นภาพยนตร์เดี่ยวๆ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยมประจำปี 2006 (แต่สุดท้ายแพ้ให้กับ The Danish Poet)
จากฝีมือของ Roger Allers ผู้สร้าง The Lion King
เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ (หรือในชื่อเดนมาร์กว่า Den Lille Pige med Svovlstikkerne)
นิทานเรื่องสั้นของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1845 เป็นภาษาเดนมาร์ก
ดัดแปลงมาจากผลงานภาพพิมพ์ของ Johan Thomas Lundbye ในปี 1843
และนิทานเรื่อง Die Sterntaler ของพี่น้องตระกูลกริมม์ เรื่องราวแสนรันทดของเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟในคืนวันสิ้นปี
พอมาอยู่ในมือของดิสนี่ย์ แน่นอนครับว่าเราจะรู้กันดีว่าดิสนี่ย์คือการ์ตูนโลกสวย
ซึ่งนิทานยุโรปแบบดั้งเดิมนี่มันโหดร้ายมากๆนะ เอาจริงๆ ฉบับปัจจุบันหลายเรื่องแปลงใหม่ทั้งนั้นล่ะ
เพื่อให้เด็กๆ ได้อ่านอย่างมีความสุข เพราะถ้านำเสนอเรื่องราวแบบดั้งเดิม
รับรองว่าความฝันในวัยเยาว์คุณจะถูกพังทลายไม่มีชิ้นดีอย่างแน่นอน อย่าไปรู้เลยดีที่สุด
กับเรื่องนี้ก็เช่นกันทางผู้บริหารของดิสนี่ย์ได้พูดคุยกับ Roger ว่าเขาไม่อยากให้ตอนจบของนิทานเรื่องนี้
ไปในรูปแบบของความสูญเสีย ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไรเพราะกับนิทานเรื่องนี้ไม่เคยถูกแปลงตอนจบมาก่อน
ปลายทางเป็นยังไงทุกคนรู้ดี ความคิดดังกล่าวถูกทีมงานปฏิเสธ
และสุดท้าย Roger ก็พยายามทำให้ฉากจบเป็นการอำลาที่งดงามที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน เป็นนักเขียนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน
หลายเรื่องเขาแต่งขึ้นจากประสบการณ์ชีวิตและสิ่งที่พบเห็นในวัยเด็ก เรื่องนี้ก็เช่นกัน
และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 180 ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันสังคมเราทุกวันนี้ก็ยังคงมีเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟอยู่เช่นเดิม
ตามเมืองใหญ่ผมเชื่อว่าทุกคนเคยเห็น เด็กเร่ขายดอกไม้ ขายขนม เด็กในวัยที่ควรจะได้เล่นกับเพื่อน
ได้เรียนหนังสือ ทำกิจกรรมต่างๆที่สมควรในวัยของเขา กลับต้องมาเดินขายของ
มีสภาพไม่ต่างจากอากาศที่ไร้ตัวตน ผู้คนต่างเมินเฉยไม่มีใครสนใจ ไม่มีเด็กคนไหนที่อยากจะตกอยู่ในสภาพนั้น...
สังคมเมืองเจริญขึ้น ตึกระฟ้าเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด ห้างสรรพสินค้าเปิดใหม่แทบทุกมุมเมือง
แต่นั่นไม่ได้เป็นการชี้ว่าประชาชนแห่งมหานครนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี
หลายครอบครัวอดมื้อกินมื้อ เป็นหนี้รายวันที่ไม่รู้ว่าต้องทำงานใช้นี้อีกกี่ปีถึงจะจ่ายต้นคืนได้..
รวมถึงเด็กหลายคนต้องเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผิดพลาด..ทุกอย่างคือปัญหาที่มาจากช่องว่างระยะห่าง
และความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ต่อเนื่องมายาวนาน และยากจะแก้ไขได้ในโลกทุนนิยม โลกแห่งความเป็นจริง...
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยหากว่าวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆไป
เราจะเห็นข่าวกรอบเล็กๆ ใครสักคนนอนตายอยู่ข้างถนน เหมือนคนที่ไม่มีค่า เหมือนคนไม่มีที่มา
และสุดท้ายก็จากไปอย่างไม่มีใครจดจำ.. เหมือนเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ....
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามทุกรีวิวทุกเรื่องในปีนี้ พบกันใหม่ปีหน้า
Merry Christmas & Happy New Year ครับ...
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===