กสทช.เร่งอุดช่องโหว่ ป้องนิติบุคคลซื้อซิมจำนวนมากขายต่อมิจฉาชีพ

กสทช.อุดช่องโหว่ เร่งหาวีธีกำกับดูแลนิติบุคคลซื้อซิมการด์จำนวนมาก จำหน่ายต่อมิจฉาชีพ หลังพบคดีตำรวจจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีซิมผี 2 แสนซิมเป็นแบบเติมเงินทั้งหมด

พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านกฎหมาย และประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ เปิดเผยถึงกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนโดยยึดซิมการ์ด ได้มากถึง 2 แสนซิม นั้น
 
สำนักงาน กสทช.จะมีการหารือในการกำกับดูแลการซื้อขายซิมการ์ดจำนวนมากๆ โดยตอนนี้ยังไม่มีการจำกัดในกรณีบริษัทที่เป็นนิติบุคคลที่ซื้อซิมการด์จำนวนมาก เพื่อไปจำหน่ายต่อ มีเพียงการออกกฎระเบียบให้ผู้ที่ถือครองซิมการ์ดมากกว่า 5 เลขหมาย มาจดแจ้งการถือครองซิมในการใช้งาน โดยกสทช.กำลังเร่งแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน เพราะหากใช้ยาแรงทันที อาจส่งผลกระทบต่อประชาชน ผู้ใช้งาน และผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ได้ 

อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมา มีการแจกซิมการ์ดฟรีจำนวนมาก ซิมการ์ดบางส่วนจะอยู่ใน อุปกรณ์ไอโอที จีพีเอส และพ็อกเก็ตไว-ไฟ เป็นต้น ที่อาจถูกเปลี่ยนผ่านมา แล้วอยู่ในกลุ่มที่ทำผิดกฎหมายได้ ขณะเดียวกันก็มีซิมการ์ดบางส่วนถูกขายไปยังนักท่องเที่ยว และนำไปขายในต่างประเทศให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในไทย โดยตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบว่าเป็นซิมการ์ดที่จับได้จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของใครบ้าง 
 
พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวต่อว่า ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ในอดีตมีการจำหน่ายซิมโดยไม่ผ่านการลงทะเบียน ส่งผลให้การตรวจสอบและติดตามการกระทำผิดเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนที่มีการลักลอบใช้งานซิมการ์ดจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในส่วนที่รัฐบาลและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ได้มีการเสนอแก้ไข พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 นั้น จะมีการกำหนดให้ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือและธนาคารต้องมีส่วนร่วมผิดชอบ จะมีกำหนดขั้นตอนให้ทางค่ายมือถือ และธนาคารต้องปฎิบัติตาม แต่หากไม่ดำเนินการอะไรเลยก็ต้องมีส่วนร่วมรับผิด   

ยกตัวอย่างเช่น หากมีธุรกรรมที่ผิดปกติ มีการโอนเงินจำนวนมาก ต้องรีบแจ้งเจ้าของบัญชีทันที เป็นต้น แต่หากผู้ประกอบการดำเนินการตามทุกขั้นตอนแล้ว แต่ความเสียหายเกิดจากความโลภของผู้ใช้งาน ก็ไม่ต้องร่วมรับผิด ซึ่งต้องมีการพิสูจน์เป็นกรณีไป และต้องรอดูกฎหมายที่ออกมาอีกครั้ง
เขายกตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ได้ว่า การออกกฎหมายให้ค่ายมือถือและธนาคารต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบแล้ว และประเทศออสเตรเลียก็กำลังดำเนินการ ซึ่งจะรวมถึงแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียด้วย เพราะเป็นประเทศที่มีอำนวจการต่อรองสูง แต่ประเทศไทยอาจจะยังทำไม่ได้ เพราะโซเซียลมีเดียต่างๆ จดทะเบียนอยู่นอกประเทศไทย 

ส่วนเรื่องการเข้มงวดการส่งเอสเอ็มเอส (SMS) แนบลิงก์สำหรับบริการส่งข้อความสั้น จะต้องทำการลงทะเบียนใหม่ทั้งหมดนั้น ทางอนุกรรมการฯ ได้ประชุมกันเรียบร้อยแล้ว จะเร่งดำเนินการให้สามารถบังคับใช้ได้ต้นปี 2568 เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด

Cr.  https://www.posttoday.com/business/717361

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่